หลังจากที่กลุ่มคนแยกย้ายกันไป ศิษย์พี่จ้าวและคนอื่นจากสำนักป้าเทียนถูกกลุ่มคนที่เฝ้าดูความครึกครื้นขวางไว้อยู่ก็พบเจียงเฉิงเยว่เข้า ทั้งสามคนยืนอยู่ โดยที่กำลังเดินมาสมทบกับพวกเขา
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีการต่อสู้?” สิ่งของเจ็ดแปดอย่างในรายการถูกซื้อมาแล้ว ชิ้นสุดท้ายจำเป็ต้องไปที่ถนนสายหลักของเมืองปี่อั้น ขณะเดียวกันหลายคนก็สนทนาถึงความครึกครื้นเมื่อครู่พร้อมกับเดินไปยังหอปราสาทหลัก
เมื่อมองเห็นส่วนหลักของหอปราสาทลางๆ เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นมองไปที่หอคอยไม้ที่สูงประมาณสิบจั้งตรงข้ามหอปราสาทหลัก
หอคอยไม้แห่งนี้นับว่าเป็สถาปัตยกรรมที่เป็สัญลักษณ์ของเมืองปี่อั้น มีชื่อว่า ‘ระเบียงชมกวาง’ สูงกว่าหอปราสาทที่สูงที่สุดในเมืองปี่อั้นถึงครึ่งหนึ่ง ไม่มีบันไดให้ปีนขึ้นไป ทุกอย่างล้วนพึ่งพาความสามารถ
หากกล่าวถึงระเบียงชมกวางนี้ นับว่าค่อนข้างมีความเกี่ยวพันกับเจียงเฉิงเยว่ หลายปีก่อนตอนที่เขากับหลิวเฟิงยังไม่มีชื่อเสียงเคยมาเล่นหมากล้อมกันที่นี่ ตกลงกันให้ผู้แพ้ทำการแสดงเมื่อตลาดผีเปิด...ดังนั้นเจียงเฉิงเยว่จึงอยู่ที่ระเบียงชมกวาง เป็นักบรรเลงพิณตลอดสามวันให้แก่สรรพชีวิตทั้งสามโลกที่มาตลาดผีสำหรับทำการค้า
เขาเล่นหมากล้อมกับหลิวเฟิงโดยเดิมพันสัญญา จนกระทั่งสุดท้ายตนเองต้องทำตามสัญญา ทุกอย่างถูกเปิดเผย ่เวลานี้ยังแพร่ไปยังสามโลกเป็เวลานาน หลิวเฟิงกับเขาผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก เวลาต่อมาถูกอธิบายว่า ‘งามล้ำ’ มีความเป็ไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้อง ระเบียงชมกวางแห่งนี้ในเมืองปี่อั้นจึงมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสามโลกเพราะความสัมพันธ์ของเขากับหลิวเฟิง ทว่าเวลานี้ เจียงเฉิงเยว่กลับไม่มีเวลาที่จะทอดถอนใจว่าสรรพสิ่งยังคงอยู่แต่คนไม่มีแล้วอะไรเช่นนั้น เขาถอนสายตากลับไป
เดินไปอีกสักพัก กลุ่มคนสัญจรที่เพิ่งเลี้ยวมาจากถนนหอปราสาทหลักก็ได้ยินเสียงะโดังแว่วมาจากที่ไกล “เร่เข้ามา เร่เข้ามา แวะมาดูมาชม! เด็กมนุษย์สดใหม่มาถึงที่ร้านแล้ว...ฆ่าและกินได้ในตอนนี้! หยางเดิมและพลังหยินเป็ยาชูกำลังชั้นยอด ส่วนิญญาสามารถกิน กักขัง ครองคู่หรือเป็ทาสได้...หาก้าเืเนื้อสดก็แยกขาย...เร่เข้ามา เร่เข้ามา แวะมาดูมาชม!”
ทุกคนเดินตามเสียงไปกลับเห็นโต๊ะไม้เรียบง่ายที่ซ่อนอยู่ในมุมข้างถนน ซึ่งมีชายชราที่บิดเบี้ยว ซูบผอม และดูมืดมน ชายชราผู้นั้นอาจทำธุรกิจที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมเช่นนี้มานานหลายปี จึงมีร่องรอยของการเข้าสู่บ่วงมารอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาห้อเื ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสีดำ ขณะที่เขาะโก็ลากเด็กชายเด็กหญิงสองสามคนทุกขนาดและรูปร่างซึ่งถูกมัดด้วยเชือกอย่างแ่า เด็กน้อยเ่าั้ใจนเหม่อลอย สีหน้าซีดขาวราวกับตาย ท่าทางเซื่องซึม ร่างกายสั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ
เมื่อเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ อย่างละเอียด เป็บุคคลที่มีพลังหยางเดิมของมนุษย์อย่างที่คาดไว้ และยังมีชีวิต
ผู้ชมกลุ่มหนึ่งยืนอยู่รอบเวทีพลางพูดคุยและชี้นิ้ว เป็ไปอย่างที่คาด ‘สินค้า’ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปรโลกคืุ์มีชีวิตที่ถูกจับมาเหล่านี้
แม้ว่าเสี่ยวหูจื่อจะเป็นักพรตสำนักเต๋า ใช่ว่าไม่เคยพบิญญาชั่วร้ายมาก่อน ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็แค่เด็ก เมื่อมองไปยังเด็กที่มีชีวิตบนเวทีหลายคนนั้นซึ่งอายุใกล้เคียงกับตนเอง เขาใกลัวจนคว้าแขนเสื้อของเจียงเฉิงเยว่ พูดทั้งที่ร่างสั่นสะท้าน “พี่หลิน...ข้า...ข้ากลัว”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว จ้องมองไปที่เวทีด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่ายังยื่นมือไปลูบหลังของอีกฝ่าย “อย่ากลัวเลย...เหล่าศิษย์พี่ต่างก็อยู่”
เพียงไม่นาน ชายร่างสูงใหญ่ในชุดดำก็เดินออกมาจาก ‘กลุ่มคน’ ตามหลังด้วยกลุ่มผู้ติดตามในเครื่องแบบเดียวกัน เดินไปที่หน้าเวทีพลางเชิดศีรษะขึ้นเอ่ยบอก “สินค้าเหล่านี้ของเ้าหรือ? นายท่านของข้าได้รับาเ็ที่ิญญาเล็กน้อยเมื่อสองวันก่อน จำเป็ต้องหลอมรวมอย่างเร่งด่วน...เ้ายังมีเด็กมนุษย์อีกหรือไม่? ข้าจะรับซื้อทั้งหมด”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วทันที ฝ่ามือกุมดาบิญญาธรรมดาเล่มนั้นที่เอว ออกแรงมากจนปลายนิ้วกลายเป็สีขาว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเบิกบานใจ พร้อมพูดติดๆ กัน “มีๆๆ ข้ายังมีของดีอยู่ที่นี่...นายท่านโปรดรอสักครู่!” ขณะที่พูดก็หมุนตัวเข้าไปใต้เวทีภายในกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าหยาบสีเทา จากนั้นเปิดประตูแล้วลากเด็กผู้ชายรูปร่างเล็กอายุประมาณไม่เกินห้าขวบ ใบหน้าเหลือง ร่างผอมบาง ดึงมาตรงหน้าคนผู้นั้น
ผ้าสีเทานั้นดูเหมือนจะเคยร่ายเคล็ดวิชาต้องห้ามเพื่อปกปิดลมปราณของสิ่งที่อยู่ข้างใน ทันทีที่เด็กน้อยออกมา ดวงตาของเหล่าภูตผีที่เป็ผู้ชมอยู่โดยรอบ ราวกับกลุ่มผู้หิวกระหายมานานนับเดือนได้พบเห็นหมูสามชั้นน้ำแดงอันโอชะและฉ่ำน้ำ ดวงตาพลันเป็ประกาย
ชายชราบอกกับชายชุดดำ “เด็กคนนี้...มีชะตาหยินขั้นสูงสุด...เป็อย่างไร? พอจะบำรุงได้ใช่หรือไม่?”
ชายชุดดำผู้นั้นครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เขาเพียงยิ้ม เลิกคิ้วตอบ “แล้วดวงตาแห่ง์เล่า?”
ชายชราตกตะลึง กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ท่านลูกค้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่? แม้ว่าสัดส่วนของการมีดวงตาแห่ง์โดยกำเนิดของผู้ที่มีชะตาหยินขั้นสูงสุดจะสูงกว่าคนธรรมดาอยู่บ้าง...นั่นก็เป็แค่การพูดเปรียบเปรยไม่ใช่หรือ? ใช้เวลาอยู่หลายปีจึงจะมีออกมาสักคน จะได้มาง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ชายชุดดำตอบ “หากชะตาหยินขั้นสูงสุดเกิดมาพร้อมกับดวงตาแห่ง์ จึงนับได้ว่าเป็ของจริง...อันนี้ข้าจะรับไว้ก่อน หากเ้าได้รับดวงตาแห่ง์ ราคาย่อมไม่ใช่ปัญหา...”
ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไม่อยากขายให้ท่านลูกค้าได้อย่างไร...ช่างมีราคาแต่ไม่มีในตลาดจริงเชียว ในรอบร้อยปียังยากที่จะได้ ท่านลูกค้า...เช่นนั้นเชิญท่านมาทางนี้”
ชายชุดดำพยักหน้า คนทั้งสองบรรลุข้อตกลงกันอย่างเบิกบานใจ กำลังจะชำระเงิน ทันใดนั้นผู้คุมิญญาในชุดเกราะเหล็กสีดำที่ควบแน่นเป็ร่างที่แท้จริงกลุ่มหนึ่งกลับหลั่งไหลเข้ามาในกลุ่มคนราวกับแม่น้ำสีดำ ล้อมรอบที่แห่งนี้อย่างแน่นขนัด ชายชราที่มืดมนผู้นั้นตกตะลึงหลังมองเห็น
ในบรรดาผู้คุมิญญามีผู้หนึ่งที่อยู่ระดับค่อนข้างสูงะโ “เ้าเมืองมีคำสั่ง ในเมืองปี่อั้นห้ามทำการค้าขายมนุษย์ที่มีชีวิตทั้งหมด! ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!”
ภายหลังเจียงเฉิงเยว่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าดูดีขึ้น ฝ่ามือที่กดบนดาบิญญาคลายออก
ผู้คุมิญญามองไปที่ชายชรามืดมนผู้นั้นแล้วตวาด “เป็เ้าอีกแล้วหรือ?! เ้ารู้ว่าผิดยังทำและไม่คิดจะสำนึกแก้ไขอีก?!”
ชายชราหลุบสายตาหน้าลงด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “เส้นทางของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วหรอกหรือ? เ้าเมืองปี่อั้น้าจะสังหารให้สิ้นใช่หรือไม่?!”
เขาทำสิ่งเหล่านี้ในการเลี้ยงชีพ ้ากำไรมหาศาลจึงมีลูกน้องอยู่ไม่น้อย เมื่อพูดจบมีคนกลุ่มหนึ่งออกมาเผชิญหน้ากับผู้คุมิญญาพร้อมชักดาบและขึงธนู[1]
ผู้คุมิญญาผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “เ้าปฏิเสธไม่ยอมถูกจับกุมหรือ?!”
ชายชราบอกอย่างเย็นเยียบ “ไม่ใช่ว่าพวกเราปฏิเสธที่จะถูกจับกุม แต่เ้าเมืองรังแกผู้คนมากเกินไป! การค้าขายมนุษย์ในตลาดผีมีความเป็มายาวนาน ตลาดผีหลายแห่งในปรโลกปากบอกว่าไม่ แต่ในความเป็จริงกลับเปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่ง[2] เหตุใดเมืองปี่อั้นถึงจับพวกเราไว้ไม่ปล่อยกัน?!”
ผู้คุมิญญาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “เ้าค้าขายมนุษย์มายาวนาน และข้อห้ามค้าขายมนุษย์ในแดนเหนือแห่งปรโลกก็มีมายาวนานเช่นกัน ไม่ได้เพิ่งประกาศใช้วันนี้ เมื่อตลาดผีแห่งอื่นไม่ห้าม เ้าก็จงไปที่อื่นเสีย...เมืองปี่อั้นกระทำไม่ได้!”
ชายชรากัดฟันตอบ “เ้าเมืองอี้หลีเขาถูก์แยกิญญาเป็สองร้อยปีแล้ว! ทิ้งกฎที่คร่ำครึเหล่านี้ไว้ก็มีเพียงพวกเ้าในสถานที่ผุพังเช่นนี้ที่ยังรักษาอยู่! อย่ารังแกผู้คนให้มากนัก!”
ผู้คุมิญญาจะสนใจได้อย่างไร เขาโบกมือและกำชับกับพรรคพวกด้านหลัง “พาเขาไป!”
ชายชราเผยอาวุธในทันที เริ่มออกคำสั่งกับลูกน้องโดยรอบ “เหล่าน้องชาย วันนี้เราจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนกฎที่คร่ำครึซึ่งกินเวลามาสองร้อยปีให้ราบคาบ...”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้โดยพลัน ที่แห่งนี้จึงตกอยู่ในความโกลาหล ภูตผีที่เป็ผู้ชมอยู่โดยรอบต่างกรีดร้องและแยกย้ายกันไป ในความโกลาหลเจียงเฉิงเยว่และชาวสำนักป้าเทียนถูกชนจนแตกกระเจิง ชายชุดดำที่มาซื้อของผู้นั้นนำคนเข้าร่วมการต่อสู้ ดูเหมือนว่าการมารับมนุษย์เหล่านี้เป็สิ่งที่สำคัญมากสำหรับเ้านายของเขา
สถานที่แห่งนี้เริ่มอลหม่าน มีเงาสีดำบินอย่างวุ่นวาย อาวุธวิเศษขวักไขว่กันยุ่งเหยิง เศษซากข้างถนนราวกับมีเทพธิดาโปรยดอกไม้ลงมาทั่วพื้นอย่างไรอย่างนั้น
เจียงเฉิงเยว่โอบเสี่ยวหูจื่อที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไว้ข้างกาย เขาต่อสู้และถอยตามสถานการณ์ ขณะที่ใช้เคล็ดวิชาคุ้มกายาก็เอ่ยกำชับหูจื่อ “เ้าต้องสร้างเขตอาคมเอง ข้าอาจปกป้องเ้าไม่ได้มาก” เหตุผลหลักคือเมื่อเขาเคลื่อนไหว เกรงว่าต้องเอาพลังิญญาออกมา และลมปราณของฉิงชางจวินซึ่งควรถูกแยกิญญาไปเป็เวลาสองร้อยปีแล้วอาจถูกค้นพบในปรโลก จนกระทั่งเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง
เสี่ยวหูจื่อนั่งลงที่มุมหนึ่งข้างเวที หลบกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้ไปมา มองที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเองด้วยความงุนงง “เขตอาคม...ถูกต้อง! สร้างเขตอาคม...นั่นมัน...เอ่อ...คาถาคืออะไรแล้วนะ?” ใบหน้าของเขาโศกเศร้า สีหน้าสงสัย
เจียงเฉิงเยว่โบกดาบิญญาธรรมดาในมือ และยกดาบขึ้นทุบคนที่เข้ามาใกล้ให้หมดสติโดยไม่สนใจ เสียงอาวุธกระทบกันที่ดังขึ้นมาสองสามครั้งพร้อมกับที่เสียงอุทานของเสี่ยวหูจื่อจากด้านหลังดังแว่วเข้ามา
เจียงเฉิงเยว่สบถ ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงจับคอเสื้อด้านหลังของเด็กคนนั้น ขณะที่ต่อสู้ก็มองไปรอบทิศทางเพื่อหาโอกาสพุ่งออกจากคลื่นแห่งความโกลาหล ทันใดนั้นแผ่นหลังของเขากลับหยุดนิ่ง ชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าระหว่างที่ต่อสู้และตั้งรับอย่างไม่ทันระวัง เขามาถึงเชิงของระเบียงชมกวางเมื่อไร เมื่อครู่ยามที่ชนยังเป็ฐานของระเบียงชมกวางอยู่เลย
เจียงเฉิงเยว่ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงยกคอเสื้อด้านหลังของเสี่ยวหูจื่อ อุ้มเด็กคนนั้นบินขึ้นไปตามความทรงจำ เหยียบจุดสำคัญสองสามจุดเพื่อยืมพลังแล้วขึ้นระเบียงชมกวางอย่างง่ายดาย เหนือระเบียงชมกวางมีศาลาแปดเหลี่ยมพร้อมราวกั้นด้วยความสูงครึ่งตัวคน เจียงเฉิงเยว่พาเสี่ยวหูจื่อพลิกตัวเข้าไป จากนั้นโยนเสี่ยวหูจื่อไว้บนพื้นก่อนสูดลมหายใจ
เขากำลังจะมองไปยังการต่อสู้วุ่นวายที่ด้านล่างว่าเป็อย่างไร กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ากลุ่มคนที่เพิ่งล้อมวงต่อสู้กันทยอยหยุดมืออย่างคาดไม่ถึง จากนั้นพร้อมใจกันเงยหน้ามองเขาที่อยู่ระเบียงชมกวางซึ่งห่างจากพื้นถึงสิบจั้งอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เจียงเฉิงเยว่งุนงงอยู่เล็กน้อย
เกิดอะไรขึ้น?
เขาลุกขึ้นพิงกับราวกั้น พร้อมจ้องมองโดยเบิกตากว้างไปที่กลุ่มคนด้านล่าง
ตลาดที่อึกทึกครึกโครมดูเหมือนจะถูกทำให้เงียบงัน เงียบไปนานจนกระทั่งเสียงกรีดร้องดังลั่นอย่างน่าหวาดผวาจากกลุ่มคน “มีคนขึ้นไปบนระเบียงชมกวางแล้ว!”
หลังจากนั้น ด้านล่างเกิดความโกลาหลทันที ทั้งกรีดร้อง ตบมือและเป่าปากหวีดดังขึ้นเป็ระลอก มีคนที่หวาดผวา คนที่ตื่นเต้นเป็อย่างมาก และยังมีคนที่ถูกดึงดูดด้วยเสียงกรีดร้อง เมื่อเห็นความครึกครื้นมาล้อมวงทางด้านนี้ด้วยความตื่นเต้น ทั่วทั้งตลาดผีแห่งเมืองปี่อั้นจึงดูเหมือนการชุมนุมยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
“เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา! เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา! เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้หนึ่ง!”
“มีผู้ฝึกฝนธรรมดาขึ้นไปบนระเบียงชมกวาง!”
จากสายตาที่มองมาอย่างสนใจของมวลชนเช่นนี้ ทำให้เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้จะวางมือเท้าไว้ตรงไหนดีอย่างเก้ๆ กังๆ
ผู้คุมิญญาที่มาจับคนผู้นั้น แม้แต่พ่อค้าที่ถูกจับล้วนนิ่งค้างไปตามๆ กัน ชั่วขณะจึงตอบสนองกลับมา การต่อสู้หลีกถอยได้จางหายไปจากสายตาของผู้ชมรอบสถานที่ ทุกคนกลับไม่มองสถานการณ์ข้างกาย ทว่า ถูกเขาที่อยู่บนระเบียงชมกวางดึงดูดอย่างสมบูรณ์ ถึงกับพรั่งพรูกันเข้ามา เพียงครู่หนึ่งมีคนนับหมื่นเบียดเสียดจนไหล่ชนกัน
“นี่มันก็หลายสิบปีแล้วใช่หรือไม่? ข้ารู้แล้ว คนผู้นั้นจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน!”
“เด็กคนนี้ดูอายุยังน้อย...หรือว่ากลับชาติมาเกิดเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา?”
“ใครจะรู้ว่าเป็เขาหรือไม่? อาจเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาคนอื่นที่้าท้าทายสถิตินี้ ยังไม่รู้แน่ชัด”
เจียงเฉิงเยว่รับฟังการพูดคุยที่ช่างสรรหามาของผู้คนเบื้องล่าง เขายังไม่ทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้นเงาดำขนาดใหญ่กลับพุ่งขึ้นมาจากกลุ่มคนมาตรงหน้าเขา เมื่อจ้องมองกลับเป็ิญญาชั่วร้ายร่างกำยำตนหนึ่ง ฝ่ามือทั้งสองแนบไว้ข้างตัว ก่อนที่ค้อนดาวตกเหล็กนิลจะปรากฏขึ้นในมือ เอ่ยพร้อมดวงตาจ้องเขม็ง “จ้าวเฮยจากเยี่ยนหลิงมาเพื่อขอคำแนะนำ โปรดชี้แนะ!”
“โอ้!” กลุ่มคนด้านล่างโห่ร้องปรบมือเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ทั้งร้องเรียกและะโ
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!” เจียงเฉิงเยว่งุนงง ยังไม่ทันได้สติคืน ค้อนดาวตกของจ้าวเฮยโจมตีมาที่ใบหน้าเสียแล้ว เขาทำได้เพียงถูกบังคับให้หยิบดาบิญญาธรรมดาที่สำนักป้าเทียนมอบให้ เดินไปตามระเบียงชมกวางที่มีพื้นที่ขนาดตารางนิ้วโดยพลิกไปพลิกมา ผสมกับเสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาของเสี่ยวหูจื่อ ปะทะกันจนเกิดประกายไฟและเสียงดังเกรียวกราวไม่ขาดสาย
ผู้ชมข้างล่างโห่ร้องอย่างคาดไม่ถึง ตื่นเต้นราวกับดูละครลิงอยู่
เนื่องจากกลัวว่าจะทำร้ายเสี่ยวหูจื่อ เจียงเฉิงเยว่จึงต้องนำจ้าวเฮยบินจากระเบียงชมกวางไปยังหลังคาของอาคารใกล้เคียง ขณะที่ต่อสู้เขาเอ่ยขึ้น “นั่นอะไร...เดี๋ยวก่อน! นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่ได้สนใจเขา จ้าวเฮยจดจ่ออยู่กับการเอาชนะเขาต่อหน้าผู้คน ค้อนดาวตกร่ายรำอย่างรุนแรงและพุ่งตรงมาที่จุดสำคัญของเจียงเฉิงเยว่ นี่มาเพื่อขอคำแนะนำที่ไหนกัน เดิมที้าชีวิตของเขาเท่านั้น เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้จะทำอย่างไรยามที่พลังมีไม่เพียงพอเช่นนี้ ดาบิญญาธรรมดาก็ใช้ไม่คล่องมือเอาเสียเลย ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวโม่หลงโดยเด็ดขาด ชั่วขณะนี้สถานการณ์กลับอันตรายเป็อย่างยิ่ง
------------------------
[1] ขึงธนู เป็การอุปมา หมายถึง เตรียมอาวุธไว้พร้อม
[2] เปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่ง เป็สำนวน หมายถึง แสร้งทำเป็ไม่รู้
