อวิ๋นจื่อประหลาดใจมากที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แต่ไม่นานนางก็โยนมันทิ้งไป เพราะต่อให้ทำสำเร็จ ทั้งนางและอวิ๋นเหิงก็ไม่มีความสามารถในการรักษาบัลลังก์เอาไว้อยู่ดี
และที่สำคัญที่สุดคือ มีแนวโน้มสูงมากที่นางจะทำไม่สำเร็จ
หากเป็เช่นนั้นนางจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง?
บางทีนางอาจเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ และตระกูลอวิ๋นก็คงถึงคราวจบสิ้นแล้วจริงๆ
ไม่เป็ไร หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
‘ข้าอยากทำให้ได้อย่างที่ซูเจินกล่าว หากเผชิญกับอุปสรรค ข้าต้องหัดใช้สมองบ้างแล้ว’
‘ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกอื่น’
‘วันหนึ่งข้าจะยืนอยู่ในตำหนักเหวินฮวาและสั่งให้เย่เซียงหมอบกราบแทบเท้าข้า ข้าจะไม่ฆ่าเขา แต่หากเขาไม่ยอมทำตามคำสั่งข้า ข้าก็จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย’
‘ขุนนางและฏทุกคนต้องถูกลงโทษ!’
นี่คือคำสอนที่เสด็จพ่อคอยพร่ำสอนนาง แต่ไม่นานเสด็จพ่อก็จากไปด้วยน้ำมือของคนเหล่านี้
นางต้องเติบโต
นางต้องแข็งแกร่ง
เย่เช่อเดินนำอวิ๋นจื่อเข้าไปด้านใน บ่าวรับใช้ที่เพิ่งมาทำงานไม่รู้จักเขาจึงเข้ามาขวางทางด้วยท่าทีดุดัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้อีกคนที่ดูอายุมากแล้วเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง สถานการณ์จึงคลี่คลายลง
จากนั้นบ่าวรับใช้คนดังกล่าวก็ถามเย่เช่ออย่างนุ่มนวลว่าหญิงสาวที่มาด้วยคือใคร
เย่เช่อยิ้มและตอบอย่างร่าเริงว่า “ลุงโจว นี่คือนายหญิงในอนาคตของจวนจวงจื่อ”
บ่าวรับใช้ชื่อลุงโจวยิ้ม “เช่นนั้นก็เป็ฮูหยินน้อยในอนาคต แล้วฮองเฮารู้หรือยังขอรับ?”
เย่เช่อกล่าวว่า “ข้าจะบอกเสด็จแม่ในไม่ช้า นางคือคุณหนูใหญ่ตระกูลซูแห่งเมืองหยงโจว”
ลุงโจวยิ้มอย่างยินดีและกล่าวทักทายอวิ๋นจื่ออย่างสุภาพ
เย่เช่อถามไถ่ความเป็อยู่ของเขาสองสามคำ จากนั้นก็ขอตัวพาอวิ๋นจื่อเข้าไปด้านใน
เย่เช่อเดินเข้าไปในส่วนลึกของจวนพร้อมกับอวิ๋นจื่อ ทั้งสองด้านของทางเดินมีไม้เถาที่สูงประมาณครึ่งตัวคน ใบสีเขียวมรกตมีลักษณะกลมเป็ประกายภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ระหว่างทั้งสองมีเพียงความอ่อนโยนและกลมกลืนราวกับพวกเขาเป็เพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปี
แสงแดดส่องผ่านกิ่งก้านและใบของต้นไม้ คนสองคนที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินจูงมือกันเงียบๆ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวและงดงาม
ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด
ดูเหมือนว่าการทำลายความเงียบจะเป็เื่ผิด
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็ได้ยินเสียงเพลงลอยมาตามลม
“มีสาวงามทางเหนือที่งดงามไม่มีใครเทียบได้
แต่ลองพิจารณาความงามของเมืองและแคว้นดูสิ
มองไม่เห็นความงามของเมืองและแคว้นงั้นหรือ? จำไว้ว่าสาวงามนั้นหาได้ยากนัก”
เสียงร้องนั้นฟังดูห่างไกลและอ้างว้าง เ้าของเสียงดูคุ้นเคยกับเพลงราวกับเคยร้องมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทันใดนั้นทำนองเพลงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ม้าขาวและอานม้าสีทองของจักรพรรดิหวู่ ธงหนึ่งแสนผืนโบกสะบัดอยู่ในฉางหยาง
หญิงสาวนั่งอยู่บนหอคอย นางร้องเพลงพิณและมองเห็นฝุ่นที่ลอยเข้ามาในบ้านจากระยะไกล
นอกเมืองเต็มไปด้วยคูน้ำ การใช้สีแดงแต่งแต้มใบหน้ามีไว้สำหรับคณิกา
นักเดินทางมากกว่าพันคนมาพร้อมเหรียญทองและริบบิ้นสีม่วง”
นี่เป็เพลงโบราณที่ฟังดูกินใจ ทั้งยังให้ความรู้สึกห่างไกลและอ้างว้าง
หัวใจของอวิ๋นจื่อเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย
เย่เช่อสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาถามเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
อวิ๋นจื่อยิ้มและกล่าวว่า “ฟังสิ ข้าได้ยินเสียงคนร้องเพลง”
เย่เช่อตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่งแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย เขาหัวเราะและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีเพียงผู้ที่เคยเป็เทพธิดาในชาติก่อนเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงเพลงของภูติแห่งป่า ชาติก่อนเ้าคงจะเป็เทพธิดาที่ใจดีและงดงามมาก”
อวิ๋นจื่อรู้สึกขบขันกับคำพูดอันแสนอ่อนหวานของเขา นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ปากหวานนัก”
เย่เช่อยิ้มตอบ “ไม่ใช่ว่าเ้าเคยชิมแล้วหรือ? เ้าน่าจะชมข้าแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
ใบหน้าของเย่เช่อมีรอยยิ้มสดใส ตอนนี้เขามีความสุขมาก
ใบหน้าอันงดงามของอวิ๋นจื่อเปลี่ยนเป็สีชมพูด้วยความเขินอาย นางจึงผินหน้าและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
เย่เช่อที่กำลังมีความสุขรีบะโขึ้นทันที “รอข้าด้วย…”
ทั้งสองวิ่งไล่กันในสวน เหมือนผีเสื้อสองตัวบินเกี้ยวกัน
ใน่เวลานั้นความเกลียดชังในอดีตดูเหมือนจะเลือนหายไป
สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ตระกูลและแผ่นดิน ความเกลียดชัง ขุนนางฏ ตระกูลอวิ๋น การสนับสนุนจากตระกูลฮั่ว อ๋องอวิ๋นเมิ่ง ตำแหน่งรัชทายาท หรือข้อพิพาทและการต่อสู้ล้วนถูกฝังไว้ลึกสุดใจ
ในเวลานี้สิ่งที่อวิ๋นจื่อ้าคือการได้อยู่กับคนที่นางรัก
‘ตอนนี้ข้าไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น’
…
ณ จวนตระกูลซู
ซูเจินหยิบเทียบเชิญขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา
เขาไปยั่วยุใคร? เหตุใดจึงมีเทียบเชิญจากฮองเฮาส่งมาหาเขา?
หรือเย่เหยียนไปพูดอะไรให้ฮองเฮาฟัง?
ย่อมเป็ไปไม่ได้แน่! ด้วยสมองหมูของเย่เหยียน เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างไร?
หรืออาจเป็เย่เช่อ?
เย่เช่อจะไม่ทำร้ายตระกูลซูใช่หรือไม่?
ถึงแม้ซูเจินจะมีความคิดชั่วร้ายมากมายในการจัดการกับตระกูลเย่ แต่เขาจะไม่ทำอะไรเย่เช่อ เพราะอีกฝ่ายเป็พี่ชายที่ดี
เขายังคงเชื่อใจเย่เช่ออยู่
แล้วเทียบเชิญนี้มีความเป็มาอย่างไร?
ทันใดนั้นซูเจินก็ตระหนักว่าเย่เช่อพาอวิ๋นจื่อไปที่ไหนสักแห่ง เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาพานางไปเข้าเฝ้าฮองเฮา?
ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฮองเฮาไม่น่ารู้ที่ตั้งของจวนลับทั้งหมดที่เย่เช่อมี
หรือนางรู้แล้ว?
เย่เช่อมีจวนลับหลายแห่งในแถบชานเมืองหยงโจว
จู่ๆ ซูเจินก็จำได้ว่าฮั่วฮองเฮาเคยมอบอุทยานดอกไม้จวงจื่อให้เย่เช่อเมื่อหลายปีก่อน
เย่เช่อต้องพาอวิ๋นจื่อไปที่นั่นแน่ เกรงว่าเขาคงจะบอกบ่าวรับใช้ว่าอวิ๋นจื่อเป็คุณหนูใหญ่ตระกูลซู
เย่เช่อทำสิ่งที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร?
ถ้าเป็เช่นนั้นก็แย่แล้ว
หากเื่นี้แพร่กระจายไปถึงเมืองอวิ๋นเมิ่ง คนเ่าั้ย่อมรู้ว่าอวิ๋นจื่อยังมีชีวิตอยู่
เขาควรทำอย่างไร?
หรือเขาถูกกำหนดมาให้ล้มเหลว
จิตใจของซูเจินหม่นหมองราวกับกระแสน้ำขุ่น
…
ณ เมืองผิงชางซึ่งเป็เมืองหลวงของแคว้นซินหลัว
ชิงซีค่อยๆ เดินเข้าไปในท้องพระโรงอันโอ่อ่า
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในท้องพระโรง แต่เพียงครู่เดียวดวงตาของเขาก็กลับมาเป็ปกติ ประมุขตระกูลมู่ทำให้เซียวเหยียนเกิดความสงสัยเล็กน้อย บางทีนางอาจเป็สัตว์ประหลาดจริงๆ ไม่เช่นนั้นตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาเหตุใดรูปลักษณ์ของนางไม่เคยเปลี่ยนไปเลย? ที่สำคัญที่สุดคือเสื้อผ้าของนางไม่เปลี่ยนไปด้วยซ้ำ
เซียวเหยียนรู้สึกหวาดกลัวนางเล็กน้อย นางรู้จักอาจารย์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ที่มีนิสัยเยือกเย็นและเคร่งขรึมกลับให้ความเคารพหญิงสาวคนนี้เป็อย่างยิ่ง
บุคคลนี้เปรียบได้กับสิ่งลึกลับ
เซียวเหยียนกล่าวว่า “ในอดีตข้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ท่านประมุขโปรดชี้แนะด้วย”
ชิงซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะชี้แนะฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? เ้าต่างหากที่ต้องชี้แนะข้า”
เซียวเหยียนกล่าวว่า “ท่านประมุขเดินทางมาไกลคงจะลำบากมาก ไม่ต้องกังวลไป วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่อุทยานหลวง”
ชิงซีพยักหน้าและถามว่า “อาจารย์ของเ้าอยู่ที่ไหน?”
เซียวเหยียนประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่า ‘อาจารย์ไม่ได้อยู่ที่เมืองหยงโจวหรอกหรือ? เหตุใดนางถึงไม่ได้พบประมุขตระกูลมู่?’
เขาข่มความสงสัยเอาไว้และแสร้งทำเป็ใจเย็น “อาจารย์กลับไปที่สำนักขงถงแล้ว ผู้าุโ้าพบอาจารย์หรือ?”
ชิงซีเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “พอได้แล้วเซียวเหยียน เ้าคิดว่าจะเล่นลูกไม้กับข้าได้จริงๆ น่ะหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้