เจียงหงป๋อมาเรียนวิชาแพทย์จากหมอฉู่ หลินหวั่นชิวจึงให้เจียงหงหย่วนไปสอบถามเื่นิสัยและความชอบของเขาจากเถ้าแก่เถาที่อยู่โถงร้อยโอสถ
เห็นหรือไม่ ได้นำมาใช้ประโยชน์แล้ว
หากไม่แน่ใจว่าหมอฉู่มีแรงต่อต้านต่ำต่ออาหารอร่อย โดยเฉพาะขนมหวานคุณภาพสูง หลินหวั่นชิวคงไม่กล้ายืดตัวตรงขนาดนี้
“อร่อยก็ทานเยอะๆ หมดแล้วข้าทำมาเพิ่มให้ ไว้หานมวัวได้แล้วจะทำตั้นเกาเนยให้กิน” หลินหวั่นชิวหยิบตั้นเกาอีกชิ้นให้เจียงหงป๋อด้วยรอยยิ้ม
เจียงหงป๋อรับตั้นเกาจากมือนาง ถือไว้ข้างๆ หมอฉู่และค่อยๆ กินชิ้นในมือที่ยังไม่หยด
ภายใต้การกระตุ้นของกลิ่นหอม หมอฉู่กลืนน้ำลายไม่หยุด
หลินหวั่นชิวสบโอกาสพูดกับเจียงหงป๋อว่า “วันที่เก้าเดือนสิบสอง บ้านพวกเราจะย้ายเข้าบ้านใหม่ หากเ้ามาได้ วันนั้นข้าจะเตรียมขนมแสนอร่อยหลายอย่างไว้ให้”
เจียงหงป๋อหันไปถามหมอฉู่ “ท่านอาจารย์ วันที่เก้าเดือนสิบสอง ข้าขอหยุดหนึ่งวันได้หรือไม่ขอรับ?”
“ถ้าเ้าท่องจุดฝังเข็มบริเวณร่างกายท่อนบนได้หมด ไม่ต้องพูดถึงวันเดียว ต่อให้อยากหยุดสองสามวันก็ยังได้ และไม่ใช่แค่นั้น อาจารย์เองก็จะไปร่วมงานกับเ้าด้วย” หมอฉู่ตอบ
เขาปลื้มใจเหลือเกิน เด็กคนนี้ความจำดีมาก มีพร์ด้านการเรียนแพทย์สูง
พูดแบบไม่เกินจริงคือ หากเด็กคนนี้ตั้งใจเรียน ความสำเร็จในอนาคตต้องเหนือกว่าเขามากเป็แน่
แต่แน่นอนว่าเพราะเขาเองก็เป็อาจารย์ที่เข้มงวดเช่นกัน รู้จักใช้วิธีเพิ่มกำลังที่เหมาะสมเพื่อดันให้ศิษย์ก้าวหน้า
อืม…เขาไม่ยอมรับว่าแท้จริงแล้วตามไปเพราะอยากกินขนม
หมอฉู่มองตั้นเกาในมือเจียงหงป๋ออย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้งแล้วยกมือเรียกหงซิ่ว “หงซิ่ว มาเข็นปู่ออกไปรับแดดเสียหน่อย”
หลานสาวตัวยุ่งคนนี้นี่…ตาแก่อย่างเขาแค่อยากกินขนมต้องยากขนาดนี้เลยหรือ?
ฉู่หงซิ่วเข้ามาเข็นหมอฉู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาทำตาขวางใส่เจียงหงป๋อ เ้าหมอนี่แย่ที่สุดแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านางกับท่านปู่ชอบกินขนมแต่ไม่เชิญชวนพวกนางสักคำ
เด็กหญิงลืมเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเพิ่งพูดว่าขนมพวกนี้เป็ขยะ
“ท่านปู่ ชนบททุรกันดารมีกระไรให้น่าไปกันเ้าคะ” ฉู่หงซิ่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หมอฉู่หัวเราะ “ออกไปผ่อนคลายอารมณ์บ้าง เพลิดเพลินกับความงามในชนบทน่ะรู้จักหรือไม่? ตอนปู่ยังหนุ่มก็ชอบขึ้นเขาลึก”
“นั่นเพราะท่านปู่ไปเก็บสมุนไพรต่างหาก!”
“อีกเื่ ท่านปู่สั่งให้เ้านั่นท่องตำแหน่งฝังเข็มตั้งนานแล้ว…ท่านกำลังช่วยเขาชัดๆ ฝากตัวเข้ามาเป็ศิษย์ มีการหยุดเรียนที่ใดเล่า”
“เ้านั่นเ้านี่กระไร เด็กคนนี้นี่ เขาเป็ศิษย์พี่ของเ้า จับผิดศิษย์พี่ตัวเองเช่นนี้ เอาเวลาไปท่อง ‘คัมภีร์สมุนไพรเสินหนง’ ให้ได้ก่อนดีหรือไม่!”
เสียงของสองปู่หลานค่อยๆ ห่างออกไป หลินหวั่นชิวดึงเจียงหงป๋อมานั่งลง ถามด้วยความเป็ห่วงว่า “หงป๋อ เ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่?”
นางสงสารเด็กคนนี้มากจริงๆ เพิ่งหายป่วยก็มากราบอาจารย์ แต่ผลลัพธ์เล่า…หลานสาวแสนรักของหมอฉู่น่าจะรังแกหงป๋อเป็ประจำ
“เ้าไม่ต้องเรียนแล้วดีหรือไม่ ไปเรียนที่สถานศึกษาเพื่อสอบเคอจวี่แบบหงหนิงแทน” วินาทีนี้ หลินหวั่นชิวแปลงร่างเป็มนุษย์แม่ที่ตามใจลูกแบบไม่มีหลักการที่ตัวเองเกลียดที่สุด
หงป๋อน่าเอ็นดูขนาดนี้ นางทนเห็นเขาถูกรังแกไม่ได้จริงๆ หากอาจารย์จะเข้มงวดนางก็ไม่ว่า แต่เด็กที่ชื่อฉู่หงซิ่วกลับพูดจาดูิ่
มารดามันเถิด นางมอบของให้หมอฉู่ตั้งมากมาย พวกนางจ่ายค่าเล่าเรียนเข้ามานะ
“พี่สะใภ้ ท่านอาจารย์ดีต่อข้ามากขอรับ ศิษย์น้องยังนิสัยเหมือนเด็ก ข้าแค่ไม่ต้องไปสนใจนางก็พอ อีกอย่าง ขนาดข้าไม่สนใจนาง นางก็ยังโกรธข้า ข้าไม่ได้ขาดทุนแต่อย่างใด ข้ามาเพื่อศึกษาวิชาแพทย์ ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับนาง อยู่บ้านท่านหมอฉู่ ข้าได้รับวิชาความรู้ ไม่ต้องถูกตีไม่ต้องทนหิวทนหนาว ท่านอาจารย์เองก็ตั้งใจสอนข้า อย่างอื่นที่เหลือ…ข้าไม่เก็บมาใส่ใจขอรับ”
เมื่อครั้งอดีต หานซานถามสือเต๋อ[1] “โลกนี้มีคนใส่ร้ายข้า เกลียดข้า ดูิ่ข้า หัวเราะเยาะข้า เหยียดหยามข้า รังเกียจข้า ชิงชังข้า โป้ปดข้า ข้าควรทำเยี่ยงไร?” สือเต๋อตอบว่า “เ้าแค่ทนเขา ยอมเขา ปล่อยเขา หลีกเขา เลี่ยงเขา เคารพเขา ไม่ต้องสนใจเขา รอสักสองสามปีค่อยกลับมาดูใหม่… เขาแกร่งปล่อยเขาแกร่ง ลมโชยพัดขุนเขา เขาร้ายปล่อยเขาร้าย จันทร์กระจ่างกลางน้ำ…”
ฟังคำพูดเจียงหงป๋อแล้วหลินหวั่นชิวนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา
นางมองเจียงหงป๋ออยู่นาน เด็กคนนี้เคยป่วยหนัก เคยฆ่าตัวตายด้วยความสิ้นหวัง ตอนนี้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง…กลายเป็คนปล่อยวางไม่ถือสากับสิ่งใด
แต่เขาไม่เก็บมาใส่ใจก็ดีแล้ว หลินหวั่นชิวห่วงว่าเขาจะจิตใจบอบช้ำจนนิสัยค่อยๆ เปลี่ยนไป
ทว่าดูจากตอนนี้…นางคงคิดมากไปเอง
“เ้าท่องตำแหน่งฝังเข็มได้หรือไม่? ท่องไม่ได้ก็ไม่เป็ไร ไว้พี่สะใภ้มีเวลาค่อยนำอาหารมาเยี่ยมเ้าอีกก็ได้” หลินหวั่นชิวพูด “เดี๋ยวนำตั้นเกาไปแบ่งให้ท่านอาจารย์เ้าด้วย เมื่อครู่พี่สะใภ้ใช้อารมณ์เกินไป พวกเราควรเคารพครูบาอาจารย์ก็ควรเคารพครูบาอาจารย์”
วัตถุประสงค์หลักคืออยากให้เขาได้ชิมตั้นเกา กินของของนางแล้วจะได้ปากอ่อน เลี้ยงทั้งปาก เลี้ยงทั้งกระเพาะ เขาจะได้ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้หงป๋อ
ที่กล่าวกันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเสมือนแม่ก็หมายถึงสตรีที่ดูแลเลี้ยงดูน้องสามีดั่งลูกแบบหลินหวั่นชิวนี่แหละ
“อื้ม ข้าจะทำตามที่พี่สะใภ้ว่าขอรับ” เจียงหงป๋อตอบอย่างเชื่อฟัง
ทั้งคู่คุยกันอีกสักพัก หลังจากแน่ใจแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ทนหิวทนหนาวที่บ้านฉู่ หลินหวั่นชิวจึงบอกลากลับไป
นางจะรบกวนเวลาเรียนมากไม่ได้
เจียงหงป๋อเดินมาส่งนางที่ประตูใหญ่ นางบอกให้เขากลับเข้าไป แต่เขากลับยืนมองจนรถล่อนางหายไปจากสายตาด้วยรอยยิ้มจึงจะเดินกลับเข้าไป
อย่างไรเขาก็ยังเป็เด็ก
มีเด็กคนใดไม่คิดถึงบ้านบ้างเล่า
หลินหวั่นชิวทอดถอนใจในใจ
สองสามวันต่อมาเจียงหงหย่วนงานยุ่ง หลินหวั่นชิวก็งานยุ่งเช่นกัน นางยุ่งกับการเขียนโครงเื่นิยายแนวเทพเซียน ตัวเอกเป็คนไร้ความสามารถที่ถูกวงศ์ตระกูลขับไล่ ถูกว่าที่ภรรยาถอนหมั้น เนื่องจากเมตตาช่วยบุรุษเฒ่าผู้หนึ่ง บุรุษเฒ่ามอบแหวนหยกหนึ่งวงให้เขา ไม่นึกเลยว่าแหวนวงนั้นจะเป็แหวนวิเศษ ไม่เพียงมีโอสถที่เปลี่ยนให้คนไร้ความสามารถกลายเป็อัจฉริยะ แต่ยังมีเคล็ดวิชาที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ
จากนั้นตัวเอกก็เริ่มการเดินทางแก้แค้น ช่วยแก้แค้นให้พ่อแม่ และได้บุปผางามในท้ายที่สุด
โครงเื่ตามแบบฉบับนิยายในอินเทอร์เน็ต ไม่รู้ว่าตู้ซิวจู๋จะเข้าใจในจิติญญาและเขียนออกมาได้หรือไม่
เชิงอรรถ
[1] หานซาน(寒山) สือเต๋อ(拾得) ทั้งสองคนเป็เทพแห่งความรักใคร่ปรองดอง มักเรียกคู่กันย่อๆ ว่า ‘เหอเหอะ’ ภาพของทั้งสองจะอยู่คู่กันเสมอ นับเป็ภาพสัญลักษณ์แห่งความรักกลมเกลียว และเป็ภาพที่มีความหมายที่ดีสำหรับการส่งมอบให้เป็ของขวัญแก่คู่บ่าวสาวในวันแต่งงานมากที่สุด