เมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าเป็ผู้จัดการของพี่รอง น้ำเสียงของเยว่เฟิงเกอถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
“ที่แท้คุณเป็ผู้จัดการของพี่ชายฉัน ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกฉันมาตามตรงได้ไหมว่าพี่รองของฉันอยู่ที่ไหนกันแน่? ” เยว่เฟิงเกอจิตใจไม่สงบ
เมื่อครู่ตอนที่นางโทรหาพี่ใหญ่ก็เป็ผู้ช่วยของเขาอย่างหวังจิ่งที่รับโทรศัพท์
เป็หวังจิ่งที่บอกข่าวการหายตัวไปของพี่ใหญ่
แล้วตอนนี้โทรศัพท์ของพี่รองก็ไม่ได้อยู่ในมือพี่รอง แต่อยู่กับผู้จัดการส่วนตัว
ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้ยังมัวอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนไม่อยากส่งโทรศัพท์ให้พี่รอง ทำเอาเยว่เฟิงเกออดสงสัยไม่ได้ว่าหลิวลู่ลู่คนนี้จะแอบขโมยโทรศัพท์พี่รองมาสร้างเื่อะไรหรือไม่
ทว่า ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่กับตัวนั้นก็ได้ยินเสียงปลายสายดังขึ้น
“คุณหนูเยว่ ฉันจะบอกความจริงทั้งหมดกับคุณก็แล้วกันนะคะ พี่รองของคุณ เยว่เฉินอี้หายตัวไปค่ะ” คำพูดของหลิวลู่ลู่ทำให้เยว่เฟิงเกอราวกับถูกสายฟ้าฟาด
สมองนางอื้ออึง พี่รองหายตัวไป?
“เื่เป็มาอย่างไรกันแน่ รีบบอกฉันมา” เยว่เฟิงเกอถามขึ้นด้วยความร้อนรน
หลิวลู่ลู่กล่าวตอบด้วยสีหน้าเป็ทุกข์ “เมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากเฉินอี้แสดงคอนเสิร์ตเวทีที่ยี่สิบสามจบ ปกติเขาควรต้องเดินออกไปทางด้านหลังเวที แต่ฉันรอเขาอยู่ที่หลังเวทีนานมาก ก็ยังไม่เห็นเขาออกมาเสียที”
“ฉันจึงเข้าไปตามหาเขา แต่หาอยู่รอบหนึ่งจะอย่างไรก็ไม่เจอ”
“พอฉันไปถามฝ่ายผู้จัดงาน เขาก็บอกมาเพียงว่า เยว่เฉินอี้ไม่เคยมาที่นี่”
“พวกนักดนตรีเ่าั้ก็บอกเช่นกันว่าไม่เห็นเยว่เฉินอี้ ตอนนั้นฉันถึงเพิ่งรู้ว่าเกิดเื่ขึ้นกับเฉินอี้แล้ว”
“และเพราะก่อนหน้านี้เขาต้องขึ้นแสดงจึงไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย โทรศัพท์เขาเป็ฉันที่เก็บไว้ให้”
“หลังจากนั้นฉันได้ลองโทรหาเพื่อนๆ เขาทุกคนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่าไม่มีใครนัดอะไรกับเขาเลย”
“และเพราะตัวฉันทำอะไรไม่ได้ จึงต้องไปแจ้งตำรวจ ตอนนั้นตำรวจบอกว่าจะช่วยหา แต่นี่ก็ผ่านไปเป็เดือนแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวอะไรกลับมาเลย”
“ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว หวังแค่ว่าจะเป็ตัวเฉินอี้เองที่หลบซ่อนตัวเพราะไม่อยากให้ใครตามเจอ ไม่ใช่เกิดเื่อะไรขึ้นกับเขา”
หลิวลู่ลู่พูดถึงตรงนี้ก็ถอนใจหนักหน่วง
ตอนนี้เยว่เฟิงเกอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว ไม่เพียงพี่ใหญ่ของนางที่หายตัวไป แม้แต่พี่รองเองก็ยังหายตัวไปอีกคน
นี่มันเื่อะไรกัน ทำไมพี่ชายทั้งสองของนางถึงได้หายตัวไปกว่าเดือนหนึ่งแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันก่อนนางยังเห็นข่าวที่บอกว่าพี่ใหญ่เพิ่งรวบซื้อกิจการของบริษัทหนึ่งได้ ส่วนพี่รองเองก็ได้เปิดการแสดงเป็รอบที่ยี่สิบสาม
ทำไมหวังจิ่งกับหลิวลู่ลู่ถึงบอกว่าพี่ใหญ่และพี่รองหายตัวไปหนึ่งเดือนแล้ว?
ดูเหมือนเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดแผกจนน่าฉงน
เยว่เฟิงเกอคิดในใจ ถึงแม้ตอนนี้นางจะอาศัยอยู่ในโลกยุคโบราณ แต่เวลาก็ควรจะเดินไปพร้อมๆ กับโลกยุคปัจจุบันถึงจะถูก
เยว่เฟิงเกอไม่พูดอะไรอีก หลังจากวางสายก็รีบเปิดไปดูปฏิทินในโทรศัพท์
้านั้นเขียนว่า วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2565
เยว่เฟิงเกอเบิกตาโตทันที
วันที่ในโทรศัพท์มือถือเป็ปี 2565?
ก่อนนี้นางไม่สนใจดูวันที่บนปฏิทิน และเพียงใช้ดูแค่เวลาเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะวันนี้นางต่อสายหาพี่ชายทั้งสอง ก็คงไม่เอะใจจะมาดูวันที่หรอก
เยว่เฟิงเกอรู้สึกเหมือนสมองของนางในตอนนี้สับสนวุ่นวายเป็อย่างมากคล้ายจะคิดอ่านอะไรไม่ออก
ถึงแม้นางจะอยู่ในโลกยุคโบราณ แต่ตอนที่นางย้อนเวลามานั้นยังเป็ปี 2563 อยู่เลย แล้วทำไมปีที่แสดงบนโทรศัพท์ในตอนนี้ถึงเป็ 2565 ไปได้?
บวกกับคำบอกเล่าของหวังจิ่งและหลิวลู่ลู่ดูเหมือนเวลาที่เหตุการณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นจะไม่สมเหตุสมผลกับของนาง
เยว่เฟิงเกอสับสนอยู่นานมาก ในที่สุดก็ราวกับตื่นรู้ขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนนางจะจับสังเกตอะไรบางอย่างได้
นางคิดว่าเวลาที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์น่าจะเป็เวลาจริงๆ ของโลกยุคปัจจุบัน ขณะที่ตัวนางอาศัยอยู่ในโลกยุคโบราณ ก็จำต้องหมุนวนไปตามกาลเวลาของโลกยุคโบราณ
และโทรศัพท์เครื่องนี้ก็ได้ต่อสายไปถึงคนในปี 2565
หรือก็คือข่าวที่นางเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ไม่ได้อิงตาม่เวลาของนาง แต่เป็เวลาในโลกยุคปัจจุบัน
เพื่อจะหาข้อสรุปนี้ เยว่เฟิงเกอเข้าไปในเบราว์เซอร์อีกครั้งเพื่อหาอ่านข่าวต่างๆ ถึงได้เห็นว่าวันที่ที่ข่าวนี้ถูกรายงานล้วนเป็ปี 2565 ทั้งสิ้น
หลังจากนั้นเยว่เฟิงเกอก็หาข่าวที่พี่ใหญ่รวบซื้อกิจการบริษัทหนึ่งได้ ก่อนจะพบว่าวันที่ในข่าวคือ วันที่ 30 พฤษภาคม 2565
ส่วนข่าวการแสดงดนตรีเวทีที่ยี่สิบสามของพี่รองนั้นก็ได้ถูกเผยแพร่ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 เช่นกัน
หรือก็คือวันเวลาบนโทรศัพท์ไม่ตรงกับ่เวลาที่นางอยู่จริงๆ
นางอยู่ในโลกยุคโบราณมาเดือนกว่าก็จริง แต่เวลาของพี่ชายทั้งสองของนางกลับล่วงผ่านไปสองปีกว่าแล้ว
มิน่าเล่านางถึงจำได้ว่าก่อนที่นางจะย้อนเวลามาในยุคโบราณนี้ บริษัทของพี่ใหญ่นางยังไม่ได้ใหญ่โตเท่านี้ และพี่รองของนางเองก็ยังเป็แค่นักร้องที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ยังไม่มีความสามารถมากพอจะเปิดคอนเสิร์ตเป็ของตนเองได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปี บริษัทของพี่ใหญ่ก็ใหญ่โตขึ้น ส่วนพี่รองนั้นได้กลายเป็นักร้องมีชื่อที่มีคอนเสิร์ตเป็ของตนเอง
และตอนที่ชีวิตของพี่ชายทั้งสองของนางกำลังจะไปได้สวยนั้น พวกเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
เื่นี้มันน่าพิศวงเกินไปแล้ว
พวกเขาหายตัวไปแบบที่อยู่ไม่เห็นเงา ตายไม่เห็นศพ
หากจะบอกว่ามีคนจับตัวพวกเขาไปเรียกค่าไถ่ ป่านนี้ก็ควรต้องมีคนโทรมาเรียกค่าไถ่แล้ว
แต่จากที่ฟังหวังจิ่งและหลิวลู่ลู่พูด ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ข่าวคราวของคนทั้งสองเลย
นี่มันเื่อะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายทั้งสองของนาง ทำไมพวกเขาถึงได้หายตัวไปในวันเดียวกัน?
เยว่เฟิงเกอรีบเปิดวีแชท นางอยากจะลองถามอย่าถามว่าข้าคือใครดู ไม่รู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่าโอกาสที่เื่บังเอิญแปลกๆ เช่นนี้จะเกิดขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน?
เมื่อเยว่เฟิงเกอเล่าเื่การหายตัวไปของพี่ชายทั้งสองให้อีกฝ่ายฟัง ครั้งนี้ผ่านไปเป็นานอย่าถามว่าข้าคือใครก็ไม่ยอมตอบกลับมา นางจึงคาดเดาว่า เขาคงจะเผลอหลับไปอีกแล้ว ก็ไม่คิดถามเซ้าซี้ให้มากความอีก และเลือกที่จะเข้าไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเองผ่านทางโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้
เพียงแต่หาอยู่นาน หาอย่างไรก็ไม่เจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเลย
ทว่า ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังหมดความหวังแล้วนั้น เสียงแจ้งเตือนจากวีแชทก็ดังขึ้น
เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าเป็อย่าถามว่าข้าคือใครที่ส่งข้อความมา
“พระชายา อันดับแรกข้าคงต้องขอแสดงความเสียใจกับการหายตัวไปของพี่ชายทั้งสองของท่านก่อน”
“ที่ข้าอยากจะบอกก็คือเื่ที่ท่านเล่าให้ข้าฟังนี้ ข้ายังไม่เคยพบเคยได้ยินอะไรที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อนเลย กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าเื่เช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้”
“เพราะแม้แต่ตัวท่านก็ยังย้อนเวลามาในยุคโบราณได้ ซ้ำยังได้ติดต่อกับคนเช่นข้า ท่านว่า ขนาดเื่เช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเื่ที่พี่ชายทั้งสองของท่านจะหายตัวไปพร้อมกันในปี 2565 เล่า”
“ส่วนเื่จุดตัดกันระหว่างเวลากับกาลอวกาศนี้ ข้าคงกล่าวได้เพียงว่ามันคือกฎสนามแม่เหล็กอย่างหนึ่ง พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ สรุปง่ายๆ ก็คือ เื่เช่นนี้ สามารถเป็ไปได้”
อย่าถามว่าข้าคือใครพูดจบก็ไม่กล่าวอะไรอีก
เมื่อเยว่เฟิงเกอนึกถึงว่าพี่ชายของนางหายตัวไป ก็อดไม่ได้ให้รู้สึกอึดอัดในอกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร ข้าอยากกลับไปโลกยุคปัจจุบัน ไปตามหาพี่ชายทั้งสอง” เยว่เฟิงเกอสูดจมูก ฝืนทนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
นางรู้ ต่อให้ร้องไห้ เวลาก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ ไม่สู้คิดหาวิธีเผชิญหน้ากับมันดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมาของอย่าถามว่าข้าคือใครกลับราวกับเป็น้ำเย็นที่สาดใส่หน้า “เื่ที่ท่านคิดอยากจะกลับไปยังโลกยุคปัจจุบันนั้น เกรงว่าจะเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ท่านมีวาสนากับท่านอ๋องเพียงคนเดียว ดังนั้น ท่านต้องอยู่ที่นี่และใช้ชีวิตร่วมกับท่านอ๋องต่อไป”
เยว่เฟิงเกอหัวใจหนาวเหน็บ
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ? หากข้ากลับไปโลกยุคปัจจุบันไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถตามหาพี่ชายทั้งสองได้ พวกเขาจะเป็หรือตาย ข้าก็ไม่รู้ แล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างดีต่อไปได้อย่างไร? ”
เยว่เฟิงเกอในตอนนี้อยากกลับไปยังโลกยุคปัจจุบันมากกว่าตอนไหนๆ
เพราะนางอยากจะตามหาพี่ชายทั้งสองให้เจอให้ได้
อย่าถามว่าข้าคือใครตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “หากท่านสามารถกลับไปยังโลกยุคปัจจุบันได้จริง ท่านไม่กลัวหรือว่าหากกลับไปแล้ว จะไม่ได้พบม่อหลิงหานอีก? ”
ประโยคนี้ราวกับค้อนที่ตอกเข้ากลางหัวใจของเยว่เฟิงเกออย่างรุนแรง
ใช่แล้ว ถึงแม้นางจะเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนกว่า แต่นางกลับคุ้นเคยกับชีวิตที่มีม่อหลิงหานไปแล้ว
ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ใจตัวเองว่ามีความรู้สึกเช่นไรกับม่อหลิงหานกันแน่ แต่เมื่อนึกถึงว่า วันหน้าจะไม่ได้พบเขาอีก ก็อดไม่ได้ให้รู้สึกเศร้าใจ
อย่าถามว่าข้าคือใครเห็นเยว่เฟิงเกอเงียบหายไป ก็ส่งข้อความมาอีก
“ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งคิดอะไรให้มากนักเลย เป็พระชายาของท่านอ๋องต่อไปให้สบายใจเถอะ ส่วนพี่ชายทั้งสองของท่าน ข้าคิดว่าที่พวกเขาหายตัวไปในวันเดียวกันจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้นี้ ท่านอาจจะได้พบพวกเขา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้