Chapter 5
ผมยืนสูบบุหรี่พลางมองบรรยากาศของร้าน Your Sky ในเวลาสองทุ่มที่เต็มไปด้วยผู้คน โต๊ะนั่งโซนเอาท์ดอร์ของร้านมีลูกค้านั่งจับจองทั้งหมด โซนวีไอพีที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเรือนกระจกก็มีลูกค้าทยอยกันมาตามเวลานัดหมาย หากจะหาพื้นที่ว่างที่ปราศจากลูกค้าก็คงจะมีเพียงแค่ห้องเรือนกระจก เพราะห้องกระจกขนาดใหญ่ที่มีหลังคากระจกเป็ทรงปั้นหยาถูกปิดและติดป้ายเป็เขตหวงห้าม เ้าของร้านอย่างหมื่นฟ้าขอสงวนสิทธิ์ไว้ให้แค่คนสำคัญของตัวเองเท่านั้น
คนสำคัญของมันก็อย่างเช่น...
น้องที่รักที่เป็คนรักของมัน
ครอบครัวของมัน
และบรรดาเพื่อนสนิท (บางคน)
ร้าน Your Sky เป็ธุรกิจร้านเหล้าที่ผมทำร่วมกับเพื่อนสนิทมาั้แ่เรียนมหา’ ลัยแล้ว เราสองคนช่วยกันดูแลและบริหารร้านนี้มาด้วยกันตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่ถ้าถามหาเ้าของร้านที่แท้จริง ผมคงยกร้าน ‘Your Sky’ ให้ไอ้ฟ้าเป็เ้าของ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เป็หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านด้วย แต่เพราะมันเป็คนริเริ่มสร้างร้านนี้มาั้แ่แรก ก่อนจะชวนผมมาเป็หุ้นส่วนคนสำคัญของร้านด้วย
นั่นจึงเป็เหตุผลที่ผมไม่เคยคิดว่าร้าน ‘Your Sky’ เป็ของผมเลย แต่ผมกลับคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็สิ่งที่ช่วยรักษามิตรภาพของเราให้คงอยู่จนถึงทุกวันนี้มากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น...
ผมก็รักร้านนี้ไม่น้อยไปกว่ามันหรอก
และผมเชื่อว่า...เราทุกคนต่างก็รู้สึกผูกพันกับที่นี่
ที่ร้าน Your Sky แห่งนี้
เพราะตอนที่พวกเราต่างเติบโต ร้าน Your Sky ก็เติบโตไปพร้อม ๆ กับพวกเราด้วย และในวันที่พวกเราประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งของชีวิต อย่างการเรียนจบมหา’ ลัย ร้านแห่งนี้ก็มีโอกาสได้ขยับขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นั่นจึงเหมือนว่าธุรกิจของพวกเราก็ประสบความสำเร็จไปอีกขั้นเช่นกัน
ถึงแม้ว่าร้าน Your Sky จะเติบโตไปมากขนาดนั้น แต่บรรยากาศโดยรวมยังคงเหมือนเดิม ภายในร้านยังมีโซนเอาท์ดอร์เป็ส่วนใหญ่ มีโซนลูกค้าวีไอพีที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเรือนกระจก กับมีบาร์เหล้าไว้สำหรับรองรับลูกค้าที่มาดื่มคนเดียว และมีโซนอินดอร์อยู่ในอาคารเดี่ยวที่ชั้นบนมีดาดฟ้า ซึ่งดาดฟ้าชั้นสองก็ยังคงเป็พื้นที่ส่วนตัวของไอ้ฟ้าเหมือนเดิม
การเติบโตของร้านจึงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด หากแต่เป็การเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อย่างการที่ไอ้ฟ้าตัดสินใจสร้างห้องทำงานและห้องพักของผมกับมันที่บริเวณหลังร้าน แล้วก็รับ ‘ผู้จัดการ’ คนใหม่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน จากเดิมที่มีผู้จัดการร้านอยู่หนึ่งคนแล้ว ซึ่งผู้จัดการคนใหม่ของร้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็ ‘น้องที่รัก’ แฟนสุดที่รักของมัน
เป็เพราะไอ้ฟ้ายอมให้แฟนของมันมาทำงานที่ร้านหลังจากเ้าตัวเรียนจบแล้ว หน้าที่ของผมในร้าน Your Sky จึงเหลือแค่ดูแลบัญชีร้านเท่านั้น นั่นจึงทำให้ผมแบ่งเวลาไปช่วยงานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของพ่อได้บ้าง
แล้วก็มีเวลาอยู่กับ ‘เฮีย’ มากขึ้นด้วย...
ความจริงผมควรจะดีใจที่ได้ช่วยแบ่งเบางานของพ่อ ทว่าผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย แต่ผมกลับดีใจที่มีเวลาอยู่กับเพื่อนสนิทมากกว่า ความรู้สึกของผมคงวางอยู่ถูกที่ถูกทางมากขึ้น ถ้าหากผมไม่ได้ ‘แอบรักเพื่อนสนิท’ ตัวเอง
ใช่...
ผมแอบรัก ‘ไอ้เฮีย’ หรือ ‘อีน้ำแดง’ นั่นแหละ
หากมีใครสักคนถามผมว่า ‘แอบรักเพื่อนสนิทมานานแค่ไหนแล้ว?’ ผมคงจะตอบได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่า ‘เริ่มตกหลุมรัก’ เฮียั้แ่ตอนไหน นั่นอาจเป็เพราะเราเป็เพื่อนสนิทกันมานาน มันจึงทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตหัวใจตัวเอง แล้วคิดว่า ‘ความรู้สึกรัก’ ที่มีต่อเพื่อนสนิทนั้นยังคงเหมือนเดิม
ยังคงเป็ความรักในรูปแบบเพื่อน
ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว...
แต่ถ้ามีใครสักคนถามผมว่า ‘เริ่มรู้ใจตัวเองตอนไหน?’ ผมคงให้คำตอบที่ชัดเจนกับคำถามนี้ได้ ผมเริ่มเดินตามทันหัวใจตัวเองตอนที่เรียนอยู่มหา’ ลัยปี 4 ในตอนนั้นครอบครัวของผมเป็ส่วนสำคัญที่ทำให้เริ่มรู้ใจตัวเอง
ผมก้าวเท้าถอยหลังมาครึ่งก้าว เพื่อพาตัวเองมาหลบอยู่ในมุมที่สงบที่สุด ซึ่งเป็บริเวณริมรั้วของร้าน ผมชอบยืนสูบบุหรี่ตรงนี้ เพราะผู้คนไม่ค่อยเดินพลุกพล่านมากนัก แล้วก็สามารถเห็นบรรยากาศโดยรวมของร้านได้ชัดเจน
พอผมได้อยู่ในพื้นที่สงบสุขของตัวเองแล้ว มวนสีขาวก็ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วนิโคตินก็ถูกสูบอัดเข้าจนเต็มปอด ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยควันสีขาวออกจากปาก กลุ่มควันค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนืออากาศ และในตอนที่พวกมันกำลังจะเลือนรางจางหายไป ความทรงจำในอดีตก็ฉายชัดขึ้นอีกครั้ง…
“กลับกันไปเถอะครับ เรียวอยู่ได้”
ไม่รู้เป็เพราะผมสวมใส่ชุดคนป่วยสีฟ้าอ่อนของทางโรงพยาบาล หรือเป็เพราะร่างกายที่โดนพิษไข้เล่นงานจนอ่อนแรงที่ทำให้คำพูดของผมไม่หนักแน่นพอ อาม่ากับหม่าม้าเลยไม่ยอมเชื่อฟังกัน แล้วเอาแต่ยืนส่ายหน้าอยู่ข้าง ๆ เตียง
“ม้าว่า...”
“ม้า...เรียวอยู่คนเดียวได้จริง ๆ ไม่ต้องเป็ห่วงหรอก”
หม่าม้าทำหน้าลังเล ก่อนเอ่ย “เอาจริง ๆ เหรอ?”
“ครับ”
“ถ้าเรียวบอกว่าอยู่ได้ เราก็ปล่อยเขาไปเถอะ เผื่อเขาจะอยากนอนพักเงียบ ๆ คนเดียว”
“คนป่วย...จะนอนคนเดียวได้ยังไง? ถ้ากลางคืนเกิดมีไข้ขึ้นสูงอีกจะทำยังไง อาเล้ง?” ผู้หญิงสูงอายุที่มีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ สวมเสื้อผ้าตัดเย็บอย่างประณีต และตัวสูงน้อยกว่าหม่าม้าเอ่ยพร้อมมองป๊าด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
“ม้า ที่นี่โรง’ บาลนะ พยาบาลเขาแวะมาดูคนไข้ตลอดแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แต่ว่า...”
“เอาตรง ๆ เลยนะม้า...พวกเราควรเว้นช่องว่างให้เรียวบ้าง เล่นอยู่ติดลูกติดหลานแจแบบนี้ มันก็อึดอัดแย่”
ถึงแม้ว่าป๊าจะพูดค่อนข้างตรงใจ แต่ผมก็ต้องพูดปฏิเสธไป เพราะเห็นอาม่ากับหม่าม้ากำลังมองป๊าตาเขียวเลย
“เรียวไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรหรอก...ก็แค่ไม่อยากให้ทุกคนลำบาก”
“…”
“โซฟาก็มีตัวเดียว แล้วจะนอนอัดกันไปได้ไง” ผมพูดพลางพยักพเยิดหน้าไปทางโซฟาตัวยาวที่อยู่ไม่ไกล ก่อนเอ่ยต่อ “นอนไม่ได้ทั้งม้าทั้งอาม่าแหละ”
“...”
“กลับไปนอนที่บ้านกันเถอะครับ”
“อ่า ๆ ม้ายอมกลับบ้านก็ได้ แต่ถ้ามีอะไร เรียวต้องรีบโทรบอกม้าเลยนะ”
“ครับ”
ตอนนี้คงเหลือแค่อาม่าคนเดียวแล้ว เพราะว่าท่านกำลังเอ่ยปาก แล้วทำท่าว่าจะพูดตื๊อต่ออีกหน่อย เผื่อว่าคนป่วยอย่างผมจะใจอ่อน ผมจึงส่งสายตาจริงจังและหนักแน่นกลับไปให้อาม่า พอท่านเห็นแบบนั้นจึงลอบถอนหายใจ แล้วยอมจำนนแต่โดยดี
“ตามใจ...แต่ก็อย่างที่หม่าม้าบอกนะ ถ้ามีอะไรต้องรีบโทรหาที่บ้านเลย เข้าใจไหม?”
“ครับ”
“พักผ่อนเยอะ ๆ” ป๊าว่าพลางเอื้อมมือมาตบไหล่ผม
“ครับ”
ผมละสายตาจากป๊า ก่อนจะสบสายตากับอาม่าที่ก้าวเท้าขยับเข้ามาใกล้ ๆ ท่านส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้น
“อาม่าบอกแล้ว...ว่าให้หาแฟนสักคน”
“...”
“ยามเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้มีคนคอยดูแลกัน”
“…”
“นี่ก็โสดมาจนเรียนจะจบแล้ว เมื่อไรจะเจอคนที่ถูกใจสักทีล่ะ?”
“...”
“อาม่าถามเื่แฟนทีไรก็บอกว่ายังไม่เจอคนที่ชอบคนที่ถูกใจตลอดเลย”
“...”
“เรียวชอบคนแบบไหน บอกอาม่ามา เดี๋ยวอาม่าไปหาหลาน ๆ ของเพื่อนให้”
“ม้า~ ตอนนี้มันใช่เวลามาพูดเื่นี้ไหม?” ป๊าเอ่ยขึ้น
“แต่ก็จริงนะป๊า เรียวควรจะหาใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ ได้แล้ว”
“พอกันเลย ทั้งแม่ทั้งเมีย...” ป๊าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนเอ่ยกับทั้งสองคน “ไป กลับกันได้แล้ว ให้เรียวได้นอนพัก”
“ม้าไปก่อนนะลูก”
“เรียว พรุ่งนี้อยากกินอะไรเป็พิเศษก็โทรบอกอาม่านะ เดี๋ยวอาม่าทำให้”
ผมตอบกลับทุกความห่วงใยด้วยการพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วก็มองส่งทั้งสามคนที่กำลังเดินออกจากห้องด้วยสายตา พอได้ยินเสียงประตูปิดสนิทลง คนป่วยที่อยากนอนพักอย่างผมก็เอนตัวลงนอนทันที
แต่ทว่าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นข้างเตียงก็มีแจ้งเตือนขึ้น ผมจึงต้องขยับตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง พอหยิบโทรศัพท์มาดูก็เห็นชื่อ ‘หมื่นฟ้า’ ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ผมกดรับสายพลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
“อือ”
[ต้องรอป่วยตายก่อนมั้ง มึงถึงจะยอมไปหาหมอ]
“…”
[เป็เหี้ยอะไร ชอบฝืนจนตัวเองจะไม่ไหว]
“ไอ้ฟ้า...”
[…]
“มึงเก็บคำด่าไว้ให้อีน้ำแดงลูกมึงเถอะ ไม่ต้องแบ่งมาให้กูหรอก”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายเบา ๆ ก่อนที่เพื่อนสนิทจะพูดต่อ...
[มึงนอนพักที่โรง’ บาลไปยาว ๆ เลย ไม่ต้องเป็ห่วงที่ร้าน เดี๋ยวกูจัดการเอง]
“กูว่าอีกวันสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ขอแค่ได้นอนพักเยอะ ๆ หน่อย”
[ไอ้เรียว มึงเป็ไข้หวัดใหญ่นะ ไม่ใช่ไมเกรน ไอ้สัด]
“...”
[มึงอย่ารั้นให้มาก ทุกคนเขาเป็ห่วงมึงกัน]
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ย “เออ ๆ กูรู้แล้ว”
[ถ้าหมอยังไม่บอกว่าให้กลับบ้าน มึงก็ไม่ต้องเสือกขอกลับก่อน เข้าใจที่กูพูดไหม?]
“เออ...”
[เดี๋ยวกูกับที่รักแวะไปหาตอนเย็น]
“ไม่ต้องมาหรอก มึงไปดูร้านเหอะ อย่าปล่อยคุณผู้จัดการไว้คนเดียวเลย”
[…]
“แล้วอีกอย่าง...กูก็กลัวที่รักจะมาติดไข้กูด้วย”
[…]
“ไว้กูหายแล้วค่อยเจอกันทีเดียว”
ปลายสายเงียบไปเพียงชั่วครู่ คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนเอ่ยขึ้น...
[งั้นเดี๋ยววันนี้กูเข้าร้านก่อน เพราะกูก็ไม่อยากปล่อยคุณผู้จัดการไว้ที่ร้านคนเดียวเหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้เช้ากูจะเข้าไปหามึง]
“เออ แบบนั้นก็ได้ แต่ไม่ต้องเอาที่รักมานะ กูกลัวน้องติดจริง ๆ”
[เออ]
“แค่นี้แหละ กูจะไปนอนต่อละ”
[เออ มีอะไรก็โทรมา]
“เออ”
ผมเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ตำแหน่งเดิม หลังจากวางสายจากหมื่นฟ้าไปแล้ว ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะผมนอนมองเพดานสีขาวนานเกินไป หรือเป็เพราะอะไรที่ทำให้คำพูดของอาม่าวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง...
‘อาม่าบอกแล้ว...ว่าให้หาแฟนสักคน’
‘ยามเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้มีคนคอยดูแลกัน’
พอจบประโยคคำพูดนั้นของอาม่าแล้ว ก็ตามมาด้วยอีกหนึ่งคำถามของท่าน...
‘เรียวชอบคนแบบไหน?’
นั่นดิ...
ผมแทบไม่เคยถามตัวเองอย่างจริงจังเลยว่า...
สรุปแล้วตัวเองชอบคนแบบไหน
แล้วคนแบบไหน...ที่จะทำให้อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต
ผมหลับตาลงพลางถอนหายใจออกมา เพราะไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ แล้วจู่ ๆ ภาพของผู้หญิงที่ผมเคยลองคบมาหลายคนก็ผุดขึ้นในหัว แต่มันเป็ภาพที่ไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไร เพราะพวกเธอต่างเสียน้ำตาเพราะผม
ผมบอกเลิกผู้หญิงทุกคนที่คบกันไปได้สักพัก ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ขอโทษนะ แต่เราว่าเธอยังไม่ใช่สำหรับเรา’ เหตุผลนี้อาจจะทำให้ผมกลายเป็คนเลวในสายตาพวกเธอ และถูกเข้าใจผิดไปว่า ‘เป็เพราะผมมีคนอื่น ถึงได้หาเื่บอกเลิก’
แต่ความจริงแล้ว...ผมไม่เคยนอกใจแฟนเลยสักครั้ง ทว่าเมื่อเราคบกันไปได้สักพัก ผมกลับรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แล้วเพราะว่าผมไม่อยากโกหกอีกฝ่าย ไม่อยากให้ความหวังว่าผมจะกลับมารู้สึกรักได้เหมือนเดิม ผมจึงอยากปล่อยให้อีกฝ่ายไปเจอคนที่รักพวกเธอจริง ๆ
ผมจำได้ว่าตัวเองมีแฟนคนสุดท้ายตอนเรียนอยู่ปี 2 ก่อนจะครองโสดมาั้แ่ปี 3 จนถึงตอนนี้ นั่นเพราะผมไม่อยากทำให้ใครเสียใจอีก บวกกับความคิดที่ว่า ‘คนที่ใช่ จะมาในจังหวะที่เหมาะสม’
ทว่าผมยอมรับว่าตอนนี้ชักจะลังเลไปกับคำพูดของอาม่าแล้ว แล้วก็เริ่มคล้อยตามคำพูดของหม่าม้าว่า ‘ผมควรจะหาใครสักคนได้แล้ว’ เพราะถ้าผมยังไม่จริงจังกับความรักอยู่แบบนี้…
มารู้ตัวอีกที...
เพื่อนอาจจะมีแฟนกันไปหมด
แล้วก็เหลือแค่ผมที่ต้องอยู่คนเดียว
ผมส่ายหน้าเบา ๆ พลางหันตะแคงข้างไปทางประตู ก่อนจะค่อย ๆ เลิกเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก เป็ตอนนี้เองที่ผมเห็น ‘เฮีย’ มาปรากฏตัว
เฮียใส่เสื้อช็อปวิศวะสีแดงเืหมูกับกางเกงยีนสีดำ และสวมรองเท้าผ้าใบสีดำคู่โปรด ผมจ้องมองเพื่อนสนิทที่สาวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเฮียจะใส่แมสก์ปิด่จมูกและปากไว้ แต่ผมก็รู้ว่ามันกำลังยิ้มกว้างอยู่
เพราะ ‘ดวงตา’ ของมัน
เวลาเฮียยิ้ม...ดวงตามันจะยิ้มตามไปด้วย
“เพราะกูรู้ว่ามึงจะด่าที่กูมาหา...กูเลยใส่แมสก์มาด้วย”
“...”
“รับรองว่าไม่ติดไข้มึงแน่นอน”
ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนเอ่ย “แล้วมึงจะมาทำไม?”
“เอ้า! มึงก็ถามแปลกเนอะ” ไอ้เฮียเอ่ยพลางวางกระเป๋าสะพายข้างลงบนโซฟา ก่อนเอ่ยต่อ “...เพื่อนกูป่วยทั้งคน มึงจะไม่ให้กูมาดูหน่อยเหรอ?”
“...”
“มึงหัดทำตัวเ็าั้แ่เมื่อไรอะ?”
ผมหลุดหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ย “กูกลัวมึงจะมาติดไข้”
“นี่ไง...กูถึงได้ใส่แมสก์มาไง” มันพูดแบบนั้น แล้วก็เดินไปหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ ไอ้เฮียกดไล่หาช่องกีฬาที่มันชอบจนเจอ ก่อนเอ่ยต่อ “โอเค มีช่องถ่ายทอดสดฟุตบอลคืนนี้ กูรอดละ ไม่ต้องไปตามดูย้อนหลัง”
“มีเตะกี่โมง?”
“ตีสองจ้า...ดึกฉิบหายเลยจ้า” เฮียพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาว
“เฮีย มึงกลับไปดูที่บ้านเถอะ ถ้าเตะตอนตีสองอะ”
“...”
“ดูเสร็จแล้วจะได้นอนเลย พรุ่งนี้มึงก็มีเรียนไม่ใช่ไง”
“อือ”
“...”
“กูจะนอนเฝ้ามึง”
“มึงบ้าเปล่าอีน้ำแดง...จะอยู่เฝ้ากูทำไม?”
“ก็กูเป็ห่วงมึงไง”
“…”
“ป่วยแล้วยังทำเก่ง”
“...”
ไอ้เฮียพูดเสียงแ่ขณะดูรายการกีฬาที่มันชอบนักหนา ผมกำลังจะเอ่ยปากไล่มันอีกครั้ง เหมือนกับที่ไล่ทุกคนให้กลับไป แต่พอผมนั่งมองหน้าเพื่อนสนิทไปได้เพียงชั่วครู่ ผมก็กลายเป็คนเห็นแก่ตัวขึ้นมาซะอย่างนั้น
ผมกลับอยากให้เฮียอยู่เป็เพื่อนในคืนนี้ อยากตื่นขึ้นมาในห้องกว้างแล้วเจอมันเป็คนแรก เหตุผลที่วันนี้ผมไม่ยอมโทรบอกมันว่าหมอสั่งให้นอนโรงพยาบาลก็เพราะว่า...
ถ้ามันมาหาผมที่โรงพยาบาล
ในตอนที่ผมป่วยอยู่แบบนี้
ผมจะไม่อยากให้มันกลับไปเลย...
“มึงรู้ได้ไงว่ากูนอนโรง’ บาล”
“มีกุมารไปบอกกูมั้ง...”
“อีน้ำแดง!”
ไอ้เฮียหัวเราะทั้งที่ยังดูโทรทัศน์อยู่ “พ่อ...พ่อฟ้าโทรไปบอกกู”
“...”
“พ่อด่ามึงให้กูฟังเยอะเลย”
“...”
“บอกว่ามึงเป็พวกชอบฝืนตัวเอง”
“...”
“แต่กูก็เห็นด้วยกับพ่อนะ มึงแม่งไม่รักตัวเองเลย”
“...”
“ชอบปล่อยให้ตัวเองป่วยหนักอยู่เรื่อย...” มันพูดบ่นเสียงแ่ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ไอ้เฮียเบิกตาโตแล้วเอ่ย “เรียว อาม่ามึงโทรมาหากูอะ”
“ไม่ต้องรับ เดี๋ยวกูโทรกลับหาเขาเอง”
“ไม่ กูจะรับ กูเป็เด็กดี”
ผมถอนหายใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทรับสายอาม่า เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้ชอบคุยกันนาน
“ครับ อาม่า~”
“...”
“รู้แล้วครับ...เฮียเลยมานอนเฝ้าเรียวอยู่”
“...”
“อ๋อ พรุ่งนี้มีเรียนครับ แต่ว่าไม่เป็ไร เฮียเตรียมเสื้อผ้ามาหมดแล้ว”
“...”
“อาม่าไม่ต้องเป็ห่วงนะครับ เดี๋ยวเฮียดูแลมันให้”
“...”
“แล้วอาม่าเป็ยังไงบ้างครับ? ...ยังปวดหลังอยู่ไหม”
“...”
“อ๋อออ ดีขึ้นแล้ว แสดงว่าหมอที่โรง’ บาลนั้นเก่งมากเลยนะอาม่า”
นั่นแหละ...
มันจะไม่จบแค่เื่ปวดหลังหรอก
เดี๋ยวไอ้เฮียก็จะหาเื่อื่นมาชวนอาม่าคุยอีก
แล้วคนจ่ายค่าโทรศัพท์ของอาม่าก็คือผมเอง
ค่าโทรศัพท์บานเบอะทุกเดือน...
ผมค่อย ๆ ล้มตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง แล้วก็นอนมองเพื่อนสนิทที่หัวเราะอย่างสนุกสนานขณะคุยกับอาม่า พอเห็นดวงตาที่เล็กหยีของเฮียเวลายิ้ม มันก็ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้
แล้วตอนนี้...ตอนที่ผมกำลังมองเพื่อนสนิทอยู่แบบนี้ ผมก็เหมือนหาจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่เป็คำตอบเจอ คำถามของอาม่าจึงได้คำตอบว่า...
ผมชอบคนแบบ ‘เฮีย’
แล้วผมก็เผลอคิดไปว่า...
ถ้ามึงไม่มีแฟน
แล้วถ้ากูก็ไม่มีแฟน
ถ้าเราอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้
อยู่ด้วยกันตลอดไป…
มันก็คงดี
ภาพความทรงจำตอนที่ผมเริ่มรู้ใจตัวเองค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับควันสีขาวกลุ่มสุดท้ายที่ลอยขึ้นเหนืออากาศ ผมก้าวเท้าเข้าไปใกล้ถังขยะสเตนเลสที่้าเป็ที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะโยนก้นกรองบุหรี่ที่ไม่มีความหมายแล้วทิ้งไป แล้วจึงหันไปมองทางเวทีที่มีทีมงานของร้านกำลังตรวจความเรียบร้อยของเครื่องเสียง ก่อนที่นักร้องจะขึ้นมาร้องเพลงให้ลูกค้าฟัง
ในขณะที่ผมกำลังยืนกอดอกมองไปทางเวทีอยู่นั้น สมองมันก็คอยย้ำเตือนว่าความทรงจำที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ มันเป็ตอนที่ผมเริ่มรู้ใจตัวเองว่า ‘ชอบเฮียมากเกินกว่าเพื่อน’ ไปแล้ว หลังจากนั้นมาผมก็ไม่เคยปล่อยผ่านความรู้สึกของตัวเองอีกเลย ผมคอยสังเกตหัวใจตัวเองตลอด
และยิ่งผมทบทวนความรู้สึกตัวเองมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้ว่า ‘เฮีย กูโคตรรักมึงเลยว่ะ’ และพอผมยอมรับหัวใจตัวเองแบบนั้นแล้ว จากที่ผมเคยมองว่ามันเป็คนน่ารักอยู่แล้ว เฮียก็ยิ่งน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาผม
คำว่าน่ารักของผม
ไม่ใช่แค่เื่ของหน้าตา
แต่มันหมายถึง...เขาน่ารัก
เขาที่เป็เขานั่นแหละ...ที่น่ารัก
แต่เป็เพราะมิตรภาพความเป็เพื่อนที่มีมาอย่างยาว มันจึงเป็เื่ยากที่ผมจะก้าวข้ามผ่านคำว่า ‘เพื่อน’ ผมยอมรับว่ากลัวเสียเฮียไป ถ้าหากผมเลือกบอกความจริงไปในตอนนั้น ผมเลยเลือกแอบรักเพื่อนสนิทต่อไป โดยไม่คิดจะบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้อีกฝ่ายรู้
แต่ทว่ามีวันหนึ่งที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมเผยรอยยิ้มบางเบาเมื่อภาพความทรงจำในวันรับปริญญาฉายชัดขึ้นอีกครั้ง...
“ม้า อาอี้ออกมายังครับ?”
“ออกมาแล้ว ๆ เมื่อกี้ม้าโทรหาเขาอยู่”
“โอเคครับ”
“แล้วเพื่อน ๆ เรียวมากันหรือยังล่ะ?” ป๊าเอ่ยถามขึ้น
“น่าจะกำลังมากัน แต่คงมาถึงสายหน่อย เพราะดูแล้วรถคงติดมาก”
“อ๋อ”
ผมพยักหน้าเบา ๆ ตอบกลับป๊า ก่อนจะหลุบตาลงมองอาม่าที่ก้าวเท้าเข้ามายืนประชิดตัว หญิงสูงอายุเ้าของเรือนผมสีดอกเลาเผยรอยยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ วันนี้อาม่าเกล้าผมมวย ปักปิ่นดอกท้อสีชมพู และใส่ชุดกระโปรงผ้าไหมสีชมพูที่สั่งตัดเพื่องานรับปริญญาของผมโดยเฉพาะ ท่านยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบที่ชุดครุยของผมเบา ๆ ก่อนเอ่ย...
“เรียว...อาม่าภูมิใจในตัวหลานจริง ๆ”
“...”
“ั้แ่เด็กจนโต หลานเป็เด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำให้อาม่าผิดหวังหรือเสียใจเลยสักครั้ง”
ทันทีที่อาม่าพูดจบ น้ำสีใสก็เอ่อล้นที่รอบขอบตาของท่าน ทว่าผมก็ยังเห็นความภาคภูมิใจผ่านในแววตาคู่นั้น อาม่ายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม ก่อนจะสวมกอดผม
“อาม่า...ขอบคุณที่เลี้ยงเรียวมาเป็อย่างดีนะครับ” พูดจบ ผมก็กอดอาม่าตอบ
“เรียว นั่นเพื่อนเรียวหรือเปล่า?”
ผมคลายอ้อมกอดออกจากอาม่า ก่อนจะหันไปมองตามนิ้วของป๊าที่ชี้ไปทางประตูทางขวา และผมก็เห็นเพื่อนสนิทที่ไม่คิดว่าจะมาถึงมหา’ ลัยเป็คนแรก เพราะมันมักจะไปสายแทบทุกงาน
เฮียที่แต่งตัวดูดีด้วยการสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูกับกางเกงยีนสีเข้มกำลังเดินหอบช่อดอกทานตะวันมาทางผม วันนี้รอยยิ้มของมันเปล่งประกายมากกว่าทุกวัน คงเป็เพราะรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมสาวเท้าเดินเข้าไปหา พอเราสองคนเดินมาหยุดยืนตรงหน้ากัน เฮียก็เอ่ยด้วยเสียงสดใส...
“เฮียมาแล้วจ้า~”
“...”
“วันนี้ไม่สาย”
“เออ เกินคาดมาก กูคิดว่าไอ้ฟ้าจะมาถึงคนแรก”
“เรียว งานนี้กูบอกไว้เลยนะว่า...ไม่มีใครชนะกูได้หรอก”
“...”
“กูต้องมาถึงเป็คนแรก”
“...”
“เพราะกูจะไม่ยอมให้คนอื่นมาแสดงความยินดีก่อนกูหรอก”
“...”
“ในบรรดาเพื่อนเราอะ...กูต้องได้แสดงความยินดีกับมึงเป็คนแรก”
“...”
“อีน้ำแดงต้องเป็นัมเบอร์วันเท่านั้น”
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปผลักหัวกลม ๆ ของมัน “ชอบเล่นใหญ่ตลอด”
“แล้วมึงชอบไหมล่ะ?” เฮียพูดพลางยิ้มกว้าง ก่อนเอ่ย “มึงก็ชอบแหละ กูดูออก”
ผมมองหน้าเพื่อนสนิท แล้วก็คิดว่า ‘กูจะพูดได้ไหมล่ะ...ว่ากูชอบทุกอย่างที่เป็มึงเลย’ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสถานะ ‘แอบรักเพื่อน’ แล้ว ผมก็คงตอบได้แค่ว่า...
“นับวันมึงยิ่งแรดขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะอีน้ำแดง”
เฮียอมยิ้มขณะสบสายตากับผม ก่อนมันจะยื่นช่อดอกทานตะวันมาให้ “อะ ของมึง”
ผมรับช่อดอกไม้มาถือไว้ มันเป็ช่อดอกไม้ช่อแรกที่เฮียให้ผม “ขอบใจ”
“ยินดีด้วยนะมึง เรียนจบแล้ว”
“...”
“กูรู้...ว่าเราไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้กันหรอก”
“...”
“เพราะกูก็เขินเวลาพูดอะไรแบบนี้ แล้วมึงก็เขินเวลาได้ยิน”
“...”
“แต่กูคิดว่าในวันสำคัญแบบนี้...เราก็ควรพูดดี ๆ กันบ้าง”
“...”
ผมนิ่งเงียบพลางสบสายตากับคนตัวสูงน้อยกว่า เฮียยิ้มกว้างจนดวงตาของมันเล็กหยีลง และนั่นทำให้ผมเห็นดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนรอยยิ้มของเพื่อนสนิท
“ต่อจากนี้...กูก็ขอให้มึงประสบความสำเร็จในทุกเื่เลย”
“...”
“มึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากูก็ได้ กูสัญญาว่าจะไม่อิจฉามึงเลย”
“...”
“แต่ระหว่างทางกว่าที่มึงจะไปถึงจุดหมาย ถ้ามึงพลาดล้มขึ้นมา กูก็ขอให้มึงลุกขึ้นได้เร็ว ๆ”
“...”
“กูแค่อยากเห็นมึงเดินไปได้ไกล ๆ”
ผมหลุบตาลงมองที่พื้นทันทีที่รู้สึกว่ากระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว พร้อมกับเก็บกลั้นความรู้สึกมากมายเอาไว้ ความจริงตอนนี้ผมอยากกอดมันมากที่สุด แต่แค่พูดจาดี ๆ ต่อกัน เราสองคนยังไม่ค่อยได้ทำเลย การกอดกันจึงต้องใช้ความกล้ามาก แต่ผมก็หวัง...หวังให้เฮียกอดผมเหมือนตอนนั้น
ตอนที่ผมโดนไม้หน้าสามฟาดแทนมัน
แล้วมันก็กอดผมไว้แน่น...
ผมรีบเลื่อนสายตาขึ้นก่อนที่จะผิดสังเกต เฮียยังคงส่งยิ้มให้เหมือนเดิม ทว่าการกระทำและคำพูดของมันต่อจากนี้ทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบที่ดวงตาอีกครั้ง เฮียยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาช่วยจัดชุดครุยให้ผม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแ่เบา...
“วันนี้เพื่อนกูหล่อที่สุดเลยว่ะ”
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยถาม “หล่อกว่าวันที่มึงใส่ชุดครุยไหม?”
เพราะเฮียรับปริญญาไปก่อนแล้ว ผมเลยได้ไปร่วมแสดงความยินดีและเห็นมันใส่ชุดครุยมาก่อนแล้ว และวันนั้นมันก็บอกว่า ‘วันนี้กูหล่อที่สุดแล้ว’
“ถามได้น่าตีปากฉิบหาย”
ผมหัวเราะ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร “...”
“ต้องให้กูตอบว่าอะไรอะ มึงถึงจะมีความสุข”
“ตอบตามความจริง”
“ความจริงก็คือ...มึงดีกว่ากูทุกอย่างอยู่แล้ว”
“...”
“มึงเป็มึงที่ดีอยู่แล้ว เรียว”
ผมอึ้งกับคำตอบของเพื่อนสนิทเล็กน้อย และพอจ้องลึกเข้าไปในแววตาของอีกฝ่าย ผมก็เผลอคิดไปว่า ‘บางทีเฮียอาจจะรักผมมากเกินกว่าเพื่อนเหมือนกัน เพียงแต่มันยังไม่รู้หัวใจตัวเอง’ แต่ทุกความคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหม่าม้า
“เรียว มาถ่ายรูปรวมครอบครัวก่อนลูก”
ผมหันไปพยักหน้ารับหม่าม้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมามองเพื่อนสนิท “มึง...”
“มึงไปถ่ายรูปกับครอบครัวเถอะ เดี๋ยวกูไปเดินเล่นรอเพื่อนคนอื่นแถวนี้แหละ”
“มึงไปถ่ายรูปครอบครัวกับกูไหม?”
“มึงจะบ้าหรือไง?! ...นั่นมันรูปครอบครัวนะเว้ย”
“แล้วทำไมวันที่มึงรับปริญญา มึงยังให้กูไปถ่ายรวมกับครอบครัวมึงได้เลย”
“ก็...ก็มึงคือเพื่อนสนิทกูอะ”
“งั้นก็เหมือนกัน...” จริง ๆ แล้ว มันไม่เหมือนกันหรอก เพราะผมรู้ใจตัวเองแล้ว และผมก็อยากให้มันเป็ครอบครัวของผม “ไปกันเถอะ...”
“อะ ไอ้เรียว”
ผมคว้ามือของเพื่อนสนิทและพาเดินมาหาญาติ ๆ ที่ยืนรอถ่ายรูปอยู่ ทุกคนดูแปลกใจเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร คงจะมีแค่ป๊า หม่าม้า อาม่า และน้องสาวของผมเท่านั้นที่เอ่ยทักทายเฮียอย่างสนิทสนม
“เฮีย มาถ่ายรูปด้วยกันมา...” ป๊าเอ่ย
“...มายืนข้าง ๆ อาม่านี่”
“ครับ ๆ”
ผมยืนอยู่ตรงกลาง โดยมีป๊ากับหม่าม้ายืนประกบทั้งสองฝั่ง ส่วนอาม่ากับเฮียและน้องสาวก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับหม่าม้า แต่พอเริ่มถ่ายรูปที่สอง อาม่าก็ขอขยับมายืนใกล้ ๆ ผม
“เฮีย มายืนฝั่งนี้สิ” ป๊าว่าพลางกวักมือเรียกเฮีย เ้าตัวจึงเดินไปยืนข้าง ๆ ผมแทนป๊า
“พร้อมกันแล้วนะครับ”
“จ้า~”
บรรดาญาติ ๆ นับสิบคนเอ่ยตอบรับช่างภาพ พอผมเห็นช่างภาพนับหนึ่งขึ้นมา ผมก็หันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นมาโอบไหล่เฮียไว้ มันเงยหน้าขึ้นสบตากับผม แล้วก็เผยรอยยิ้มที่สว่างสดใสเหมือนกับดอกทานตะวันที่มอบให้ผม
เป็ตอนนี้ที่ผมคิดว่า...
คนนี้แหละ...
ที่ผมอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต
เฮียนี่แหละ...ที่ผมอยากให้มาเป็คู่ชีวิต
เพราะความคิดนี้ที่ทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองหลังจากเรียนจบ โดยเริ่มจากการด่ามันน้อยลง พยายามแสดงความรู้สึกที่แท้จริงกับเพื่อนสนิทมากขึ้น และอยู่ใกล้ชิดกันเพื่อให้เฮียััได้ถึงความรู้สึกของผมที่เปลี่ยนไป
และระหว่างนั้นผมก็เริ่มคิดทบทวนถึงการกระทำและคำพูดของเฮีย ทั้งยังพยายามสังเกตแววตาของอีกฝ่ายในหลาย ๆ ครั้ง ผมกล้าสาบานว่าไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองสักครั้งว่า ‘เฮียรักผมมากเกินกว่าเพื่อน’ เพราะถ้าผมคิดเข้าข้างตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือ...
ผมอาจจะเสียเพื่อนสนิทอย่างเฮียไป...
เพราะว่าเฮียมีความหมายกับผมมาก ผมจึงใช้เวลาคิดไตร่ตรองเื่นี้อยู่นาน และสังเกตอีกฝ่ายอีกหลายร้อยครั้งจนแน่ใจ แล้วถึงกล้าคิดว่า ‘เฮียรักผมมากเกินกว่าเพื่อนเหมือนกัน แต่แค่ยังไม่รู้ใจตัวเอง เหมือนที่ผมก็เคยเป็มาก่อน’
ถึงแม้ว่าผมจะค่อนข้างมั่นใจกับเื่นี้ แต่คนที่มักจะมีแผนสำรองกับทุกเื่ในชีวิตอย่างผมก็ยังคิดเผื่อใจไว้ เพราะตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็คนพูดยืนยันความรู้สึกด้วยตัวเอง ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความรู้สึกของเขา
แต่ถ้าสิ่งที่ผมคิดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองนั้นเป็เื่จริง บางที...การเปลี่ยนแปลงของผมอาจจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้ใจตัวเองมากขึ้น
ผมคิดว่าแผนพิชิตใจเพื่อนรักควรเริ่มอย่างค่อย ๆ เป็ค่อย ๆ ไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ตื่นใ และการที่เริ่มทำให้เ้าตัวรู้ใจตัวเองอย่างช้า ๆ นั้นจะทำให้เพื่อนสนิทมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง เพราะถ้าผมเดินหน้ารุกเร็วจนเกินไป เฮียอาจจะคิดว่าตัวเองแค่รู้สึกหวั่นไหว ทั้งที่ความรู้สึกที่ลงรากฝังลึกอาจจะเป็ ‘ความรัก’ ไปแล้ว
ทว่าเวลาที่ล่วงเลยไปได้สักพักก็ทำให้ผมรู้ว่า ‘เื่ของความรัก...มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก’ เพราะจู่ ๆ วันหนึ่งเฮียก็มาบอกกับผมว่า...
“มึง กูมีอะไรจะบอก”
“มึงจะบอกอะไร? ...ทำไมต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นด้วย”
“คือกูกำลังคุยกับคนหนึ่งอยู่ เราเคยบังเอิญเจอกันบ่อย ๆ ที่ร้านกาแฟ แล้วน้องเขาก็ขอไลน์กูไว้”
“...”
“หลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อย ๆ ...จนตอนนี้กูมั่นใจแล้วว่าชอบเขา”
“…”
“ที่กูเพิ่งมาบอกมึงตอนนี้ก็เพราะกูอยากแน่ใจก่อนว่าชอบเขาจริง ๆ ...ไม่ได้จะปิดบังอะไรหรอก”
“...”
“แต่กูมาบอกมึงคนแรกเลยนะเว้ย”
“อะ อ๋อ เออ”
“กูเพิ่งตกลงคบกับอิมไปเมื่อคืนเอง”
ไม่น่าเชื่อว่าบทสนทนาเพียงสั้น ๆ จะทำให้ผมรู้สึกชาไปทั้งตัวได้ และรอยยิ้มของเพื่อนสนิทก็กำลังกดบีบที่ลำคอของผมจนรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน
ในหัวของผมมีความคิดมากมายเกิดขึ้นเต็มไปหมด แล้วภาพตอนที่เฮียมักจะยิ้มเวลาเล่นโทรศัพท์ก็แวบขึ้นมาตอกย้ำ เป็ตอนนั้นที่ผมคิดต่อว่าตัวเองขึ้นมาทันที ‘ทำไมวะ? ...ทำไมมึงไม่เอะใจ แล้วทำไมมึงถึงปล่อยผ่านไปวะเรียว’
ทำไมอะ...
ทำไมมึงถึงกล้าคิดว่าเขาไม่ได้กำลังคุยกับใคร
และทำไมมึงถึงคิดว่าเขาแค่คุยกับเพื่อน
คำถามเ่าั้ทำให้ผมรู้สึกปวดร้าวไปทั้งหัวใจ แต่ถึงจะเจ็บขนาดนั้น ผมก็ยังอยากยกกำปั้นขึ้นมาทุบหน้าอกตัวเองแรง ๆ อยู่ดี ทุบให้มันเจ็บกว่าเดิม เพื่อจะได้ช่วยย้ำเตือนว่า ‘ที่มึงกำลังพยายามทำอยู่มันยังไม่พอ และเพราะว่ามันยังไม่พอ...ตอนนี้มึงเลยกำลงจะเสียเขาไป’
แต่เพราะผมอยู่ต่อหน้าเฮีย สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ “ยินดีด้วยมึง”
“...”
“มีแฟนกับเขาสักที”
“เนี่ย เพราะกูรู้ว่ามึงต้องรู้สึกยินดีกับกู กูเลยมาบอกมึงคนแรกเลย”
ผมส่งยิ้มตอบกลับไปให้เพื่อนสนิทพลางคิดว่า...
เฮีย ทุกครั้งที่มึงมาบอกเื่ของมึงกับกูเป็คนแรก
กูจะรู้สึกดีใจทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้กูคงต้องยอมรับตรง ๆ ว่า...
กูโคตรเสียใจเลย
แล้วภาพความทรงจำของทุก่เวลา ั้แ่่เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเขา ่ที่พยายามทำให้อีกฝ่ายรู้ใจตัวเอง และ่ที่เ็ปหัวใจที่สุดก็ค่อย ๆ จางหายไปอีกครั้ง
ผมยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ เพราะกำลังคิดว่า ‘ไม่ว่าจะเป็่เวลาไหน...ก็ไม่เคยรักเฮียน้อยลงเลย’ ถึงแม้เฮียจะมีแฟน แต่ผมก็ไม่ได้เลิกรักมัน ผมทำเพียงแค่ถอยกลับมาอยู่ในจุดเดิม ไม่ได้พยายามทำให้เขารู้หัวใจตัวเองอีก เพราะไม่อยากให้เฮียรู้สึกสับสนในความรู้สึกตัวเอง
แล้วก็ใช่...
ตอนนั้นผมทนเห็นเฮียคบกับไอ้เด็กเหี้ยนั่นมาครึ่งปีได้
มันเป็่เวลาที่โคตรทรมานหัวใจเลย
ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมตอนเห็นนักร้องที่ขึ้นไปบนเวทีกล่าวบางอย่างก่อนเริ่มร้องเพลง
“เพลงนี้...ผมขอมอบให้กับ ‘ทุกคนที่แอบรักเพื่อน’ ครับ”
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็อดจะปรบมือให้นักร้องคนนั้นไม่ได้ และฟังจากเสียงปรบมือที่ดังระงมของลูกค้าในร้านแล้ว คืนนี้คงไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวแน่ ๆ ที่แอบรักเพื่อนตัวเอง
เมื่อทำนองของเพลง ‘เพื่อนรัก’ เริ่มบรรเลงขึ้น ทุกคนที่นั่งอยู่โซนเอาท์ดอร์ก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนที่นักร้องเสียงเพราะประจำร้านจะเอื้อนเอ่ยบทเพลงท่อนแรก...
“ขอโทษที่ฉันเอง ไม่อาจเป็เหมือนเดิม อย่างที่เธอ้า...Oh baby”
“…”
“แค่เพื่อนเท่านั้น พยายามเข้าใจ แต่ทำไมในใจของฉันยังสั่น...Oh baby”
“...”
“เธอ เธอคงไม่รู้ว่า...เพื่อนเธอคนนี้ ภายในใจนั้น ข้างใน...ได้เปลี่ยนไปแล้ว”
“...”
“เปลี่ยนไปเป็รัก รักจนหมดหัวใจ รักเพียงแต่เธอ ขอเพียงให้เธอได้รู้ ไม่มีอีกแล้ว เพื่อนที่เธอไว้ใจ เหลือเพียงแต่คนคนหนึ่ง ที่เก็บซ่อนความรักไว้ไม่ไหว ถ้าเธอไม่คิดอะไรอย่างนั้น ก็แค่ทำว่าฉันไม่เคยพูดไป”
ในขณะที่ผมกำลังยืนฟังเพลงที่คิดว่าโคตรตรงกับชีวิตตัวเองอยู่ ผมก็ต้องละสายตาจากเวทีเพื่อหันไปมองข้างกาย เพราะรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเดินมาหยุดยืนข้างกาย ผมจึงเห็นพนักงานสาวคนหนึ่งกำลังยืนส่งยิ้มให้อยู่
“ว่าไงคะ?”
“เอ่อ คุณฟ้าฝากมาบอกว่า...ถ้าคุณเรียวว่างแล้ว คุณฟ้าอยากให้ไปหาที่ห้องทำงานหน่อยค่ะ”
“โอเคค่ะ”
“ค่ะ” เธอเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินจากไป
ไอ้ฟ้าคงมีเื่สำคัญอยากคุยด้วย มันถึงให้พนักงานคนนั้นมาตาม และเพราะวันนี้ผมก็มีเื่สำคัญอยากคุยกับมันเหมือนกัน ผมเลยไม่ลังเลที่จะเดินไปหาเพื่อนสนิทที่ห้องทำงาน
แต่ระหว่างก้าวเดินไปตามทาง ผมก็นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาคุยกับไอ้ฟ้า แล้วภาพเหตุการณ์ในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง...
ก๊อก ๆ
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะหันไปมองทางประตูห้อง พร้อมกับคิดว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าบุกมาหาผมถึงเพนเฮาส์ แล้วพอนึกขึ้นได้ว่ามีแค่เฮียเท่านั้น นั่นก็ยิ่งน่าประหลาดใจ เพราะปกติมันจะส่งเสียงเรียกมากกว่า
ผมลุกจากโซฟาหนังแล้วเดินไปที่ประตูบานใหญ่ ทันทีที่ประตูแง้มเปิดออก ผมก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเฮีย
เพราะใบหน้าของมันซีดเซียวเหมือนคนป่วย ดวงตาที่เคยเปล่งประกายก็บวมแดงราวกับผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาทั้งคืน เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็ทรง คนตรงหน้าสบสายตากับผมอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากของมันจะเริ่มสั่นเทา และเ้าตัวก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ...
“เรียว...”
“…”
“คืนนี้กูขอนอนด้วยได้ไหม?”
ตอนนี้...ผมรู้สึกจุกอกไปหมด มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาบีบไหล่ของเพื่อนสนิทเบา ๆ ก่อนเอ่ยถาม “ใครทำอะไรมึง?”
เฮียฝืนยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้า “กูโง่เองแหละ...ฮึก...”
“...”
“กูเพิ่งจับได้ว่าเขานอกใจกู...” เฮียพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมา มันพยายามทำเป็เข้มแข็งด้วยการยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนใบหน้า “...ฮึก...เขาแอบไปมีอะไรกันตั้งหลายครั้ง”
“...”
“กูเลยบอกเลิกเขาไปแล้ว”
“ไอ้หน้าเหี้ย กูจะไปเอาเืหัวแม่งออก”
ผมพูดพร้อมหมุนตัวจะเดินไปหยิบกุญแจรถ ทว่าเฮียเอื้อมมือมารั้งแขนไว้ก่อน พอผมหันกลับไปก็เห็นมันยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย คนตัวสูงน้อยกว่าก้มหน้าลงแล้วปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนตัวโยน ผมเลยจูงมือมันเดินเข้ามาในห้อง
เฮียทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวทั้ง ๆ ที่ยังร้องไห้อยู่ ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนมองมันเ็ปอยู่แบบนี้ แล้วเป็ตอนนี้ที่ผมรู้สึกว่า...
เฮีย...
กูเจ็บว่ะ
เจ็บที่ปกป้องมึงไม่ได้
เจ็บจนเหมือนหัวใจแตกเป็เสี่ยง ๆ เลย
“เราคบกันมา...ฮึก...ตั้งครึ่งปีอะ เขาทำแบบนี้กับกูได้ไงวะ?”
“...”
“ฮึก ถ้าไม่รักกูแล้วก็บอกกูดิ...” เฮียร้องไห้จนพูดแทบไม่รู้เื่ ก่อนจะรวบรวมสติแล้วพูดต่อ “…ไม่ใช่ทำกับกูแบบนี้”
“…”
เฮียพูดจบก็นั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างหนักเหมือนเดิม ผมที่ยืนมองมันค่อย ๆ พรูลมออกจากปาก หวังระบายความโกรธกับความเสียใจออกไปทางลมหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสนิท
ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบไหล่เฮียเบา ๆ นั่นยิ่งทำให้มันร้องไห้หนักกว่าเดิม ตอนนี้ผมเข้าใจประโยคที่เคยได้ยินมาแล้ว ‘มีคนเคยบอกว่า...ถ้าเรารักใครสักคนมาก ๆ การที่เราเห็นเขาเ็ป เราจะเ็ปไม่ต่างจากเขา หรือบางที...เราอาจจะเ็ปมากกว่า เพราะเราช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าการปลอบใจ’
เพราะผมเข้าใจแล้ว...ผมเลยขยับเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท ก่อนจะวาดแขนทั้งสองข้างโอบกอดคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบผมที่ยุ่งเหยิงของมันเบา ๆ และผมก็พยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นเครือ ก่อนเอ่ยออกไป...
“มึงเจ็บมาก กูรู้...”
“...ฮึก...”
กูก็เจ็บ...
“มึงอยู่กับกูแล้ว อยากร้องก็ร้องไป กูไม่ด่ามึงหรอก”
พอผมพูดจบ ดวงตาของผมก็เริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง แต่ผมก็ต้องเก็บกลั้นความเ็ปไว้ แล้วทำหน้าที่เพื่อนให้ดีที่สุด
และหลังจากวันนั้นมา เฮียคนตลกและสดใสของเพื่อน ๆ ก็กลายเป็คนเศร้าซึม มันชอบนั่งเหม่อบ่อย ๆ และชอบไปกินเหล้าจนเมามาย เพื่อนทุกคนเลยพากันเป็ห่วงมันมาก แต่ก็ไม่มีใครคิดพูดตำหนิ เพราะเข้าใจดีว่าเป็่เวลายากลำบากของมัน
เพื่อนทุกคน รวมถึงตัวผมเองจึงทำได้แค่ปลอบใจและคอยดูแลมันให้ดีที่สุด ทุกครั้งที่มันไปดื่มจนเมา ผมก็จะไปรับมันกลับมานอนที่เพนเฮาส์ตลอด
อย่างในวันนี้ที่ผมเพิ่งทำงานเสร็จจากร้าน Your Sky ไอ้สิน หนึ่งในบรรดาเพื่อนก็โทรมาบอกว่าเฮียเมาอยู่ที่ร้านของรุ่นพี่ ผมเลยต้องขับรถไปรับมันกลับเพนเฮาส์
พอมาถึงห้องก็ลากมันไปอาบน้ำแล้วพามานอนบนเตียง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะมองร่างไร้สติของเพื่อนสนิท ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ
“อืออ...”
“…”
“…อึก....”
ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นมันทำท่าจะร้องไห้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ภาพตรงหน้าอาจจะดูตลกสำหรับใครบางคน แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็ภาพที่น่าเ็ปที่สุด...
เพราะแม้แต่ตอนที่เฮียหลับ
มันยังรู้สึกเ็ปอยู่เลย...
“กูเจ็บ...ฮึก...”
“เออ...กูรู้”
เมื่อไรมึงจะเลิกฝันร้ายสักที
“…ฮึก...”
“...”
พอผมเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท ผมจึงตัดสินใจจับประคองร่างของเพื่อนสนิทขึ้นมา และโอบกอดมันไว้แน่นราวกับไม่อยากปล่อยไปไหนอีก
“เฮีย...”
ผมนั่งกอดเฮียอยู่แบบนั้น
“กูไม่ปล่อยมึงไปแล้วได้ไหม?”
แล้วก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา...
“...”
“ครั้งนี้...ถ้ามึงหายดีแล้ว”
“...”
“กูจะไม่ปล่อยมึงไปแล้ว”
ผมสาบาน...
ว่าผมจะไม่ปล่อย ‘รักแท้’ ให้หลุดมือไปอีก
เหตุการณ์ในอดีตที่แสนเ็ปใจเลือนหายไปตอนที่ผมเดินมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานของไอ้ฟ้า ผมยกมือขึ้นเคาะประตูสองครั้ง ก่อนที่เสียงเอ่ยอนุญาตจากเ้าของห้องจะดังเล็ดลอดออกมา...
“เข้ามา...”
ทันทีที่เปิดประตูบานใหญ่ออก ผมก็เห็นไอ้ฟ้านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้วมีน้องที่รักนั่งอยู่บนตัก ผมลอบถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นมันกำลังอ้อนขอจุ๊บจากแฟนสุดที่รัก
“กูว่างแล้ว แต่ดูเหมือนมึงจะยังไม่ว่างนะไอ้ฟ้า” ผมพูด พร้อมกับสาวเท้าเดินไปหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน น้องที่รักคงอายเลยพยายามจะลุกออกจากตักมัน ทว่าคนตัวเล็กกลับโดนไอ้ฟ้ารั้งตัวเอาไว้
“หนู...จุ๊บปากพี่ฟ้าก่อนค่ะแล้วค่อยไป”
“พี่ฟ้า...”
“ไม่ต้องอายไอ้เรียวหรอก มันเห็นจนชินแล้วครับ”
ผมส่ายหน้าพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะแกล้งยกมือขึ้นมาปิดตาทั้งสองข้างของตัวเอง ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นแล้วผายไปทางไอ้ฟ้า
“เชิญเลยค่ะ ตัวเล็ก...พี่ปิดตาให้แล้ว”
“คุณท้องฟ้านี่นะ! ชอบเอาแต่ใจอยู่เรื่อยเลย”
“หึ ๆ”
“...”
“พี่ฟ้าชอบเอาแต่ใจ...แล้วหนูรักพี่ฟ้าไหมครับ?”
“รักสิครับ ไม่ให้รักพี่ฟ้าแล้วจะให้รักใคร”
“พี่ฟ้าก็รักหนูครับ”
“จุ๊บ”
เสียงดัง ‘จุ๊บ’ เป็เหมือนเสียงเอ่ยอนุญาตให้ลืมตาได้ ผมจึงลดมือลงแล้วมองคู่รักหวานชื่นตรงหน้า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หมื่นฟ้ากับที่รักก็ไม่เคยรักกันน้อยลงเลย และยังดูเหมือนจะรักกันมากขึ้นทุกวันด้วย ผมเผยรอยยิ้มบาง ๆ พลางคิดว่า...
ไอ้ฟ้าก็หล่อ
น้องที่รักก็น่ารัก
สองคนนี้เป็คู่รักที่โคตรเหมาะสมกันเลย
และก็เป็คู่รักที่น่าอิจฉามากด้วย
“รักจุ๊บพี่ฟ้าแล้ว พี่ฟ้าก็ต้องปล่อยให้รักไปทำงานได้แล้วครับ”
“โอเคครับ”
น้องที่รักรีบลุกออกจากตักไอ้ฟ้าด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม “รักไปก่อนนะครับพี่เรียว”
“ครับ”
ผมปล่อยให้ไอ้ฟ้ามองส่งคนรักจนหายลับไปจากสายตา พอได้ยินเสียงประตูปิดสนิทจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมัน
“ทีหลังมึงช่วยสวีตกับเมียมึงให้เสร็จก่อนนะ แล้วค่อยให้คนไปเรียกกู”
“...”
“เห็นแล้วอิจฉาฉิบหาย”
ไอ้ฟ้ายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ถ้ามึงเอาเวลาที่อิจฉากูไปหาเมียสักคน ป่านนี้มึงคงมีเมียไปแล้ว”
“มึงเรียกกูมามีอะไร?”
“เปลี่ยนเื่เก่ง ไอ้สัด”
ผมหัวเราะน้อย ๆ พลางเอ่ย “รีบพูดเื่ของมึงมา เพราะกูก็มีเื่สำคัญจะคุยกับมึงเหมือนกัน”
ไอ้ฟ้าพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนพูดขึ้น “ไอ้เฮียเป็ยังไงบ้าง?”
“มึงเรียกกูมาเพราะเื่นี้เหรอ?”
“เออ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เข้ามาหามึงแล้ว มึงก็ถามมันเองดิ”
“ก็ปกติกูเห็นมึงรู้เื่ของมันแทบจะทุกเื่”
“ไอ้ฟ้า...” ผมเอ่ยเสียงเข้ม เพราะมันเริ่มทำตัวผิดสังเกต ปกติไอ้ฟ้าจะเป็คนไม่พูดจาอ้อมค้อม มันมักจะพูดตรงประเด็นเพื่อให้ได้คำตอบในทันที
“กูจะบอกมึงว่า...ถ้ามึงอยากกลับไปดูแลมัน มึงก็กลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงงานที่ร้านหรอก เดี๋ยวกูจัดการเอง”
“วันนี้กูก็ว่าจะมาขอกลับเร็ว เพราะกูนัดกินข้าวกับมันไว้”
ไอ้ฟ้าพยักหน้า ก่อนเอ่ย “เื่ที่กูจะคุยกับมึงก็มีเท่านี้แหละ”
“...”
“แล้วมึงมีเื่อะไรจะคุยกับกู?”
ตอนนี้คงถึงเวลาที่ต้องพูดความจริงทั้งหมดออกไป ผมเดาว่าไอ้ฟ้าน่าจะพอมองออกอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่ใช่คนช่างพูดช่างถาม และไม่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ฟ้าก็เป็คนละเอียดอ่อนและมักจะจับทางเพื่อนทุกคนได้เสมอ
ดังนั้นผมเลยคิดว่าไอ้ฟ้าน่าจะพอรู้ว่า ‘ผมรักเฮียเกินกว่าเพื่อน’ แต่มันเลือกจะไม่ถาม แล้วรอให้ผมเป็ฝ่ายสารภาพเอง เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะสารภาพเื่นี้กับมัน
“กูคิดว่ามึงน่าจะดูออกอยู่แล้ว...”
“เื่?”
“เื่ที่กูแอบรักเฮีย”
“…” ไอ้ฟ้านิ่งเงียบพลางจ้องมองผม ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ปฏิกิริยาของมันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิดเลย
“กูไม่รู้ว่าเผลอรักมันไปั้แ่ตอนไหน...อาจจะั้แ่ตอนเรียนมัธยมก็ได้”
“...”
“แต่คงเพราะเราเป็เพื่อนกันมานาน มันเลยทำให้กูเพิ่งมารู้ตัวตอนเรียนปีสี่”
“…”
“หลังจากที่กูรู้ใจตัวเองแล้ว กูก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง...เพราะกูอยากให้มันรู้ว่ากูรักมันแบบไหน”
“...”
“แล้วก็เพื่อให้มันรู้ใจตัวเองด้วย...ว่ามันก็รักกูเกินกว่าเพื่อนเหมือนกัน”
“...”
ผมจ้องลึกเข้าไปในตาของไอ้ฟ้า ก่อนเอ่ย “ไอ้ฟ้า...กูไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ”
“…”
“แต่มันมีหลายครั้งมากที่สายตาของมันบอกกูแบบนั้น”
“…”
“แล้วก็มีอีกหลายอย่างที่มันทำให้กูรู้สึกแบบนั้น”
“...”
“ตอนที่มันคบกับไอ้อิม กูก็แอบคิดว่าทั้งหมดอาจจะไม่ใช่เื่จริง กูคงคิดไปเองคนเดียว”
“...”
“แต่เพราะวันนั้น...วันที่กูไปกระทืบไอ้อิม”
“…”
“เฮียก็ทำให้กูกลับมาเชื่ออีกครั้งว่า…มันรักกูเกินกว่าเพื่อนจริง ๆ”
“...”
“กูเลยอยากมาบอกมึงว่า...กูรักเฮีย”
“...”
“กูรักมันมาก...”
“...”
“มากจนปล่อยมันไปไม่ได้อีกแล้ว”
“…”
“กูเคยเสียมันไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะตอนนั้นกูคิดว่าควรจะทำให้มันรู้ใจตัวเองแบบช้า ๆ”
“...”
“แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่าช้าเกินไปก็ไม่ดี...”
“...”
“แล้ววันนี้กูก็ตั้งใจมาบอกมึงว่า...กูจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว”
“...”
“ขอให้พวกมึงเอาใจช่วยกู...กับเฮียที่ยังไม่รู้ใจตัวเองด้วย”
ไอ้ฟ้าเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำนัก มันวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนเอ่ย...
“มึงไม่ได้คิดไปเองคนเดียวหรอก”
“...”
“สายตาคนนอกอย่างกูก็ดูออกว่ามันรักมึงมากกว่าเพื่อนเหมือนกัน”
“...”
“มึงคงไม่รู้ว่าวันที่มึงไปกระทืบไอ้อิม ไอ้เฮียโทรมาหากู บอกให้กูไปช่วยมึงหน่อย มันกลัวมึงโดนไอ้อิมสวนกลับ”
“...”
“มันโทรมาหากู ทั้งที่มันก็ขับรถจะไปถึงที่ที่มึงมีเื่กับไอ้อิมอยู่แล้ว”
“...”
“แล้วมันไม่ได้โทรหาแค่กู แต่มันโทรหาเพื่อนทุกคนเลย บอกว่าให้ไปช่วยมึงเดี๋ยวนี้”
“...”
“แต่คนที่ไปถึงตัวมึงคนแรกคือใครล่ะ?”
“เฮียมาถึงคนแรก”
“เออ...”
ผมนิ่งเงียบแล้วนึกถึงแววตาเป็กังวลของเฮียในตอนนั้น แล้วเสียงของมันก็ดังก้องอยู่ในหัว... “มันพูดกับกูว่า...ถ้ากูเป็อะไรขึ้นมา มันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
“มึงสองคนมั่นใจเถอะ…”
“...”
“…ว่ามึงรักกันจริง ๆ”
“...”
“กูดูออกมาสักพักแล้วว่ามึงสองคนรักกันเกินกว่าเพื่อน”
“...”
“แล้วไม่ใช่แค่กูที่ดูออก เพื่อนทุกคนก็ดูออกเหมือนกัน”
“...”
“แต่ที่ทุกคนไม่พูดไม่ถามก็เพราะว่ามันเป็เื่ละเอียดอ่อน”
“...”
“เพราะมึงสองคนเป็เพื่อนกันมา ต่อให้มึงสองคนจะรู้ใจตัวเองแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะบอกความรู้สึกออกไปตรง ๆ”
“...”
“และเพราะว่ามันเป็เื่ของมึงสองคน...พวกกูเลยทำได้แค่ดูอยู่ห่าง ๆ”
“...”
“แล้วก็หวังว่ามึงสองคนจะได้รักกันสักที...”
“...”
“รักกันแบบคนรัก...ไม่ใช่แบบเพื่อน”
ครั้งนี้นับเป็อีกครั้งที่คนพูดน้อยอย่างไอ้ฟ้ายอมพูดอธิบายยาวเหยียดให้ผมฟัง สิ่งที่ไอ้ฟ้าพูดมาทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกว่า ‘ผมโคตรโชคดีที่มีเพื่อนแบบพวกมัน’ แล้วความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นในใจก็ทำให้ผมเอ่ยออกไป...
“ขอบใจมาก”
“...”
“ขอบใจพวกมึงจริง ๆ”
ไอ้ฟ้าเผยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ย “แต่ถ้ามึง้าความช่วยเหลือจากพวกกู”
“...”
“มึงก็บอกได้ พวกกูพร้อมช่วยเสมอ”
“...”
“เผื่อไอ้เหี้ยมันจะซื่อจนโง่แล้วไม่รู้ใจตัวเองสักที”
ผมยิ้มพลางเอ่ย “มึง...อย่าด่าว่าที่แฟนในอนาคตของกู”
ไอ้ฟ้าหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนเอ่ย “รักเขาฉิบหายเลยนะ ไอ้สัด”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่ส่งยิ้มตอบกลับไป ไอ้ฟ้ามักจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยเสมอ มันไม่ค่อยยิ้มให้ใครง่าย ๆ แต่จะมีแค่น้องที่รักเท่านั้นที่ทำให้มันยิ้มได้บ่อย ๆ ทว่าตอนนี้บนใบหน้าของมันกลับมีรอยยิ้มจาง ๆ เปื้อนอยู่ นั่นทำให้ผมคิดว่า ‘ไอ้ฟ้ากำลังรู้สึกยินดีกับความรักของผมอยู่’
“ตอนที่ไอ้เฮียคบกับไอ้อิม มึงไม่เจ็บฉิบหายเลยเหรอ?”
“เป็คำถามที่เหี้ยมาก”
“หึ ๆ”
ผมยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบไปตามความจริง “ตอนนั้นมันยิ่งกว่าเจ็บฉิบหายอีก”
“...”
“มันทั้งทรมานทั้งเจ็บ”
“...”
“กูต้องคอยบอกตัวเองว่าควรชินได้แล้ว เวลาเห็นเขาอยู่ด้วยกัน”
“...”
“แต่ใจกูมันก็ไม่ชินสักที ทุกครั้งที่เห็นก็ยังเจ็บเหมือนเดิม”
“...”
“แล้วกูก็เลิกรักมันไม่ได้ด้วย”
“...”
“แต่ที่กูเจ็บมากจนหัวใจแม่งพังย่อยยับก็เป็ตอนที่เฮียจับได้ว่าไอ้เด็กเหี้ยนั่นนอกใจ”
“...”
“ตอนนั้นแม่งแบบ...กูรู้สึกเจ็บจนเหมือนจะขาดใจอะ”
“มึงเจ็บเพราะเห็นมันร้องไห้ไง”
“เออ...”
“…”
“กูก็เลยบอกกับตัวเองว่า...ถ้ามันหายดีแล้ว กูจะไม่ปล่อยมันไปอีก”
ไอ้ฟ้าพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ย “ถ้าครั้งนี้รวบหัวรวบหางอีน้ำแดงได้แล้ว มึงก็รีบจับมันแดกซะ มันจะได้ไม่หลุดมือมึงไปอีก”
“ไอ้สัด” ผมพูดปนหัวเราะ ก่อนเอ่ยต่อ “มึงไม่มีเื่อะไรจะคุยกับกูต่อแล้วใช่ไหม?”
“เออ”
“งั้นกูขอกลับเลยนะ…เฮียคงรอกูนานแล้ว”
ไอ้ฟ้าพยักหน้ารับเบา ๆ ผมจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินออกมาจากห้องทำงานของมัน ระหว่างที่เดินมุ่งตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านหลังร้าน เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังก็รั้งฝีเท้าของผมเอาไว้ พอหันกลับไปมองก็เห็นเพื่อนต่างคณะที่เคยรู้จักกันสมัยเรียนมหา’ ลัย
“อ้าว ปัด” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผู้หญิงหน้าตาสะสวย แต่งตัวเซ็กซี่ ก้าวเท้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม ก่อนจะส่งยิ้มอย่างเป็มิตรมาให้
“เรามานั่งดื่มกับเพื่อนตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเรียวเลย เรียวไปไหนมาเหรอ?”
“อ๋อ เราไปคุยธุระกับเพื่อนมา ปัดมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
คนตรงหน้าเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแ่เบา “เรียวว่างไหม? ...เราอยากชวนไปนั่งที่โต๊ะหน่อย”
“เราไม่ว่างเลยค่ะ...”
“...”
“ต้องรีบกลับไปกินข้าวกับแฟน”
ยังหรอก...
ยังไม่ได้เป็แฟนกับอีน้ำแดงหรอก
แต่ก็ต้องตอบแบบนี้ไปก่อน
ไม่งั้นเื่คงไม่จบ...
เพื่อนต่างคณะเลิกตาโตอย่างประหลาดใจ ก่อนเอ่ย “ระ เรียวมีแฟนแล้วเหรอ?”
“ค่ะ...มีแฟนแล้ว”
“...”
“แล้วก็รักแฟนมากด้วยค่ะ”
“อะ อ๋อ...ดีจังเลยเนอะ”
ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ย “งั้นเราขอตัวก่อนนะ แฟนรอนานแล้ว”
#รักแท้ของผมคือคุณ
ผมใช้เวลาไม่นานมากก็กลับมาถึงเพนเฮาส์ คีย์การ์ดสีขาวที่พกติดตัวไว้ถูกแตะลงบนเครื่องสแกนก่อนที่ประตูบานใหญ่จะแง้มเปิด
ทันทีที่สาวเท้าเข้ามาในห้องก็เห็นเพื่อนสนิทที่เป็เ้าของแววตาเปล่งประกายคล้ายดอกทานตะวันกำลังยกจานสองใบมาวางบนโต๊ะอาหาร
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ?”
“...”
“กูทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะเดินไปดูอาหารที่เฮียเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ บนจานอาหารสีน้ำเงินมีไข่ดาวอยู่สองฟอง และจานสีขาวก็มีผัดผักหน้าตาพอไปวัดไปวาได้
“กูทำเป็แค่นี้แหละ”
“มึงทำผัดผักเป็ั้แ่เมื่อไหร่?”
“เมื่อกี้เลย...กูเปิดยูทูปดู แล้วก็ทำตามที่เชฟสอนอะ”
ผมส่ายหน้าน้อย ๆ พลางมองจานผัดผักอย่างเอ็นดู “...”
“มึง ถึงผัดผักของกูจะหน้าตาไม่น่ากิน แต่รสชาติใช้ได้เลยนะ กูชิมก่อนแล้ว”
“...”
“ที่สำคัญ...แดกแล้วไม่ตายด้วย”
เฮียเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มกว้าง นั่นทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ ผมพยักหน้าเบา ๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อนสนิทดูจะตื่นเต้นมาก ๆ ที่ผมยอมกินอาหารฝีมือเขาอย่างง่ายดาย เ้าตัวรีบวิ่งไปตักข้าวมาสองจาน ก่อนจะวิ่งกลับมาพร้อมกับจานข้าวสวยร้อน ๆ เฮียยื่นจานข้าวให้ผม แล้วมันก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มึง...ลองชิมดิ”
“ตักให้กูสิ”
“แหม...ให้กูป้อนใส่ปากให้เลยไหมล่ะ?”
ผมกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินประโยคคำถามนั้น แล้วคิดว่า ‘เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูจะให้มึงป้อนกูไปตลอดชีวิตเลย’ เฮียตักผัดผักฝีมือตัวเองมาใส่จานของผม ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางจานข้าวเป็เชิงบอกให้ลองชิม
ผมตักอาหารใส่ปากพลางมองใบหน้าของเพื่อนสนิท เฮียทำหน้าลุ้นเหมือนตอนผมกินข้าวต้มปลาไม่มีผิด เพราะผมรู้ดีว่าเฮียอยากได้คำตอบใจจะขาดแล้ว ผมจึงเอ่ยออกไป...
“ผ่าน”
เป็ตอนนี้ที่เชฟมือใหม่อย่างเฮียเผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะตักผัดผักใส่ปากตัวเองบ้าง เ้าตัวทำหน้าระรื่นพลางเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ
“กูไว้ใจเขาได้จริง ๆ”
“เชฟที่สอนทำอาหารในยูทูป?”
“ฮึ...ผงชูรส”
“ไอ้เหี้ย...มึงนี่มัน…” ผมพูดปนหัวเราะ
เฮียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผมมองเพื่อนสนิทไม่วางตาพลางคิดว่า...
เฮีย มึงรีบรู้ใจตัวเองได้แล้ว
ไม่อย่างนั้น...คนอื่นจะมาคาบกูไปแดกแล้วนะ
แต่ก็นั่นแหละ...
เป็กูเองที่ไม่ยอมไปกับใครเลย
ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่มึง
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้