“เยว่เยว่ หนูไม่ได้มาหาคุณปู่ฉางนานแล้วนะ” เมื่อท่านฉางไท่เห็นเฮ่อหลันเยว่ที่อยู่ในห้องรับแขก เขาจึงรีบส่งยิ้มอย่างปรานีขึ้นมาทันที
“คุณปู่ฉางสวัสดีค่ะ!” เฮ่อหลันเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“หนูน่าจะหิวแล้วใช่ไหมล่ะ คุณปู่ของหนูช่างไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ ไม่ยอมให้หนูทานให้อิ่มก่อนแล้วค่อยมา เดี๋ยวคุณปู่ฉางจะทำกับข้าวให้หนูเองนะ” ท่านฉางไท่ถือโอกาสพูดโจมตีท่านเฮ่อฉางเหอ
“เป็เพราะคุณนั่นแหละที่ปลุกผมั้แ่เช้า ผมเป็คนที่รักและทะนุถนอมหลานสาวสุดที่รักของผมมากกว่าคุณหลายเท่าเลยล่ะ” ท่านเฮ่อฉางเหอที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องหนังสือรีบพูดโต้กลับทันควัน
“อาจารย์คะ เดี๋ยวฉันไปทำเองดีกว่าค่ะ” หลี่ชิงเมิ่งลุกขึ้นยืนและทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องครัว
“เธออยู่เป็เพื่อนคุยกับเยว่เยว่ต่อเถอะนะ เป็ผู้หญิงก็ควรจะยิ้มให้มากหน่อย” เมื่อพูดจบท่านฉางไท่ก็เดินเข้าไปในห้องครัว
หลี่ชิงเมิ่งยิ้มน้อยๆ เธอนั่งลงอยู่คุยเป็เพื่อนเฮ่อหลันเยว่ต่อไป
เพียงไม่นานนัก อาหารสำหรับท่านเฮ่อฉางเหอและเฮ่อหลันเยว่ก็เสร็จเรียบร้อย เนื่องจากท่านฉางไท่และหลี่ชิงเมิ่งทานเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงนั่งอยู่เป็เพื่อนมองท่านเฮ่อฉางเหอและเฮ่อหลันเยว่ทานเท่านั้น
ระหว่างทานอาหาร ท่านเฮ่อฉางเหอก็ส่งสายตาให้กับเฮ่อหลันเยว่อย่างต่อเนื่อง “ทานเยอะๆ นะ ทานเยอะๆ นะ”
ส่วนท่านฉางไท่ก็ส่งยิ้มอย่างรักและเอ็นดูให้กับเฮ่อหลันเยว่ และก็พูดประโยคเดียวกัน “ทานเยอะๆ นะ ทานเยอะๆ นะ”
ชายชราทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งมีเจตนาไม่ดี เพราะเขาตั้งใจทำตามแผนการที่เขาวางไว้ั้แ่ก่อนที่จะมาที่นี่ก็คือการกินให้อีกฝ่ายล่มจม ส่วนอีกคนนั้นมีแต่ความรักและเอ็นดูต่อเฮ่อหลันเยว่ ชายชราที่มีเจตนาไม่เหมือนกันแต่พูดประโยคเหมือนๆ กันเช่นนี้กลับเป็การสร้างความลำบากให้กับเฮ่อหลันเยว่ เธอต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารไป ทานจนท้องนูนโป่งขึ้นมา หากไม่มีหลี่ชิงเมิ่งที่คอยรินน้ำให้กับเธอ เธออาจจะสำลักไปนานแล้วก็ได้
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้ว เฮ่อหลันเยว่และหลี่ชิงเมิ่งก็ถูกปล่อยไว้ในห้องรับแขก ส่วนชายชราทั้งสองที่ต่างคนต่างมีแผนร้ายจึงพากันเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง เดิมทีท่านฉางไท่อยากจะคุยกับเฮ่อหลันเยว่ให้มากขึ้นสักหน่อย แต่ทว่ากลับถูกท่านเฮ่อฉางเหอขัดไว้แล้วพาตัวเข้าไปในห้องหนังสือ
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ ท่านเฮ่อฉางเหอก็มองท่านฉางไท่ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยยินดีนัก “พูดได้แล้วนะ ที่คิดจะแย่งลูกศิษย์ของผมมันหมายถึงอย่างไรกันแน่ เมื่อตะกี๊ถูกคุณเปลี่ยนเื่ไป ตอนนี้มาพูดตรงๆ ดีกว่า”
“ความจริงก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เป็แค่เื่เล็กๆ เท่านั้นเอง” เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ ท่านฉางไท่จึงไม่ได้เร่งร้อนที่จะออกไปอีกแล้ว เขากลับนั่งลงอย่างสบายใจ
“เื่เล็ก? การแย่งลูกศิษย์ก็ถือว่าเป็เื่เล็กอย่างงั้นหรือ? วันนี้คุณต้องพูดกับผมให้ชัดเจนเลยนะ!” ท่านเฮ่อฉางเหอลากเก้าอี้ออกมา เขาจ้องหน้าท่านฉางไท่โดยมีโต๊ะเขียนหนังสือคั่นไว้ระหว่างกลาง
“เื่นี้เป็เพียงเื่ธรรมดาเรียบง่ายเื่หนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อหนึ่งเดือนก่อน คุณพาเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเยว่มาที่นี่เพื่อให้เขาเรียนการแกะสลักจากผมไม่ใช่หรือ? แล้วตอนจะกลับตอนนั้นผมก็ดึงเขาเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อคุยกันไงล่ะ? รู้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“จะรู้อะไรล่ะ! คุณไม่ได้บอกอะไรเลย แล้วคุณพูดอะไรกับเขา?” ท่านเฮ่อฉางเหอเริ่มรู้สึกเหมือนถูกคุกคามอย่างรุนแรง
“เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือ ผมก็ตั้งโจทย์ให้กับเขาหนึ่งข้อ แล้วหนึ่งเดือนข้างหน้าให้เขามาที่นี่เพื่อให้ผมตรวจสอบ” ท่านฉางไท่จุดไฟสร้างความสงสัยให้กับท่านเฮ่อฉางเหอมานานแล้ว ในที่สุดเขาก็บอกเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วให้กับท่านเฮ่อฉางเหอฟัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านเฮ่อฉางเหอไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมพูดขึ้น “ช่างสมกับเป็ลูกศิษย์ของผมจริงๆ รับปากคนอื่นไว้ก็ต้องทำให้ได้ บอกว่าจะไม่บอกผมก็ไม่บอกผมจริงๆ แบบนี้ผมก็รู้สึกวางใจแล้วล่ะ ธูปขนาดธรรมดา 10 ดอก ต้องผ่าให้ถูก 6 ดอกแบบนี้มันยากจนเกินไป ลองคิดดูสิ ตอนนั้นคุณฝึกตั้งหลายปีถึงจะผ่าได้ 3 ดอก ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะถึง 6 ดอกแล้วหรือยัง ให้เวลา 1 เดือนมันน้อยจนเกินไปจริงๆ แล้วหนึ่งเดือนมานี้เขาก็เรียนเกี่ยวกับการพิสูจน์เครื่องเคลือบกับผมมาตลอด ก็ยิ่งไม่มีเวลาฝึกเข้าไปใหญ่ ดังนั้น สิ่งที่คุณตั้งเงื่อนไขไว้ เขาไม่มีทางทำได้สำเร็จหรอก ลูกศิษย์คนนี้ยังไงก็ยังเป็ของผมอยู่ดี ฮ่าๆ......”
“หัวเราะไปเถอะ หัวเราะต่อไป ครั้งนี้คุณต้องร้องไห้แน่ๆ ใครบอกกันว่าเขาจะต้องลงมีด 10 ครั้งแล้วผ่าถูก 6 ครั้งผมถึงจะรับไว้เป็ศิษย์ล่ะ สิ่งที่ผมจะดูคือความมุ่งมั่นของเขาต่างหาก” ท่านฉางไท่มองท่านเฮ่อฉางเหอด้วยสายตาดูถูก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสียงหัวเราะของท่านเฮ่อฉางเหอพลันหยุดลงทันที แล้วเขาก็เปลี่ยนท่าทีมองท่านฉางไท่ด้วยความโกรธ “คุณคิดจะแย่งลูกศิษย์จากผมจริงๆ หรอ?”
“หากเขาดีอย่างที่คุณพูดจริงๆ ละก็ ผมก็ยินดีที่จะหาลูกศิษย์ดีๆ สักคนไว้เป็ผู้สืบทอดนะ” ท่านฉางไท่พูดพร้อมรอยยิ้ม
ท่านเฮ่อฉางเหอพลันรู้สึกเหมือนยกก้อนหินขึ้นมาแล้วทุบลงไปบนเท้าของตัวเองจริงๆ ใครใช้ให้เขาปากไวชมลูกศิษย์ของตัวเองต่อหน้าคนอื่นขนาดนี้ล่ะ ตอนนี้เื่เลยต้องกลายเป็แบบนี้ ต้องถูกคนอื่นแอบจ้องไปด้วย
“ความจริง หลินเยว่ก็ไม่ได้ดีอย่างที่ผมพูดขนาดนั้นหรอกนะ” ท่านเฮ่อฉางเหอกลืนน้ำลายลงไปแล้วพูดขึ้น
“ฮ่าๆ...... เสียใจทีหลังแล้วล่ะสิ? ตอนนี้ถึงคุณจะพูดอะไรออกมา ผมก็ไม่มีทางเชื่อแล้วล่ะ พวกเรารอให้เขามาละกัน” ท่านฉางไท่หยิบกระดานหมากรุกจีนออกมาจากใต้โต๊ะแล้วพูดขึ้น “มา พวกเรามาเล่นกันสักกระดาน”
“ผมว่าแล้วว่าคุณเรียกผมมาต้องมีเื่นี้ด้วยแน่ๆ ฝีมืออ่อนอย่างคุณแต่กลับหลงใหลในการเล่นหมากรุกจีน อย่าฝันไปว่าชาตินี้จะมีโอกาสเล่นชนะผมเลยเถอะ”
ท่านเฮ่อฉางเหอมองท่านฉางไท่อย่างอ่อนใจ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วยนั่นเอง
*********************
ถึงแม้ว่าตอนนั้นท่านฉางไท่จะบอกให้หลินเยว่มาทดสอบในวันนี้ แต่ทว่าไม่ได้มีการระบุเวลาที่แน่นอน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขาฝึกผ่าธูปตอนกลางคืนท่ามกลางความมืด เขาก็ควรจะไปรับการทดสอบตอนกลางคืนใช่ไหม เดิมทีหลินเยว่คิดว่าเขาน่าจะไปตอนกลางคืน แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาตอน่เช้า หากไปตอนเช้า เขายังสามารถเรียนรู้เทคนิคการแกะสลักบางอย่างได้เหมือนกัน เมื่อมีมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บอยู่ในมือ ทำให้หลินเยว่รู้สึกสนใจการแกะสลักมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนสิ่งนี้เป็เพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้กลับกลายเป็เป้าหมายที่เกิดขึ้นจริง แต่ก่อนเป็เพียงจินตนาการที่เขาไม่มีวันจับต้องได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็สิ่งที่มีโอกาสจับต้องได้แล้ว
ตอน่อาหารเช้า ฉินเหยาเหยาพบว่าวันนี้หลินเยว่ดูแตกต่างจากวันอื่นๆ สีหน้าท่าทางของเขาดูตื่นเต้นและแฝงความเครียดเล็กน้อย ดูมีความซับซ้อนทีเดียว เธอจึงถามอย่างใส่ใจ “หลินเยว่ วันนี้นายมีอะไรหรือเปล่า?”
ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็เพียงเพื่อนธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว และสำหรับหลินเยว่ พวกเขาทั้งสองถือได้ว่าเป็คนรักกัน ดังนั้น เขาจึงไม่คิดจะปกปิดอะไร จึงบอกว่าวันนี้เขาจะไปรับการทดสอบตามความเป็จริง
ดวงตาของฉินเหยาเหยาเบิกกว้างจ้องไปที่หลินเยว่ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นายหมายความว่า ทุกคืนนายหยิบมีดอีโต้ไล่ฟันมั่วๆ ไปทั่วห้องเพื่อฝึกผ่าธูปอย่างงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว ทำไมล่ะ?” หลินเยว่ตอบอย่างเป็ธรรมชาติ
“แล้ว... แล้วมีดอีโต้เล่มนั้นล่ะ?” ฉินเหยาเหยาถามอย่างระมัดระวัง
“ก็เป็มีดที่อยู่ในห้องครัวเล่มนั้นไง”
“แหวะ~~”
“ฮ่าๆ” หลินเยว่รีบลุกขึ้นมาตบหลังฉินเหยาเหยาที่กำลังคลื่นไส้เบาๆ แล้วพูดพร้อมหัวเราะ “ล้อเล่นน่ะ มีดอีโต้เล่มนั้นกับมีดที่เอาไว้ทำกับข้าวในครัวเป็คนละเล่มกัน มีดอีโต้ที่ผมเอาไว้สำหรับฝึกผ่าธูปยังวางอยู่ในห้องของผมอยู่เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเหยาเหยาจึงรู้สึกวางใจลง เมื่อสักครู่ที่เธอจินตนาการไปว่ามีดที่หลินเยว่ใช้ฝึกผ่าธูปทุกคืนเป็มีดที่เอาไว้ทำกับข้าวเธอก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ฉินเหยาเหยายู่ปากแล้วขึงตาใส่หลินเยว่แรงๆ หลังจากนั้นเธอจึงใช้จังหวะที่หลินเยว่ไม่ทันตั้งตัวจึงยกมือขึ้นบิดเอวหลินเยว่แรงๆ อีกด้วย
“อ๊าก......”
เสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดพลันหลุดออกมาจากปากของหลินเยว่ทันที
“ใครใช้ให้นายมาโกหกฉัน หึ!” ฉินเหยาเหยาไม่สนใจท่าทางที่ดูน่าสงสารของหลินเยว่ เธอส่งเสียงหึอย่างหยิ่งๆ แล้วก็ทานข้าวของตัวเองต่อไป
หลินเยว่เห็นว่าวิธีที่เขาแกล้งทำตัวน่าสงสารใช้ไม่ได้ผล เขาจึงต้องนวดเอวของตัวเองแล้วก็กลับมานั่งที่นั่งเดิมของเขา
ตอนที่ฉินเหยาเหยาจะออกไปทำงานตามปกติ เธอจึงยกมือน้อยๆ ของตัวเองกำหมัดขึ้นแล้วให้กำลังใจหลินเยว่ “สู้ๆ นะ!”
“เธอสบายใจได้เลย ในใต้หล้านี้ถึงผมจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่ยังไงผมก็ยังถือว่าเป็คนเก่งมากคนหนึ่งเลยล่ะ” หลินเยว่ทำท่าเบ่งกล้าม แต่ทว่าเขากลับไม่มีกล้ามเลยสักนิดแต่ยังพูดเช่นนี้ออกมา
ฉินเหยาเหยากลอกตาขาวใส่หลินเยว่ แล้วยิ้มพร้อมเดินออกไปทางด้านนอก