ครั้นทานอาหารเสร็จสิ้น พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นเตรียมจากไป อันซิ่วเอ๋อร์ใคร่อยากเหนี่ยวรั้งให้อยู่สนทนาต่ออีกสักเวลา
ทว่าพ่อเฒ่าอันกล่าวว่าตนต้องรีบกลับไปไถนา หว่านปุ๋ย เตรียมการสำหรับปักดำที่ใกล้จะมาถึง เมื่อเห็นเป็เช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์จึงไม่อาจรั้งไว้จำต้องปล่อยให้พวกเขาไป ทว่านางก็ยังสามารถเกลี้ยกล่อมเหลียงซื่อให้อยู่เป็เพื่อนต่อได้สำเร็จ
จางเจิ้นอันรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอ่ยปากขอตามไปช่วยพ่อเฒ่าอันไถนา ทว่าถูกพ่อเฒ่าอันปฏิเสธเสียก่อน
"ที่นาบ้านเรามีเพียงน้อยนิด บ่ายนี้สองพ่อลูกคงจัดการเสร็จสิ้น ไม่รบกวนเ้าหรอก"
ยามฝนพรำเช่นนี้ จางเจิ้นอันก็ไม่รู้จะประกอบกิจอันใด อันซิ่วเอ๋อร์จึงชักชวนให้เขาไปช่วยงานพ่อเฒ่าอันอยู่ดี
ส่วนตนเองนั้นอยู่ทำรองเท้ากับเหลียงซื่อ
เมื่อสองวันก่อน นางลงมือทำรองเท้าค้างไว้ ครั้นฝนตกหนักติดต่อกัน การทำรองเท้าจึงไม่อาจสำเร็จลุล่วงได้ วันนี้เหลียงซื่ออยู่เป็เพื่อนพอดี จะได้เร่งทำรองเท้าคู่ที่ค้างคาให้เสร็จสิ้นไป
เหลียงซื่อไปขอยืมเลื่อยเล็กจากเพื่อนบ้านมา เลื่อยพื้นไม้ให้เป็ร่องตื้นๆ เพื่อกันลื่น ครั้นเหลียงซื่อเลื่อยเสร็จ อันซิ่วเอ๋อร์ก็นำกระดาษทรายมาขัดถูรอบพื้นรองเท้า
ขัดจนผิวไม้เรียบเกลี้ยงเกลา แล้วจึงทาน้ำมันทาบางๆ ชั้นหนึ่ง รอจนแห้งแล้วเปลี่ยนเป็ผ้าเนื้อละเอียดขัดซ้ำอีกครา พื้นรองเท้าจึงพอเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา
"ซิ่วเอ๋อร์ ให้แม่ช่วยเจาะรูเถิด" เหลียงซื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ถือเข็มเล่มยาว
ไม่รู้จะเริ่มต้น ณ จุดใด ก็อาสาทำหน้าที่นี้แทน
รองเท้าพื้นไม้นั้นไม่เหมือนรองเท้าพื้นผ้าหลายชั้น อันซิ่วเอ๋อร์เรี่ยวแรงน้อย ไม่อาจใช้เข็มแทงทะลุเนื้อไม้แข็งได้โดยง่าย จึงยินดียกหน้าที่นี้ให้เหลียงซื่อ ส่วนตนเองนั้นคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ
งานนี้ไม่ใช่ง่ายดาย เหลียงซื่อต้องออกแรงไปไม่น้อย ครั้นเจาะรูบนพื้นรองเท้าทั้งสองข้างเสร็จสิ้น
เข็มเล่มยาวก็หักไปเสียแล้วเล่มหนึ่ง ทว่าในที่สุดงานก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
อันซิ่วเอ๋อร์นำหนังกลับมาบุรองบนพื้นไม้ เย็บยึดติดกับรูที่เจาะไว้ จากนั้นนำแผ่นรองด้านในที่เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ มาวางทาบ แล้วเย็บตรึงเข้าด้วยกัน พื้นรองเท้าด้านในก็เป็อันเสร็จสมบูรณ์
ท้ายที่สุด นางก็นำส่วนบนของรองเท้าที่ตัดเย็บเตรียมไว้มาประกอบเข้ากับพื้น เย็บให้แ่า เล็มเศษด้ายที่รุ่ยร่ายออกเล็กน้อย รองเท้าคู่ใหม่ก็สำเร็จเป็รูปร่างงดงาม
"เป็เช่นไรบ้างเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นรองเท้าให้เหลียงซื่อพิจารณา
"รองเท้าที่บุตรสาวแม่ทำ ย่อมต้องดีงามอยู่แล้ว" เหลียงซื่อรับรองเท้ามาถือไว้ในมือ
พลิกดูซ้ายขวา ชมเชยไม่ขาดปาก ครั้นชื่นชมจนพอใจแล้ว ก็ส่งรองเท้าคืนให้อันซิ่วเอ๋อร์ พลางกล่าวว่า
"ซิ่วเอ๋อร์ ฝีมือเ้าพัฒนาขึ้นทุกวัน แม่ชักเริ่มเสียดาย ไม่อยากยกลูกให้ผู้ใดเสียแล้ว"
"ท่านแม่ ไฉนท่านจึงชมบุตรสาวตนเองเยี่ยงนี้ ไม่กลัวผู้อื่นได้ยินจะหัวเราะเยาะเอาหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำ
ทว่าก็ส่งรองเท้ากลับคืนสู่มือเหลียงซื่ออีกครั้ง "ท่านแม่นำรองเท้าคู่นี้ไปให้ท่านพ่อเถิดเ้าค่ะ หากข้าว่างเมื่อใด ข้าจะทำให้อีกคู่หนึ่ง"
"ไฉนเล่า เ้ารีบเก็บไว้ให้ลูกเขยเถิด" เหลียงซื่อรีบปฏิเสธ
"ไม่ใช่ว่าข้ากำลังทำของเขาอยู่นี่หรือเ้าคะ อีกประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์ชูพื้นรองเท้าอีกข้างที่อยู่ในมือขึ้นให้ดู
"อย่างไรเสียรองเท้าคู่นี้ก็เป็ข้าทำเอง ไม่ได้สิ้นเปลืองเงินทองอันใด ถือเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า รองเท้าหนังกลับเช่นนี้ สวมใส่ในฤดูฝนก็ไม่ต้องกลัวเปียกชื้น อีกทั้งข้ายังทำพื้นรองเท้าสองชั้น รับรองว่าท่านพ่อสวมแล้วสบายเท้าเป็แน่"
เหลียงซื่อได้เห็นขั้นตอนการทำรองเท้าของอันซิ่วเอ๋อร์ ทั้งยังลงมือช่วยด้วยตนเอง ย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวตั้งอกตั้งใจทำรองเท้าคู่นี้เพียงใด
นางลองใช้นิ้วคลำดูด้านในพื้นรองเท้า ก็พบว่านุ่มสบายยิ่งนัก
"พื้นไม้ที่เ้าทำกลับนุ่มกว่าพื้นผ้าเสียอีก ช่างใส่ใจทำเสียจริง"
เหลียงซื่อเอ่ยชม แล้วจึงเก็บรองเท้าเหน็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี
"ข้าบุสำลีไว้ด้านในพื้นรองเท้าเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่จำเป็ต้องปิดบังมารดา
นางลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้าไปหยิบแผ่นรองรองเท้าบุสำลีอีกคู่ออกมา ส่งให้เหลียงซื่อ
"นี่เ้าค่ะ ลองใส่แผ่นรองนี้เข้าไปด้วย รับรองว่าสบายยิ่งขึ้นไปอีก"
เหลียงซื่อรับแผ่นรองรองเท้ามา กล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า "เ้าหนูนี่ ช่างดีกับพ่อเ้าเสียจริง แม่เห็นแล้วชักจะอิจฉาเสียแล้ว"
"ท่านแม่อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลยเ้าค่ะ อีกไม่กี่วันข้าก็จะทำให้ท่าน อย่างไรเสียยามนี้ข้าก็ไม่มีกิจอันใดทำที่บ้าน"
อันซิ่วเอ๋อร์เอียงศีรษะมองเหลียงซื่อ กล่าวอย่างเอาใจ
เหลียงซื่อได้ฟังก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา "แม่เพียงพูดเล่นเท่านั้น ไยเ้าจึงต้องจริงจังด้วยเล่า? ไม่จำเป็ต้องลำบากทำรองเท้าให้แม่หรอก
แม่มีรองเท้าอยู่หลายคู่แล้ว แม่เห็นว่าบ้านช่องของพวกเ้าก็ยังทรุดโทรม มีแต่เื่ให้ต้องใช้จ่ายเงินทอง
การทำรองเท้านี้ถึงแม้จะเปลืองเพียงแรงกาย ทว่าผ้าผ่อนหนังกลับล้วนต้องใช้เงินซื้อหาไม่ใช่หรือ"
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มไม่เอ่ยคำใด ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในเื่นี้อีก เพียงแต่หันกลับไปตั้งใจทำรองเท้าอีกข้างต่อ
เหลียงซื่อเห็นนางมุ่งมั่นอยู่กับงานในมือ ก็ไม่ได้รบกวนนางอีก มองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงไปหาค้อนไม้มา ช่วยอันซิ่วเอ๋อร์เก็บกวาดบ้านเรือน
หลังจากถูกน้ำฝนชะล้างค้างคืน หลายจุดในตัวบ้านก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลน เหลียงซื่อจึงช่วยนางใช้ค้อนไม้ทุบพื้นดินเ่าั้ให้แน่นและเรียบเสมอกันอีกครั้ง
อีกทั้งยังช่วยเช็ดถูหีบไม้และโต๊ะที่เปรอะเปื้อนจนสะอาดสะอ้าน ครั้นเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว บ้านช่องก็ดูเป็ที่เป็ทางขึ้นบ้าง
"แม่ช่วยทุบพื้นให้เรียบแล้ว ่นี้พวกเ้าก็ระวังหน่อย อย่าเพิ่งเดินเหยียบย่ำแรงนัก"
เหลียงซื่อกำชับ
"ทราบแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มองเหลียงซื่อด้วยรอยยิ้ม
แล้วก้มลงทำรองเท้าของตนต่อไป แม้นางจะขานรับ ทว่าในใจเหลียงซื่อก็ยังคงกังวล ไม่รู้ว่าบุตรสาวได้ฟังที่นางกล่าวเข้าหูหรือไม่
เหลียงซื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะ ไม่ได้กล่าวอันใดเพิ่ม เพียงแต่บอกว่า "ถ้าเช่นนั้นแม่กลับก่อนนะ เ้าอยู่บ้านผู้เดียวก็จงระวังตัวด้วยเล่า"
เสียงฝนด้านนอกยังคงดังเซ็งแซ่ อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจดจ่ออยู่กับงานในมือ ไม่ได้ยินวาจาของเหลียงซื่อ
เหลียงซื่อจึงได้แต่ยืนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ บ้านอีกครา ว่ายังมีสิ่งใดที่นางพอจะช่วยเหลือได้อีกหรือไม่
ครั้นเห็นว่าทุกแห่งหนล้วนเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงสวมเสื้อคลุมฟาง สวมหมวกสาน แล้วหมุนตัวจากไป
"ท่านแม่ ไฉนท่านจึงไปเสียแล้วเล่าเ้าคะ?" ครั้นเหลียงซื่อเดินพ้นประตูห้องโถงไปถึงลานบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์จึงเพิ่งรู้สึกตัว
รีบลุกขึ้นร้องตาม "ทานมื้อเย็นที่นี่ก่อนค่อยกลับเถิดเ้าค่ะ"
"ไม่ได้ๆ ข้ายังมีธุระที่บ้าน" เหลียงซื่อส่ายหน้าปฏิเสธ
"หากมีเื่อันใด ก็ไปเรียกคนจากบ้านใหญ่ได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็ต้องเกรงใจ พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน"
"เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ยืนส่งอยู่ที่ชายคา เหลียงซื่อเห็นร่างบอบบางของบุตรสาว
เกรงว่านางจะถูกละอองฝนสาดเปียก จึงไม่ยอมให้นางออกมาส่ง เพียงแต่โบกมือแล้วกล่าวว่า
"กลับเข้าไปเถิด"
เหลียงซื่อเดินออกจากลานบ้านไปแล้ว ยังอุตส่าห์ช่วยปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย อันซิ่วเอ๋อร์จึงยืนนิ่งอยู่ที่ชายคาอยู่นานสองนาน
ช่างเป็ความผิดของนางโดยแท้ ไฉนนางจึงไม่ได้คิดที่จะทำรองเท้าให้ท่านแม่ก่อน ถึงแม้นางจะไม่ได้เอ่ยปาก
ทว่าในใจย่อมต้องรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างเป็แน่ เมื่อครั้งก่อนนั้น นางมีสิ่งใดดีๆ ก็มักจะคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ก่อนเสมอ
ทว่ายามนี้นางกลับคิดถึงแต่สามีและท่านพ่อเท่านั้น ในใจรู้สึกผิดยิ่งนัก นางจึงหันหลังกลับเข้าห้อง มองไปยังพื้นดินที่แต่เดิมเป็หล่มโคลน
บัดนี้กลับถูกทุบจนเรียบเสมอกัน เมื่อนึกถึงเสียงค้อนไม้ทุบดินที่ดังแว่วมาจากในห้องก่อนหน้านี้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในใจ
ต่อมาจึงรู้สึกเพียงว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา เหลียงซื่อรู้ดีว่านางไม่ถนัดงานเหล่านี้ จึงลงมือช่วยจัดการให้จนเสร็จสรรพ มารดาดีต่อนางถึงเพียงนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่าตนเองไม่อาจตอบแทนได้หมดสิ้น ในหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ คงไม่มีสตรีใดที่แต่งออกไปแล้ว ยังคงต้องรบกวนคนจากบ้านเดิมอยู่เนืองๆ เช่นนาง
โชคดีที่พี่สะใภ้ทั้งสองของนางเป็คนมีเหตุผล ไม่เช่นนั้นนางคงถูกพวกนางนินทาว่าร้ายไปนานแล้ว
นางถอนหายใจออกมาแ่เบา เปิดหีบเสื้อผ้า หยิบรองเท้าหนังกลับที่เพิ่งทำเสร็จ เก็บเข้าไว้ในหีบอย่างดี พลางคิดในใจว่า หากนางยังไม่ได้ทำรองเท้าดีๆ ให้เหลียงซื่อสักคู่ นางจะไม่ยอมนำรองเท้าคู่ที่เพิ่งทำเสร็จนี้ให้จางเจิ้นอันสวมใส่เป็อันขาด
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น นางก็เริ่มรื้อค้นในหีบทั้งสองใบ พบว่ามีเศษผ้าเหลืออยู่ไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังนึกถึงผ้าลายดอกไม้สีสดที่จางเจิ้นอันซื้อให้นางเมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้นางจะชอบผ้าผืนนี้มาก
ทว่าครานี้ท่านแม่และคนอื่นๆ ได้ช่วยเหลือพวกนางไว้มาก นางก็สมควรตอบแทนน้ำใจบ้าง ผ้าผืนนี้สีสันสดใสเกินไป ไม่เหมาะจะนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่านแม่ ทว่าหากนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้หลานสาวทั้งสองที่บ้านใหญ่ก็น่าจะเหมาะสม
เมื่อครั้งที่นางยังไม่ได้ออกเรือน อย่างไรเสียก็ยังพอได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่อยู่บ้าง ทว่าต้ายาและเอ้อร์ยานั้นแทบไม่เคยได้สวมเสื้อผ้าใหม่เลย มักจะใส่แต่เสื้อผ้าเก่าที่ผู้ใหญ่แก้ขนาดให้เล็กลง
หรือไม่ก็เป็เสื้อผ้าเก่าของนาง หากได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่เป็ของตนเอง เด็กหญิงทั้งสองคงต้องดีใจจนะโโลดเต้นเป็แน่
เมื่อนึกถึงหลานสาวทั้งสอง อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเวทนาขึ้นมาเล็กน้อย
คิดในใจว่าควรนำผ้าผืนนี้ออกมาวัดขนาด แล้วลงมือตัดเย็บเสื้อผ้าให้เด็กหญิงทั้งสองเสียเลยจะได้เป็การสร้างความสุขให้พวกนางบ้าง
ทว่าครั้นคิดต่อไปอีก ว่าที่บ้านนั้น ต้ายาและเอ้อร์ยาต่างก็มีของขวัญที่นางเตรียมไว้ให้แล้ว แต่หลานชายคนโตกลับยังไม่มีสิ่งใด นางจึงตัดสินใจว่าจะทำรองเท้าผ้าให้เขาหนึ่งคู่ ให้เขาได้ดีใจบ้าง
อันซิ่วเอ๋อร์จึงมีงานเพิ่มขึ้นมาทันที ทั้งต้องตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งต้องทำรองเท้า ทั้งงานปักผ้าและถักพู่ห้อยที่ทำเงินได้ก็ไม่อาจละทิ้งไปได้
ถึงแม้ฝนจะตกทำให้นางไม่อาจออกไปนอกบ้านได้ ทว่าภาระงานของนางกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย ซ้ำยังเพิ่มพูนขึ้นเสียอีก
ทำให้ตลอดทั้งวันนางแทบไม่มีเวลาว่างเว้น
จางเจิ้นอันนั้นปกติหาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาในแม่น้ำ ครั้นฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน น้ำในแม่น้ำก็ไหลเชี่ยวกราก
จางเจิ้นอันจึงทำได้แต่เพียงหลบพักอยู่แต่ในบ้าน สองวันก่อนหน้านี้เขาก็เคยไปช่วยงานที่บ้านตระกูลอัน ทว่างานในนาของตระกูลอันนั้นไม่ได้มีมากมายอันใดนัก เมื่อฝนตกหนักเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงรอจนกว่าฟ้าจะเปิดจึงค่อยลงมือเพาะปลูกได้
จางเจิ้นอันรู้ว่าตนเองไปก็คล้ายเป็ส่วนเกิน จึงไม่ได้ไปที่นั่นอีก
โดยปกติแล้วเขาไม่ได้มีงานอดิเรกอื่นใด นอกจากการร่ำสุราเล็กน้อยยามค่ำคืน อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขานั่งๆ นอนๆ อยู่ข้างกายนางตลอดทั้งวัน
ไม่มีกิจอันใดทำ ก็รู้สึกเป็ห่วงอยู่บ้าง เมื่อคราวก่อนนางใคร่จะให้เขาขึ้นเขาไปตัดฟืนมาตุนไว้ เผื่อว่ายามฝนตกเช่นนี้ เขาก็จะได้มีงานผ่าฟืนทำ ไม่ให้นั่งอยู่ว่างเปล่า ทว่าเขายังไม่ทันได้ลงมือ ฝนก็กระหน่ำลงมาเสียก่อน
เดิมทีอันซิ่วเอ๋อร์คาดว่าฝนคงจะตกเพียงวันสองวันเท่านั้น ใครเลยจะล่วงรู้ว่าฤดูฝนในปีนี้มาเยือนเร็วกว่าปกติ
อีกทั้งยังตกหนักต่อเนื่องยาวนานถึงครึ่งเดือน โชคยังดีที่ท่านพ่อท่านแม่มาช่วยซ่อมแซมหลังคาให้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นนางคงต้องซุกตัวนอนอยู่ในห้องเก็บฟืนไปตลอดครึ่งเดือนเป็แน่
แน่นอนว่าเมื่อฝนตกติดต่อกันครึ่งเดือน จางเจิ้นอันก็ไม่อาจออกไปจับปลาได้นานถึงครึ่งเดือนเช่นกัน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เริ่มร่อยหรอขัดสนขึ้นมาบ้าง
โชคดีอยู่บ้างที่ก่อนหน้านี้อันซิ่วเอ๋อร์พอจะมีเงินเก็บจากการขายของเล่นกระจุกกระจิกอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นด้วยค่าใช้จ่ายของคนสองคนในแต่ละวัน เกรงว่าคงไม่อาจประคับประคองต่อไปได้ คงต้องถึงขั้นอดมื้อกินมื้อเป็แน่แท้
ในที่สุดวันที่เมฆฝนจางหาย ฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง เหล่าชาวนาก็ต่างกระวีกระวาดแบกจอบเสียมออกไปทำนาเพาะปลูก ด้วยเกรงว่าจะพลาด่เวลาอันดีงามในการเพาะปลูกไป จางเจิ้นอันก็รีบออกไปหาปลาในแม่น้ำแต่เช้าตรู่เช่นกัน
ใน่หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาต้องใช้เงินส่วนตัวของอันซิ่วเอ๋อร์ในการซื้อหาอาหาร ทำให้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าการเลี้ยงดูนางเพียงคนเดียวย่อมไม่ใช่ปัญหาอันใด สิ่งใดที่ผู้อื่นมี เขาก็จะต้องหามาให้นางได้ไม่ต่างกัน ทว่าในเวลาต่อมา สถานการณ์กลับพลิกผัน ไม่คาดคิดเลยว่าบุรุษเช่นเขาถึงกับต้องตกอยู่ในสภาพที่เลี้ยงดูสตรีเพียงนางเดียวไม่ได้ ถึงกับต้องให้นางหาเลี้ยง หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป ผู้อื่นได้รู้เข้า คงต้องตกตะลึงยิ่งนัก
ทว่าความเป็จริงก็เป็เช่นนั้น ครั้นนึกถึงรอยเข็มที่ทิ้งไว้บนปลายนิ้วเรียวงามของอันซิ่วเอ๋อร์เมื่อคืนก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในใจ
