Chapter 9
จู่ ๆ พ่อกับแม่ของเฮียก็สั่งปิดสปอร์ตคลับหนึ่งวัน ทั้ง ๆ ที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ทั้งสองคนให้เหตุผลว่า ‘เมื่อวานคนมาใช้บริการเยอะมาก วันนี้เลยอยากให้ทุกคนได้พัก’
ถึงแม้ว่าเหตุผลนั้นจะทำให้เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่นิสัยของพ่อกับแม่เลย ท่านไม่มีทางสั่งหยุดเพียงเพราะอยากพักหรอก ทว่าเฮียก็ไม่ได้พยายามหาคำตอบกับเื่นี้มากนัก แต่เขากลับคิดว่าดีเสียอีกที่ได้วันหยุดเพิ่ม เพราะจะได้ชวนเพื่อนสนิทไปดูหนังด้วยกัน
คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วหยิบเสื้อยืดแขนสั้นสีแดงกับกางเกงขาสั้นสีครีมที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ เมื่อแต่งตัวเสร็จ เฮียก็เหลือบสายตามองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง
ตอนนี้เป็เวลาบ่ายโมงกว่า ถ้าหากเรียวตอบรับคำชวนของเขา เราสองคนอาจจะได้ดูหนังรอบบ่ายสามโมงเย็น และหลังจากดูหนังจบแล้ว เพื่อนสนิทก็จะได้ไปทำงานที่ร้าน Your Sky ต่อเลย
เขาอมยิ้มพลางพยักหน้าเบา ๆ พอคิดว่า ‘แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว นอกจากเราจะได้เจอกันแล้ว ไอ้เรียวยังไม่ต้องเสียการเสียงานด้วย’
เฮียเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนชั้นข้างเตียงขึ้นมา ก่อนจะกดโทรหาเบอร์ที่ระบุชื่อว่า ‘เรียว’ ซึ่งเป็เบอร์ที่เขาโทรหาบ่อยที่สุดด้วย ปกติอีกฝ่ายจะรับสายของเขาเร็วมาก แต่ทว่าครั้งนี้เฮียรอสายนานผิดปกติจนเริ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ทำไมยังไม่รับสายวะ?”
“...”
“นี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว มันก็น่าจะตื่นแล้วปะ?”
คนที่สวมเสื้อผ้าสีสดใสอย่างที่ชอบเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ แล้วจึงกดวางสาย เฮียคิดว่าเรียวคงอยู่ที่บ้านในเวลานี้ และอาจจะไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวไว้ เขาจึงตัดสินใจจะไปหาเ้าตัวที่บ้านแทน
เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้นแล้ว เฮียก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ และรีบเดินลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน ทันทีที่ลงมาถึงห้องโถงกลางบ้าน เขาก็เห็นแม่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ แต่เฮียก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะสาวเท้ามุ่งตรงไปที่โต๊ะกลมข้าง ๆ โซฟาที่แม่นั่งอยู่ เพราะเขามักจะวางกุญแจรถของตัวเองไว้ตรงนั้นเสมอ
แต่กุญแจรถของเขากลับหายไป และไม่เหลือกุญแจรถของใครวางอยู่เลย เฮียขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปถามแม่ ทว่าบทสนทนาของแม่กับใครบางคนที่อยู่ในสายเรียกความสนใจจากเขาเป็อย่างมาก
“ครั้งนี้ก็ถือว่าเรียวฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกันค่ะคุณพิมพ์”
เรียว ?
คุณพิมพ์ ?
ชื่อแม่ไอ้เรียวนี่...
หากแม่ของเขาจะคุยโทรศัพท์กับแม่ของเพื่อนสนิทจริง ๆ ก็ไม่ใช่เื่แปลก เพราะทั้งสองคนก็พอจะรู้จักกันอยู่ และแม่ของเขากับแม่ของเรียวก็ชอบโทรอวยพรกันใน่เทศกาลสำคัญต่าง ๆ
คนที่ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแม่คุยโทรศัพท์รีบก้าวเท้าไปหยุดยืนตรงหน้าแม่ตัวเอง ก่อนเอ่ยถามออกไป...
“ม้า...คุยกับแม่เรียวเหรอ?”
“จ้ะ เฮียมีอะไรหรือเปล่า?”
“ม้าหมายความว่าอะไร? ...ที่บอกว่าถือว่าเรียวฟาดเคราะห์ไป”
“อ๋อ...” แม่ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเป็กังวล “...ก็เมื่อคืนน่ะสิ ตอนประมาณตีสาม เรียวโดนแทง”
“ระ เรียวโดนแทง”
“จ้ะ...แม่กำลังคุยกับคุณพิมพ์เื่นี้แหละ”
“...”
“ละ แล้วมันเป็ยังไงบ้าง?”
“เมื่อคืนก็ไปหาหมอมา ดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ แต่ตอนนี้พักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เฮียก็รู้สึกสับสนไปหมด เขาพยายามคิดทบทวนว่าเราคุยกันครั้งสุดท้ายตอนกี่โมง แล้วก็ได้คำตอบว่า...เราคุยกันครั้งสุดท้ายตอนตีหนึ่งกว่า หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันจนกระทั่งตอนนี้
ตอนนี้เขาพอจะรู้ถึงเหตุผลที่เพื่อนสนิทไม่ยอมรับโทรศัพท์แล้ว เฮียไม่อยากเดาว่าคนที่ทำร้ายเรียวคือใคร เพราะถ้าหากคนคนนั้นคือ ‘อิม’ แฟนเก่าของเขาที่คิดแค้นเพื่อนสนิทจนวกกลับมาทำร้ายร่างกายเรียว เฮียคงจะรู้สึกแย่ปนรู้สึกผิดมากแน่ ๆ แต่ถึงจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ควรรู้อยู่ดีว่าใครเป็คนทำร้ายเรียว
“ม้า...ใครทำเรียว?”
ผู้เป็แม่สบตากับเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู “คุณพิมพ์คะ...เดี๋ยวบัวขอวางสายก่อนนะคะ เพราะคงต้องคุยเื่นี้กับลูกชายหน่อยค่ะ”
“ม้าไม่ต้องวางสายจากม้าของเรียวก็ได้ แค่ม้าบอกลูกมาว่าใครทำเรียว”
“...”
“บอกมาแค่นั้นเลยม้า...”
ผู้เป็แม่ถอนหายใจขณะสบสายตากับเขา ในแววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความลำบากใจที่จะพูดออกมา เมื่อเฮียเห็นแบบนั้นแล้ว เขาก็เหมือนได้คำตอบทั้งที่แม่ไม่ได้เอ่ยคำใด ลูกชายอย่างเขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ย
“ลูกพอจะรู้แล้ว...ว่าใครทำเพื่อนลูก”
“อิมจ้ะ...อิมแทงเรียว”
คำตอบของผู้เป็แม่ตอกลึกเข้าในใจของเขา เฮียรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาราวกับโดนมีดแหลมคมแทงเสียเอง และหัวใจก็เริ่มสั่นไหวด้วยความกลัวปนความเป็กังวล
กลัวว่าเรียวจะเป็อะไรไป
และกังวลว่าเรียวจะได้รับอันตรายอีก...
เฮียรู้สึกว่าสติเลื่อนลอยออกไปไกลอย่างควบคุมไม่ได้ ความกลัวและความเป็กังวลกำลังเล่นงานเขาอย่างหนัก ก่อนที่เฮียจะตั้งสติแล้ววิ่งออกมาหน้าบ้านโดยไม่บอกลาผู้เป็แม่เลยสักคำ เขาไม่ลืมว่าตัวเองไม่มีแม้แต่กุญแจรถติดมือมาด้วย เฮียจึงคิดว่าจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าหมู่บ้านแทน
แต่เมื่อเดินออกมาถึงหน้าประตูบ้าน เฮียก็เห็นพี่สาวกับพี่เขยกำลังเดินขึ้นบันไดหินอ่อนมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาเดาว่าทั้งสองคนคงออกไปข้างนอกกันมาแล้วเพิ่งกลับมาถึงบ้าน พี่เขยสบตากับเขาก่อนเอ่ยกระอึกกระอักอย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นัก
“ฮะ เฮีย จะรีบไปไหนเหรอ?”
“เฮียจะไปหาเรียวที่บ้าน”
พี่สาวของเขายกมือขึ้นฟาดที่แขนสามีตัวเองหนึ่งครั้ง พลางทำหน้าดุ ๆ ใส่อีกฝ่าย ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ “ให้เจ้กับเฮียเม้งไปส่งหนูดีไหม? ...เพราะป๊าเอารถของหนูไปเติมลมยางให้ั้แ่เช้าแล้ว ส่วนรถของป๊า ตี๋ก็ยืมขับไปหาเพื่อนที่บ้าน”
“จริง ๆ หนูก็อยากให้เจ้ไปส่งนะ แต่เจ้หลินกับเฮียเม้งเหมือนจะเพิ่งกลับมาถึงบ้าน น่าจะอยากพัก...”
“ไม่เป็ไรเลย...” เจ้หลินพูดแทรกขึ้น ก่อนเอ่ยต่อ “...เราสองคนไม่ได้เหนื่อยขนาดต้องพักหรอกจ้ะ เจ้ไปส่งได้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่เฮียเม้งช่วยขับเร็ว ๆ หน่อยนะ หนูอยากเจอเรียวให้เร็วที่สุด”
“เฮียเม้ง ได้ยินแล้วนะ”
“จะ จ้ะ”
แม้ว่าพี่เขยจะแสดงอาการแปลก ๆ แต่ในตอนนี้เฮียก็ไม่มีเวลาคิดมากนัก เขาสาวเท้าเดินตามทั้งสองคนไปขึ้นรถเบนซ์คันสีดำ
เมื่อเฮียขึ้นมานั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังพี่สาวเรียบร้อยแล้ว พี่เขยที่เป็คนขับรถก็เคลื่อนรถออกจากบ้านทันที ในระหว่างนั้นเขาก็คอยกดโทรหาเพื่อนสนิทตลอดทาง ทั้งยังส่งข้อความไปหาทางไลน์อีกหลายข้อความ
“ตอบกูหน่อยก็ยังดี”
เขาเอ่ยแ่เบากับตัวเอง แต่ดูเหมือนพี่สาวจะได้ยิน เ้าตัวจึงเอ่ยถามขึ้น...
“เรียวไม่ยอมตอบไลน์หนูเหรอ? ...ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า?”
เฮียที่กำลังก้มหน้ามองจอโทรศัพท์เงยหน้าขึ้น และเขาก็คิดว่า ‘ถ้าเรียวไม่ยอมตอบเพราะว่าเราทะเลาะกัน มันคงจะดีกว่านี้’ คนถูกถามกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับความรู้สึกจุกหน่วงบริเวณหน้าอก ก่อนเอ่ยตอบ...
“เปล่าครับ”
“แล้วมีอะไรกันหรือเปล่า?”
“เรียวโดนแทง”
“ฮะ?!” พี่เขยของเขาร้องอุทานเสียงดังออกมา มันดังมากขึ้นจนพี่สาวของเขายกมือขึ้นฟาดแขนอีกฝ่ายอย่างแรง
“เฮียเม้ง! หลินใหมด ร้องอะไรดังขนาดนั้นล่ะ”
“กะ ก็เรียวโดนแทงเชียวนะ เราก็ต้องใแบบนี้แหละ”
พี่สาวของเขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวหันมามองเฮียที่นั่งอยู่ข้างหลัง ก่อนเอ่ย “จริงเหรอเฮีย? ...แล้วหนูรู้ได้ไง?”
“เมื่อกี้หนูกำลังจะขับรถไปหาเรียว ก็เลยลงมาข้างล่าง แล้วก็ได้ยินม้ากับแม่ของเรียวคุยกันเื่นี้”
พี่สาวของเขาที่ยังคงเบิกตาโตด้วยความใอยู่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ย “เจ้กับเฮียเม้งก็เพิ่งมารู้เื่นี้จากหนูนี่แหละ เพราะเราสองคนออกไปข้างนอกั้แ่เช้าแล้ว ยังไม่ได้แวะเข้าบ้านเลย พอถึงบ้านก็ขับรถพาหนูออกมาส่งอีก”
“...”
พี่สาวที่ยังคงเอี้ยวตัวมาข้างหลังอยู่ เอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือของเฮียไว้ ก่อนเอ่ย “เจ้รู้ว่าตอนนี้หนูใจคอไม่ค่อยดีอยู่ เจ้จะไม่ถามอะไรหนูมาก เดี๋ยวเจ้จะกลับไปถามเื่นี้กับม้าเอง”
“...”
“เฮีย...”
คนโดนเรียกที่กำลังก้มหน้าตั้งสติค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับพี่สาว “ครับ เจ้หลิน”
“หนูเป็ห่วงเรียวมากเลยใช่ไหม?”
พอเจอคำถามนี้เข้าไป...
ใจมันก็ตอบทันทีเลยว่า...
“เจ้หลิน นอกจากครอบครัวแล้ว...หนูไม่เคยเป็ห่วงใครเท่ามันเลย”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็ห่วงมันมากขนาดนี้
“…”
แล้วก็ไม่แน่ใจอีกว่า...
รักที่มีให้เพื่อนอย่างมัน
“หนูเป็ห่วงมันจน...เหมือนใจหนูจะแย่อะ”
มันมากกว่าที่มีให้เพื่อนคนอื่นหรือเปล่า
#รักแท้ของผมคือคุณ
“หนู!”
คนที่สวมเสื้อยืดสีแดงสดที่กำลังเดินไปยังประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่ชะงักฝีเท้ากะทันหันเมื่อได้ยินเสียงเรียกรั้งที่ดังมาจากด้านหลัง เฮียหันไปมองทางรถเบนซ์คันสีดำของพี่สาว แล้วก็เห็นพี่สาวที่ยื่นหน้าออกมาจากกระจกรถที่เลื่อนลงจนสุด
“ครับ?”
“หนูจะให้เจ้อยู่รอไหม?”
“ไม่เป็ไร เจ้กลับไปเถอะ เดี๋ยวหนูนั่งแท็กซี่กลับเอง”
“โอเคจ้ะ”
เมื่อพี่สาวเอ่ยตอบรับแล้ว เฮียจึงสาวเท้าเดินไปหยุดยืนตรงหน้าประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่ แต่ยังไม่ทันที่จะกดกริ่งที่อยู่หน้าบ้าน ประตูรั้วก็เลื่อนเปิดอัตโนมัติ และเขาก็เห็นพ่อของเพื่อนสนิทยืนถือรีโมตสีดำอันเล็กอยู่
“สวัสดีครับป๊า” พูดพลางยกมือขึ้นไหว้
“สวัสดีเฮีย...ป๊ากำลังออกข้างนอกพอดี”
“อะ อ๋อ ครับ”
“มาหาเรียวเหรอ?”
“คะ ครับ ป๊า เรียวนอนอยู่บนห้องใช่ไหมครับ?”
“ใช่ น่าจะยังอยู่บนห้องนอนนะ ลองขึ้นไปดูสิ”
“ครับ ป๊า” เฮียเอ่ยตอบ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดิน แต่เขาก็หยุดชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองพ่อของเพื่อนสนิทที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “...ป๊าครับ ป๊าไม่ต้องเป็ห่วงเรียวนะครับ เดี๋ยวผมจะมาดูแลมันทุกวันเลย”
และยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอ่ยตอบอะไร เฮียก็รีบเดินเข้าไปในบ้านด้วยความร้อนใจ ระหว่างทางมาบ้านของเรียว เขาพยายามโทรหาเพื่อนทุกคนเพื่อบอกเื่นี้ แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลย นั่นยิ่งทำให้เฮียร้อนใจมากขึ้นไปอีก
เมื่อเดินเข้ามาถึงภายในห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็ทางผ่านก่อนจะไปถึงบันไดไม้สักอย่างดี เขาก็เจอกับแม่ ย่า และน้องสาวของเพื่อนสนิทนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยกัน เฮียไม่รอช้าที่จะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“สวัสดีครับ ม้า อาม่า”
“จ้ะ สวัสดีจ้ะเฮีย”
“ผมขออนุญาตขึ้นไปหาเรียวบนห้องหน่อยนะครับ”
“ตามสบายเลยจ้ะ”
สิ้นสุดคำเอ่ยอนุญาตจากแม่ของเพื่อนสนิท เฮียก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปหาเพื่อนสนิททันที เมื่อเดินมาถึงที่หน้าประตูบานใหญ่สีขาว จู่ ๆ เฮียก็รู้สึกว่ามีน้ำตามาเอ่อล้นที่รอบขอบตา แล้วตอนที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู เขาก็รู้สึกแสบซ่าที่จมูก
เฮียจับลูกบิดประตูอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป และตอนที่เห็นคนตัวสูงกำลังยืนอยู่ตรงหน้า เฮียก็รู้สึกว่า ‘ทุกความรู้สึก...ที่กูกลัว ที่กูเป็กังวล ที่กูจะเป็บ้าเพราะห่วงมึง มันหายไปเป็ปลิดทิ้งเลย’
เขากระแอมกระไอเพื่อขับไล่ก้อนความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลำคอ ก่อนจะพยายามฝืนเก็บน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่รอบขอบตา
แล้วก็เป็โชคดีของเขาที่น้ำตาแห้งเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว
เร็วพอที่จะไม่ทำให้เพื่อนสนิทเห็นมัน
“เรียว...มึงเป็ยังไงบ้าง?”
“...”
ดวงตาเรียวรีไล่มองไปทั่วทั้งร่างของคนตัวสูงกว่า ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหยุดยืนใกล้ ๆ อีกฝ่าย “ตรงไหน? ...มึงเจ็บตรงไหนบ้าง?”
“เฮีย...เป็อะไร?”
“กูก็เป็ห่วงมึงแทบบ้าไง”
“...”
เออ...แทบบ้าเลย
และตอนนี้ก็จะเป็บ้าอีกแล้ว...ที่คิดอยากกอดคนตรงหน้าโคตร ๆ เลย
“กูขอกอดหน่อยได้ปะวะ?”
“ได้ดิ”
ไม่ต้องรอเลยสักวินาทีเดียว คนตัวสูงกว่าก็โน้มตัวลงมาสวมกอดเขาไว้ ก่อนจะกระชับวงแขนกอดแน่นกว่าเดิม เฮียจึงกอดอีกฝ่ายตอบอย่างเบาแรง เพราะเขาไม่รู้ว่าคนไม่ดีฝากาแไว้ตรงส่วนไหนของร่างกายเพื่อนสนิท เฮียเลยต้องกอดอย่างระมัดระวัง
“ทำไมมึงต้องเป็ห่วงกูแทบบ้าด้วย ไหนเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“มึงยังจะมาให้กูเล่าอีก! มึงโดนแทงมานะ จะไม่ให้กูเป็ห่วงแทบบ้าได้ไงวะ”
“โดนแทง?”
เรียวถามย้ำด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกจากเขา เ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ไปโดนใครหลอกมาอีกแล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น เฮียก็ผละกอดออกจากเพื่อนสนิทแล้วก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็กูได้ยินม้ากับแม่มึงคุยกันว่ามึงโดนแทง”
“...”
“แล้วม้าก็บอกกูว่ามึงโดนอิมแทงตอนตีสาม แต่มีคนช่วยพาไปส่งโรง’ บาล โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ มึงถึงได้กลับมานอนพักที่บ้าน”
“ไปกันใหญ่แล้วคุณ”
“มะ มันจะไปกันใหญ่ได้ยังไง ในเมื่อมึงก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์กูด้วย แล้ว...”
แล้ว...
เอาแล้วไง กู
เฮียเอียงคอครุ่นคิดกับตัวเอง แล้วก็ขอให้ประวัติศาสตร์อย่าซ้ำรอยเหมือนตอนเรียนอยู่ ม.5 เลย เขาจำได้ว่าตอนนั้นได้ยินคุณครูบอกว่าเรียวโดนหมากัดที่หลังโรงเรียน เขาจึงรีบวิ่งสุดชีวิตไปหาเพื่อนสนิท แต่ปรากฏว่าคนชื่อเรียวที่โดนหมากัดเป็รุ่นน้อง ม.3
เขาสบสายตากับเรียวพลางภาวนาว่า...ขอให้ไม่ใช่เื่น่าอายเหมือนในอดีตอีก ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามออกไป...
“สรุปคือมึงไม่ได้โดนแทง?”
“อือ”
“แน่นะ”
“ไม่เชื่อเหรอ?” เรียวเอ่ยถามแบบนั้น ก่อนจะถอดเสื้อยืดสีขาวออกทันที “มีสักแผลบนตัวกูไหมล่ะ?”
“...”
“ส่วนกางเกงคงไม่ต้องถอดหรอกมั้ง เพราะคงไม่มีใครมาแทงขากูหรอก”
“มะ ไม่ต้องถอดแล้ว ไอ้ห่านี่”
เฮียกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองคนตัวสูงกว่าที่สวมเพียงแค่กางเกงวอร์มสีเทา เ้าของกล้ามหน้าท้องเป็ลอนสวยเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงขนาดคิงไซซ์ ก่อนจะสวมเสื้อเหมือนเดิม
เป็ตอนนี้ที่เขาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเงียบ ๆ แล้วยกขึ้นมากดโทรหาผู้เป็แม่ รอสายเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยเสียงแจ่มใส
[ว่าไงลูก?]
“ม้า...เรียวไหนที่โดนแทง?”
ทันทีที่แม่ได้ยินประโยคคำถามของเขา ท่านก็หลุดหัวเราะออกมา เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องกลับมาขอคำตอบในไม่ช้า
[เนี่ยแหละน้า...เป็ห่วงเพื่อนมากจนไม่ฟังอะไรเลย]
“...”
[ม้ายังเล่าให้ฟังไม่จบเลย เราก็คิดไปไกลถึงโน่น แล้วก็รีบออกไปหาเรียวเลย]
“...”
[ม้าจะบอกว่า...เรียวที่โดนแทงน่ะ คือคนงานที่สวนทุเรียนของป๊า]
“...”
[ลูกพอจะจำได้ไหม? ...เวลาเรากลับไปที่สวนทุเรียน เราจะเจอเขาตลอด]
ถ้าถามว่าจำได้ไหม?
ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก
แต่ตอนนี้น่ะเหรอ?
“ยิ่งกว่าจำได้อีกม้า ตอนนี้หน้าเขาลอยขึ้นมาเลย”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่อ...
[ม้าคิดไว้แล้วเชียว...ว่าต้องเป็แบบนี้]
“...”
[แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่ม้าคิดเลย]
“โห ม้า คนเรามันก็ต้องมีเข้าใจผิดกันบ้าง”
[ใช่~ คนเราก็มีเข้าใจผิดกันได้ ม้าเข้าใจนะลูก]
“...”
[แล้วครั้งนี้คนที่แทงเรียวก็ดันชื่ออิมซะด้วยสิ มันก็ยิ่งทำให้เข้าใจผิดง่ายเข้าไปใหญ่เลย]
“ก็ใช่น่ะสิม้า ไอ้เรียวเคยไปกระทืบอิมถึงคอนโด แล้วจะไม่ให้ลูกคิดไปแบบนั้นได้ไง”
[แต่อิมที่แทงเรียวน่ะ เป็เมียใหม่ของเรียว เธอโมโหเรียวที่ชอบไปเที่ยวกลับดึก ๆ ก็เลยมีปากเสียงกัน แล้วก็ลุกขึ้นมาเอาช้อนส้อมแทงผัวตัวเองตอนตีสาม]
“พีคมาก”
หมายถึงชีวิตกูเนี่ย
พีคมาก
เกิดเื่เข้าใจผิดแบบนี้กับกูได้ไงวะ?
[แล้วคุณพิมพ์ก็ดันโทรมาคุยเล่นกับม้าพอดีเลย สถานการณ์มันก็เลยพาให้เข้าใจไปแบบนั้น]
“...”
[การเข้าใจผิดครั้งนี้มันเข้าใจได้...ไม่ต้องอายหรอกลูก]
“ลูกจะไม่อายมากเท่าไร ถ้าม้าคิดจะเบรกกันบ้าง แทนที่จะโทรมาบอกลูกก่อน เล่นปล่อยให้ลูกมาหาเพื่อนถึงบ้านเลย”
ปลายสายหัวเราะชอบใจ ก่อนเอ่ย [ก็เห็นออกตัวแรงขนาดนั้น ม้าเลยไม่อยากเบรก รอให้กลับมาถามเองดีกว่า]
“ม้าอะ...”
[ว่าแต่...เรียวเพื่อนลูกยังสบายดีอยู่นะ?] แม่พูดปนหัวเราะ
“ม้า อย่าแซวลูกสิ”
[โอเค ๆ ม้าไม่แซวแล้ว งั้นเดี๋ยวม้าขอตัวไปเข้าครัวก่อนนะ ป๊าใกล้จะกลับมาแล้ว]
“ครับ เดี๋ยวลูกก็กลับแล้ว ม้าทำกับข้าวเผื่อลูกด้วยนะ”
[จ้า]
กูว่าแล้ว...
ว่าเื่แม่งต้องจบแบบนี้ทุกที
ชีวิตกูนี่แม่ง...บันเทิงดีจัง
เฮียคิดแบบนั้นพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งหัวเราะในลำคออยู่ เพราะเขารู้สึกอายที่แสดงอาการเป็ห่วงมันขนาดนั้น แล้วยังขอกอดอีกฝ่ายไปอีก เฮียจึงพูดโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
“แล้วมึงอะ...เป็ห่าไรไม่รับโทรศัพท์กู?”
“โทรศัพท์กูหายั้แ่เช้าแล้ว ยังหาไม่เจอเลย”
“โทรศัพท์หาย?”
“อือ”
“มึงทำหายที่ร้านหรือเปล่า?”
“เปล่า...เมื่อคืนกูกลับมาถึงบ้านตอนตีสอง กูก็เอามันวางไว้บนชั้นข้างเตียงเนี่ยแหละ ก่อนนอนกูยังเห็นมันอยู่ที่เดิมเลย แต่พอตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นแล้ว”
“...”
“วันนี้กูเลยไม่ได้ไปไหนเลย หาแม่งทั้งวัน”
“...”
“กูลองเอาโทรศัพท์คนอื่นมาโทรหา เผื่อจะได้ยินเสียง สรุปโทรไปก็ไม่ติด สงสัยแบตคงหมด”
“...”
“ถามคนในบ้านก็ไม่มีใครเห็น”
“เมื่อคืนมึงแดกเหล้าเปล่า? ...แบบกรึ่ม ๆ แล้วก็ไปลืมทิ้งไว้ที่ร้าน”
“คุณก็รู้...ผมไม่ดื่มเวลาทำงาน”
เออ เื่นี้กูรู้ดี...
แต่ไอ้คำพูดสุภาพที่เอามาพูดกันเองเวลาไม่มีแสนดีอยู่ด้วยเนี่ย
ทำกูเริ่มใจสั่นเลย…
“งะ งั้นมึงก็ลองหาในห้องอีกรอบดิ ถ้ามั่นใจว่าวางไว้ในห้องจริง ๆ อะ”
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว...งั้นก็มาช่วยหาหน่อย”
“เออ เดี๋ยวกูช่วยหา...”
เขาเอ่ยตอบ ก่อนจะเริ่มช่วยเพื่อนสนิทหาโทรศัพท์ ระหว่างที่กวาดสายตามองไปทั่วทุกซอกทุกมุมที่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งน่าจะตกลงไปได้ ข้อสงสัยหนึ่งที่ยังไม่ได้รับคำตอบก็ผุดขึ้นในหัว
“แล้ววันนี้ไอ้ฟ้ากับพวกไอ้โก้เป็อะไรก็ไม่รู้ กูโทรไปหาพวกแม่งก็ไม่รับสาย”
คนตัวสูงที่เดินไปหยุดยืนตรงโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เอ่ยขึ้น “วันนี้ร้านหยุดไง ไอ้ฟ้าก็คงอยู่กับน้องที่รัก เวลามันอยู่กับเมีย มึงก็รู้อยู่ว่ามันไม่แตะโทรศัพท์หรอก”
“อ้าว วันนี้ร้านหยุดเหรอ? ...ปกติไม่ได้หยุดวันนี้นี่”
“เออ วันนี้ไอ้ฟ้าสั่งหยุด มันบอกว่าไม่ได้หวานกับเมียมาหลายวันแล้ว อยากหยุดอยู่บ้านกับเมียบ้าง”
“แม่งน่าอิจฉาฉิบหายเลย”
เรียวที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนเอ่ย “อิจฉาเขาไปทั่ว ตัวเองมีความรักดี ๆ อยู่รอบตัวแล้วยังไม่รู้อีก”
พอได้ยินแบบนั้น เฮียก็หยุดมองหาโทรศัพท์ของเพื่อนสนิท แล้วหันไปมองเ้าของห้องที่นั่งด้วยท่าทางสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาสบสายตากับดวงตาเรียวยาวคล้ายเหยี่ยวคู่นั้น ก่อนเอ่ย...
“ความรักดี ๆ ที่อยู่รอบตัวกูก็คือครอบครัวกับ...”
ก็ไม่รู้ว่าทำไม...ตอนนี้เพื่อนสนิททุกคนถึงถูกตัดออกจากคำตอบ แล้วเหลือเพียงแค่ ‘เรียว’ คนเดียวที่อยู่ในคำตอบของเขา เฮียกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อบทสนทนาหยุดชะงักเพราะ ‘หัวใจ’ ของตัวเองที่สั่นไหวมากกว่าเดิม
“กับ?”
“กับพวกมึงไง”
เรียวยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ส่วนพวกไอ้โก้คงไม่ว่างแหละ เห็นบ่นกันอยู่ว่า่นี้งานเยอะมาก”
“อะ อ๋อ...”
เฮียเอ่ยตอบ ก่อนจะก้มหน้าลงมองเตียงแทนสบสายตากับอีกฝ่าย แล้วเขาก็คิดว่า ‘เฮีย มึงไม่ใช่คนโง่ แล้วมึงก็น่าจะรู้ดีว่าอาการนี้คืออะไร? ...แต่มันจะเป็ไปได้ยังไง เพราะมันคือเพื่อนสนิทมึงนะเว้ย’ เขาหลับตาลงพลางข่มใจกดทุกความรู้สึกลงไปให้ลึกสุดใจ
“เฮีย...”
“ฮะ?” ขานรับ พร้อมหันไปมองเพื่อนสนิททันควัน
“มึงเป็ห่วงกูมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
คนโดนโยนคำถามใส่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนหันไปสบตากับเพื่อนสนิทอีกครั้ง “กูก็ต้องเป็ห่วงมึงดิ ไม่ให้ห่วงมึงแล้วจะให้ไปห่วงหมาที่ไหน”
“มึงตอบไม่ตรงคำถาม”
“...”
“กูถามว่า...มึงเป็ห่วงกูมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ได้ถามว่ามึงเป็ห่วงกูหรือเปล่า”
“...”
“มึงก็แค่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่แค่นั้น”
เฮียกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป “มันอาจจะฟังดูเหมือนกูรักเพื่อนไม่เท่ากัน”
“...”
“แต่ก็ เออ...กูเป็ห่วงมึงมากกว่าเพื่อนคนอื่น”
“…”
“กูเป็ห่วงมึงมาก”
“...”
“มากขนาดที่มึงคงคาดไม่ถึงหรอก”
“ถ้ามึงไม่ขอกอดกู กูก็คงไม่รู้หรอกว่ามึงเป็ห่วงกูมากแค่ไหน”
“...”
“แต่เพราะว่ามึงขอกอดกู กูเลยพอจะรู้ว่ามึงเป็ห่วงกูมากขนาดนั้น”
แล้วความคิดระหว่าง ‘ควรปล่อยให้หัวใจสั่นไหวต่อไป กับพยายามข่มใจไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวมากไปกว่านี้’ ก็ทำให้เฮียรู้สึกสับสนในตัวเอง และเขาก็เริ่มรู้สึกประหม่ามากขึ้นด้วย นั่นจึงทำให้ต้องหลบสายตาอีกฝ่าย
“อะ เออ รู้ไว้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ต้องทำให้กูเป็ห่วงอีก”
“ต่อไปมึงจะขอกอดกูอีกก็ได้นะ...” เรียวเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปาก พอเฮียหันมาสบสายตากันจึงเอ่ยต่อ “…กูยินดีเลย”
เฮียกะพริบตาถี่มากขึ้นพอได้ยินคำแซวของเพื่อนสนิท เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอก เ้าตัวแค่อยากพูดแซวให้รู้สึกอายเท่านั้น เพราะว่าเฮียรู้สึกอายมากจึงพูดเสียงดังขึ้น “บ้าบอ...จะมากอดอะไรกันบ่อย ๆ”
เขาแกล้งไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนสนิท แล้วก็ก้มหน้าหาโทรศัพท์ต่อ ทว่าพอเฮียหันหลังให้เพื่อนสนิทแล้ว เขาก็หลับตาปี๋ ก่อนจะขยับปากยุบยิบคล้ายกำลังสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ หากแต่ความจริงแล้วเขากำลังขยับปากพูดตามสิ่งที่อยู่ในใจต่างหาก
เหี้ยแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ
กูเนี่ยเหี้ยแล้ว...
ปล่อยให้ตัวเองใจสั่นกับเพื่อนขนาดนี้ได้ยังไง
ไอ้เหี้ย!
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้