บทที่ 176 ไม่ยอม? มาสู้กัน
“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง——”
บนเวที สิบองครักษ์เทวัญมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาทั้งหมดชักดาบออกมาพร้อมกัน แสดงถึงการฝึกฝนที่ดีเยี่ยม
ดาบรบเหล่านี้เป็อาวุธลึกลับที่มีลายสลักกว่าร้อยกล เรียกว่าดาบน้ำพุเงิน ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กล้ำค่าคุณภาพสูงมากถึงสี่หรือห้าประเภท พวกมันถูกย้อมด้วยเือันล้ำค่าของสัตว์าในมหาสมุทร วาฬสีเงิน คมกริบอย่างยิ่ง
“งานใหญ่วันนี้จะเกิดการนองเืหรือ?”
“หากคนจากทั้งสองตระกูลนั้นสายตาเฉียบแหลมพอก็ถอยเถอะ องครักษ์เทวัญแข็งแกร่งมาก จะสู้ทัดเทียมได้อย่างไร?”
ทุกคนมองดูฉากบนเวทีและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจนเหงื่อออก
ชื่อขององครักษ์เทวัญเป็ที่รู้จักกันดีในราชวงศ์เซี่ยตะวันออกในนามนักรบะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักรบขึ้นพื้นพิภพเพียงไม่กี่คนและวัยรุ่นเพียงสองคนจะสามารถเอาชนะได้
ในเวลานี้ แม้แต่รองเ้าสำนักบางคนและผู้นำตระกูลใหญ่ก็ยังขมวดคิ้ว
สำหรับคนเหล่านี้แล้ว ความแข็งแกร่งขององครักษ์เทวัญก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัว
“รังแกกันเกินไปแล้ว!!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นเองก็ใเช่นกัน เมื่อมองดูเขาก็สังเกตเห็นว่าตระกูลตงฟางและหลิงจื้อต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม และบางคนถึงกับสั่นเล็กน้อย
แน่นอนว่า นี่คือสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต
ต้องรู้ก่อนว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นักรบขั้นพื้นพิภพ! แข็งแกร่งพอที่จะเป็เ้าสำนักเล็กๆ บางแห่งได้เลย
“ผู้มีพระคุณ ที่นี่มีองครักษ์เทวัญอยู่มาก ข้ารับมือไม่ไหว! เราต้องออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” หลิงจื้อเปิดม่านพลังิญญาและโอบมันไว้รอบๆ ฉู่อวิ๋น แล้วพูดเสียงต่ำ
“แล้วพี่หญิงจะทำอย่างไร?! ข้าทนดูนางถูกบังคับให้แต่งงานไม่ได้หรอก!” ฉู่อวิ๋นกัดฟัน กำหมัดแน่น และตอบด้วยเสียงคับแค้นใจ
“เฮ้อ... เกรงว่าเราจะทำอะไรไม่ได้แล้ว...” หลิงจื้อถอนหายใจและส่ายหัวพลางมองไปรอบๆ
มองเห็นองครักษ์เทวัญเ่าั้เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแรงกดดันแสนยิ่งใหญ่ ปกคลุมไปทั่วลานเวที ทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
“นายน้อย! จะรุกจะถอย ท่านมาสั่งการเถอะ!” ตงฟางเยี่ยนถามตงฟางสยงเพื่อขอคำแนะนำด้วยเสียงต่ำ อีกอย่างเขาเองก็กังวลจนเหงื่อแตกแล้ว
“นายน้อย โปรดออกคำสั่งด้วย!” ผู้าุโคนอื่นๆ ของตระกูลตงฟางก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะสั่นไปทั้งตัว แต่ก็ยังยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจและไม่เต็มใจที่จะรับความอัปยศอดสูนี้
ในเวลานี้ ตงฟางสยงเหยียดฝ่ามือออก ตบหน้าอกตัวเองอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง และพูดอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลตงฟางฟังคำสั่ง เราจะต่อสู้จนตัวตาย! ตระกูลาเราโดนรังแก จะยอมถอยได้อย่างไร?!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราก็หัวเราะ เสียง “ปัง” ดังล้อมรอบพวกเขา ตงฟางสยงเปล่งรัศมีที่ไม่มีใครเทียบได้ พวกเขารวมกันเป็หนึ่งเดียวได้เหนียวแน่นมาก!
“ไม่คิดว่าผีขี้โกงที่ดูหยาบช้าและไร้สมองจะกลายเป็คนกระหายเืเช่นนี้ได้” เมื่อเห็นคนในตระกูลตงฟางร่วมมือกัน ฉู่อวิ๋นก็อดถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้
“ชิ้ง—”
ดาบน้ำพุเงินสิบเล่มก่อตัวเป็วงกลมเหมือนวงล้อสีเงิน ค่อยๆ ตีวงเล็กลงเรื่อยๆ ทุกคนถูกปรามไว้อย่างสมบูรณ์
ในเวลานี้ ฉู่เจียงกำลังพิงเก้าอี้หรูหรา มือขวาเท้าคางของเขา ดูสงบนิ่ง
“องครักษ์เทวัญ หยุดก่อน” ทันใดนั้น ฉู่เจียงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
ทันใดนั้นมีเพียงเสียง “แกร๊ก” และองครักษ์ทั้งสิบคนก็หยุดทันทีอย่างเป็ระเบียบ และมองตรงไปข้างหน้า ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านทั้งหลาย สหายตัวน้อยทั้งสอง ยังอยากจะต่อต้านต่อไปอีกหรือไม่? คงไม่ได้อยากท้าทายองครักษ์เทวัญจริงๆ หรอกกระมัง?” ฉู่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็จริง เขาใช้อำนาจของเชื้อสายหลักของตระกูลฉู่ เรียกองครักษ์เทวัญออกมาก็เพียงเพื่อขู่ให้พวกเขาล่าถอยไปเท่านั้น ไม่ได้คิดจะสังหารทั้งเจ็ดคนจริงๆ
เพราะหากจบลงด้วยการนองเื ย่อมนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างตระกูลที่ไม่มีวันจบสิ้น
แม้ว่าตระกูลฉู่จะไม่กลัวการรบ แต่ถ้าพวกเขามีปัญหาเื่นี้ขึ้นมาจริงๆ ฉู่เจียงจะถูกกล่าวหาว่าละทิ้งหน้าที่ในฐานะทูตเชื่อมสัมพันธ์งานแต่งงานและจะถูกเชื้อสายหลักลงโทษขั้นสูงสุด
“ข้าแนะนำให้หยุดกันไว้แต่เพียงเท่านี้เถอะ ไม่เช่นนั้นการสังหารหมู่ต่อหน้าคนจำนวนมากก็ไม่ใช่เื่น่ายินดีอะไร” ฉู่เจียงยังคงโน้มน้าวต่อไป ดวงตาของเขาสั่นไหว ไม่แม้แต่จะมองใครบนเวทีเลย
จริงๆ แล้ว เขาเองก็ไม่อยากเห็นเื นี่เป็การลองเชิงทางจิตใจ เพื่อทำให้ทุกคนหวาดกลัว จะได้ฉลาดขึ้นและจากไป
“ฟิ้ว—”
ลมหนาวพัดผ่าน ทำให้สถานการณ์ดูเปล่าเปลี่ยวมากขึ้น
แม้ว่าท้องฟ้าจะแจ่มใส แต่ในเวลานี้ ในจัตุรัสของศาลเ้าที่แม้จะมีคนมากมาย เมื่อมีข่าวการทะเลาะกันแพร่กระจายออกไป แสงดาบอันเยือกเย็นก็ส่องสว่าง มันหนาวเหน็บไปถึงขั้วในหัวใจ
ทุกคนกังวลจนเหงื่อตก ถูมือไปมา หมุนคอไม่หยุด แต่ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือความขัดแย้งระหว่างตระกูล หากก้าวขาเข้าไปเลือกข้างอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรง
“ตีๆๆ! จะดีที่สุดถ้าผู้สมัครชิงตำแหน่งสามีตายกันเสียให้หมด ชายคนนั้นจะได้มีความสุขในโลกยมบาล!” มู่หรงซินกำหมัดแน่น ส่ายหัวซ้ำๆ หวังว่าจัตุรัสจะวุ่นวาย
นางรู้ว่าฉู่อวิ๋นไม่้าให้ฉู่ซินเหยาแต่งงาน และการแอบสาปแช่งเมื่อครู่นี้ คือทั้งหมดที่นางทำได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม มู่หรงซินไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากบางคนบนเวทีนั้นเป็ “อันธพาลโรคจิต” ที่นางคิดถึงอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“ลงมาเถอะ สหายตงฟาง หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!” รองเ้าสำนักสือซาเองก็โน้มน้าวเขา เขามีความสัมพันธ์ที่ดีไม่น้อยกับตระกูลตงฟาง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ดี ผู้เฒ่าเอ๋ย อย่าสู้กับตระกูลาฉู่เลย!” ชายชราที่คุ้นเคยกับหลิงจื้อก็แนะนำเขา เขารู้ว่าองครักษ์เทวัญแข็งแกร่งเกินไปและยากที่จะต่อกรด้วย
“ไปเถอะ อย่าดื้อเลย!”
“ลงมาเถอะ! ท่านตงฟาง ท่านหลิง!”
“น้องชายทั้งสอง ชายชาตรีไม่จำเป็ต้องมีภรรยา ดังนั้นอย่าดื้อรั้นต่อต้านเลย”
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงชักชวนดังขึ้นทีละคน ไม่ว่าจะเป็ลูกศิษย์ของเ้าสำนักหรือผู้นำตระกูลและผู้าุโทั้งหลายแหล่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันโน้มน้าวจนเสียงอื้ออึง
เพราะทุกคนที่มาที่นี่ล้วนไม่อยากเห็นการรวมตัวกันในรอบร้อยปีต้องจบลงด้วยการนองเื ท้ายที่สุด ทุกคนมาเพื่อดูความตื่นเต้น หวังว่าหากการทะเลาะนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
แต่บนเวที ไม่ใช่แค่ผู้เฒ่าสองสามคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฉู่อวิ๋นและตงฟางสยงที่นิ่งไม่ขยับ สีหน้าเคร่งเครียด และไม่มีความคิดจะออกไป พวกเขาเผชิญหน้ากับองครักษ์เทวัญอย่างแข็งกร้าว
ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบงันอยู่ในทางตันเป็เวลานาน ทำให้ฝูงชนส่ายหัวและถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหากไม่ฆ่าหนึ่งหรือสองคน เื่นี้ก็คงไม่ยุติ
“ประเสริฐ ดียิ่ง! ดื้อรั้นกันนักใช่ไหม?” ดวงตาของฉู่เจียงมืดลง เขาโกรธมาก ลมหายใจของเขากระเพื่อมแรง ไม่เคยคิดเลยว่าทั้งเจ็ดคนนี้จะดื้อรั้นขนาดนี้ สุรายินดีมีไม่ดื่ม คิดอยากดื่มสุราลงทัณฑ์[1]
“องครักษ์เทวัญทั้งหมดฟังคำสั่ง!” เขาะโอย่างเ็า สะบัดแขนเสื้อ และกำลังจะออกคำสั่ง คิดจะบอกให้องครักษ์เทวัญฆ่าฉู่อวิ๋นและคนอื่นๆ!
“ท่านฉู่ ประเดี๋ยวก่อน”
แต่ในเวลานี้ ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียด เืจะไหลลงสู่แม่น้ำเมื่อใดก็ได้
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน โบกพัดขนนก และเดินไปที่ด้านข้างของฉู่เจียง โค้งคำนับให้เขา
“ท่านบอกให้องครักษ์เทวัญออกไปก่อน แล้วมอบเื่นี้ให้ผู้เยาว์ได้หรือไม่?” เสวี่ยหานเฟยหรี่ตาลงและพูดด้วยรอยยิ้ม
“หลานชาย มอบให้เ้าหรือ?” ฉู่เจียงขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าสับสน
“ถูกต้อง ข้าสัญญาว่าจะจัดการเื่นี้อย่างเหมาะสม ให้ท่านทูตมีบันไดให้ลง” เสวี่ยหานเฟยพยักหน้าอย่างสุภาพ ประสานมือเอาไว้ รู้สึกมั่นใจอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่เจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบนสายตาไปมองที่จวนตระกูลเสวี่ย เมื่อเห็นเสวี่ยจินหงสงบนิ่ง จึงหันกลับมามองและพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่เจียงก็ตกลงในที่สุด “ก็ได้ ในเมื่อหลานชายมั่นใจ ไม่้าใช้พลังขององครักษ์เทวัญ เช่นนั้นเ้าก็รับ่ต่อไปเถอะ”
พูดจบ ทูตของเชื้อสายหลักตระกูลฉู่ก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง หลังจากได้ยินเสียง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” สองสามครั้ง องครักษ์เทวัญทั้งหมดก็ถอนดาบออก กลายเป็ภาพเงาและถอยกลับไปทันที
“ทูตตระกูลฉู่เป็อะไรไป? ไม่ใช่ว่ากำลังหาคนมารับเคราะห์ใช่หรือไม่?”
“สถานการณ์มีขึ้นมีลง ผู้เฒ่าอย่างข้าอดกลั้นใจไม่ไหวแล้ว...”
“ดูเหมือนว่าทั้งเจ็ดคนจะหนีภัยครั้งนี้ได้แล้ว”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ด้วยเพราะพวกเขาต่างก็ใกันหมด
“ขอบคุณท่านทูต ที่ให้โอกาสผู้เยาว์”
เสวี่ยหานเฟยนอบน้อมอีกครั้ง จากนั้นะโขึ้นไปบนเวทีพร้อมเสียง “ฟุ่บ”
คุณชายชุยเสวี่ยประสานมือโค้งคำนับให้ฉู่อวิ๋นและคนอื่นๆ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ทุกท่าน วันนี้เป็วันที่ดีสำหรับการแต่งงาน ผู้มีอำนาจทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันที่นี่"
“ในฐานะคุณชายแห่งเมืองชุยเสวี่ย ข้าเองก็ไม่อยากเห็นการนองเื”
ได้ยินคำนี้ ตงฟางเยี่ยนก็พูดอย่างเ็าว่า “หยุดพูดเื่ไร้สาระได้แล้ว ตระกูลเสวี่ยของเ้าคงเจรจากับฉู่เจิ้นหนาน วางแผนหลอกตระกูลตงฟางของเราั้แ่แรกแล้วกระมัง? เ้ายังมาเสแสร้งทำเป็คนดีอีกหรือ? ถุย!”
“เสวี่ยหานเฟย หยุดแสร้งเห็นอกเห็นใจได้แล้ว อย่างไรเสีย หากบอกว่าเ้าคือสามีของคนงาม ข้าตงฟางสยงจะเป็คนแรกที่ไม่ยอม!” ตงฟางสยงพูดอย่างเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหากับคุณชายชุยเสวี่ยอยู่ก่อนแล้ว
ชายชราคนอื่นๆ ก็ดูเคร่งขรึมเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูด แต่ก็มองเสวี่ยหานเฟยอย่างเ็า
ยามนี้ คิ้วของฉู่อวิ๋นขมวดเล็กน้อย ในความรู้สึกของเขา คุณชายชุยเสวี่ยนับเป็คนที่อยู่สูงส่ง เขาลงมาปนน้ำโคลนนี้ มีจุดประสงค์อะไร?
“มีบางอย่างแปลกๆ” ฉู่อวิ๋นคิดกับตัวเอง
“อ๊ะ! ทุกท่านโปรดอดทนรอก่อน”
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่บูดเบี้ยวของทุกคน เสวี่ยหานเฟยยังคงโบกพัดขนนกและทำหน้าที่เป็ผู้สร้างสันติ นี่ทำให้เด็กสาวบางคน แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ชื่นชมเขามากขึ้น
ทันใดนั้น ดวงตาของเสวี่ยหานเฟยก็เป็ประกาย เขาปิดพัดขนนกแล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านผู้เฒ่าทุกท่าน จริงๆ แล้ว ในแง่ของคุณสมบัติและภูมิหลัง ข้าเองก็ทัดเทียมกับปรมาจารย์หนุ่มสองคนนี้ และเมื่อพูดถึงความรักของข้าต่อซินเหยา ข้าเชื่อว่าทุกคนก็เหมือนกัน”
“ดังคำกล่าวที่ว่า ความสงบคือสิ่งที่สำคัญ เราไม่จำเป็ต้องทะเลาะกันเื่การแต่งงานให้เืตกยางออก”
“หึ! สหายตัวน้อยเอ๋ย เ้าได้ประโยชน์จากการเกี่ยวดองเป็ลูกเขยตระกูลฉู่ ย่อมพูดง่ายอยู่แล้ว” หลิงจื้อยิ้มเย็น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสวี่ยหานเฟยก็ยิ้มและไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับเปลี่ยนเื่และพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านจะคิดกับผู้เยาว์เช่นนี้ได้อย่างไร? การที่ผู้เยาว์ขึ้นเวทีมาครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่ามาเพื่อให้โอกาสลูกหลานท่านหรอกหรือ?”
“โอกาส?”
ทันใดนั้น ทุกคนก็ดูสงสัยและเต็มไปด้วยคำถาม
เสวี่ยหานเฟยเสะบัดพัดขนนกเบาๆ และเริ่มพูดเสียงดัง “ใช่แล้ว! ในเมื่อทุกท่านคิดว่าการที่ข้าได้เป็สามีของซินเหยานั้นไม่ยุติธรรม เช่นนั้นข้าก็จะมอบโอกาสให้!”
“โอกาสที่จะตัดสินอีกครั้งว่าใครคืออัจฉริยะตัวจริง!”
“ห้ะ?!”
“นี่…นี่คืออะไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่ฉู่เจิ้นหนานเองก็ดูใ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้มาก่อนว่าเสวี่ยหานเฟยจะขึ้นเวทีมาวุ่นวายกับแผนการของเขา
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของทุกคน เสวี่ยหานเฟยก็ยิ้มอย่างสดใสและอธิบายด้วยท่าทีอ่อนโยน “จริงๆ แล้ว คนงามที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างซินเหยา ต้องมีสามีที่สามารถปกป้องนางได้”
“แต่ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าการปล่อยให้อำนาจตระกูลตัดสินในตัวสามีคงเป็เื่ไกลตัวเกินไป”
“ผู้าุโและแขกที่นี่ ในเมื่อยามนี้มีข้อพิพาทเื่การแต่งงาน และทั้งคุณชายหลิงและคุณชายตงฟางต่างเชื่อว่าพวกเขาคือตัวเลือกสามีที่เหมาะสมที่สุด ไม่สู้เช่นนี้เถอะ...”
“พวกเราสามคนมาประลองกัน แบบนี้แล้วไม่ใช่ว่าจะหาจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคนได้ง่ายกว่าหรือ?”
“ผู้ชนะจะต้องเป็ผู้ที่สามารถปกป้องซินเหยาได้ดีและได้คนงามกลับไปเป็แน่ ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”
“วิ้ง—”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป ทั้งโลกก็ตกตะลึง! ทุกคนนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ทั่วทั้งลานก็ตกอยู่ในความโกลาหล!
----------
[1] มีทางเลือกที่ดีต่อตนเองให้เลือก แต่กลับเลือกเส้นทางที่ไม่มีประโยชน์