“พี่สาว หลินเสี่ยวหยางคือใครเหรอ?” เจิ้งเทียนเลี่ยงถาม พอเลิกเรียนกลับมาตอนเที่ยง ปรากฏว่าพี่สาวกับพ่อก็ทะเลาะกันจบแล้ว เขารู้เพียงว่าคุณพ่อคงโกรธน่าดู และไม่น่ายอมให้พี่สาวกินข้าว ไม่คาดคิดพอมาถึง่เย็น บรรยากาศในบ้านกลับดี แถมพี่สาวรองยังออกมากินข้าวด้วย
“แกไม่รู้จักหรอก กินข้าวเถอะ มันไม่ใช่เื่ของเด็ก!” เฉินชุ่ยอวิ๋นบอกเขา
เจิ้งเทียนเลี่ยงเบะปาก เขาไม่ถามมากความอีก ในความทรงจำของเขา พี่สาวรองทะเลาะกับคนที่บ้านวันเว้นวัน คราวนี้คงไม่ต่างกันนัก จึงคว้าวอวอชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากก่อนว่า “ผมออกไปเล่นกับพวกหงจวินนะ” พูดแล้ววิ่งออกไป
“เอ้ย น้ำแกงของแก——” เฉินชุ่ยอวิ๋นะโไล่หลัง
เจิ้งเทียนเลี่ยงตอบมาจากไกลๆ “เดี๋ยวผมค่อยกลับมาดื่ม!”
ยุคสมัยนี้เด็กในชนบทล้วนซุกซนไม่ต่างจากลิงทะโมน กินเสร็จก็มักจะออกไปเที่ยวเล่น เจิ้งเทียนเลี่ยงเพิ่งสิบขวบ ทั้งยังร่าเริง เลยยิ่งอยู่ไม่ติดบ้าน ชาติก่อนเขาก็เป็เช่นนี้ เล่นข้างนอกจนโดนคนพาเสีย กลายเป็เดนสังคมตาม ครั้นเจิ้งหยวนสอบถามเื่ของเจิ้งเทียนเลี่ยง เหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาได้ยินชื่อหงจวิน น่าจะเป็หนึ่งในคนที่มั่วสุมด้วยกันกับเขา แบบนี้ไม่ได้ เจิ้งหยวนคิดในใจ อีกสักพักเธอต้องเตือนเทียนเลี่ยงว่าอย่ามัวแต่เที่ยวเล่น คนเราต้องยืนหยัดด้วยตนเองเท่านั้น ถึงจะไม่โดนอิทธิพลจากคนรอบข้างจนชักนำง่ายๆ
ขณะเจิ้งหยวนกำลังใคร่ครวญว่าควรสอนเจิ้งเทียนเลี่ยงอย่างไร อยู่ๆ ก็ได้ยินพี่ชายพูดขึ้นมากะทันหัน “ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันกับเจี้ยนเหวินเหมือนจะเคยชกต่อยกันด้วยนะ”
เจิ้งหยวนถูกกระตุ้นความสงสัย รอเจิ้งเทียนิพูดต่อ
คนอื่นก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เฝิงเทียนเยว่จึงเอ่ยถาม “ตอนไหน พวกคุณสองคนทะเลาะกันทำไม?”
“หลายปีแล้วละ ตอนนั้นเขายังไม่ไปเป็หทาร พวกเราเรียนหนังสือด้วยกัน” เจิ้งเทียนินึกย้อนก่อนว่าต่อ “เหมือนมีคนถามเขาว่ามีภรรยาตัวน้อยยังฉี่รดที่นอนใช่ไหม เขาบอกอย่างรังเกียจสุดๆ ว่าไม่มีทางแต่งเด็กสามขวบมาเป็ภรรยา ฉันโมโห เลยต่อยตีกับเขาน่ะ”
พอพูดจบ ทั้งโต๊ะพลันเงียบกริบ
อยู๋ดีๆ เจิ้งหยวนก็รู้สึกว่าการแต่งงานคราวนี้อาจพลิกผัน ความจริงเฝิงเจี้ยนเหวินเองไม่ชอบเธอเหมือนกัน! จุ๊ๆ บางทีเมื่อชาติก่อนครั้งที่เธอถอนหมั้นคงตรงตามความปรารถนาของเขาพอดีกระมัง?
เฝิงิเยว่หูตาไม่ไว เธอพูดต่อโดยไม่สังเกตสักนิดว่าผู้ฟังทุกคนหนักใจแค่ไหน “ตอนนั้นฉันอายุสิบหกมั้ง เฝิงเจี้ยนเหวินอ่อนกว่าฉันครึ่งปี งั้นก็อายุสิบหก”
คนในชนบทชอบพูดอายุลวง [1] เฝิงเจี้ยนเหวินเกิดปลายปี ต้องลบออกไปสองปี ซึ่งหมายความว่าตอนนั้นเขาอายุสิบสี่ปี เจิ้งหยวนเจ็ดขวบ เฝิงเจี้ยนเหวินวัยสิบสี่ปีรังเกียจภรรยาอายุเจ็ดขวบที่อายุน้อยเกินไปเลยไม่อยากแต่ง เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่กระมัง?
เฉินชุ่ยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดว่า “อายุน้อยกันอยู่ ยังไม่รู้ความน่ะสิ”
เจิ้งเทียนิไม่พอใจ“สิบหกแล้ว เด็กตรงไหนครับ?แม่ไม่รู้หรอกว่าเขาแรงเยอะขนาดไหน ผมกังวลั้แ่ตอนนั้นแล้วว่าถ้าเขาตีน้องจะทำยังไง?”
เจิ้งหยวนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พี่ ฉันกระตุกหนวดพี่เหรอ ทำไมอยากให้ฉันโดนตีอยู่เรื่อย?” พี่ชายเธอทำไมพูดจากวนโมโหขนาดนี้เนี่ย? คิดในทางที่ดีบ้างไม่ได้เลยหรือ?
“โธ่ แม่คุณ นิสัยไม่ยอมเสียเปรียบของเธอหากแต่งไปบ้านอื่นฉันคงไม่ห่วงเลย แต่เฝิงเจี้ยนเหวินไม่เหมือนกัน เขาร้ายกว่าเธอ…โอ๊ย พ่อ ตีผมทำไม?” เจิ้งเทียนิกุมหัวที่โดนเจิ้งเฉวียนกังตีด้วยตะเกียบ พลางร้องโอดโอย
เจิ้งเฉวียนกังตีเขาอีกครั้งก่อนตะคอกใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดเป็ปม “แกสมควรโดน! พูดมากนักนะ กินข้าวของแกไป!”
เมื่อพ่อเอ่ยทิ้งท้ายไว้ พี่ชายก็หดคอ ไม่กล้าพูดอันใดอีก ความจริงเจิ้งหยวนรู้ดี แม้พ่อของเธอจะไม่พูดออกมา แต่ในใจคงกลัวว่าพี่ชายพูดมากเกินไป แล้วเธอจะใจนเปลี่ยนความคิดอีก ไฉนเขาจะนึกถึงว่าลูกสาวกลับมาเกิดใหม่? ชาติก่อน คนประเภทไหนที่เธอไม่เคยพบ? มีเื่อะไรไม่เคยประสบบ้าง? เธอคือหญิงแกร่งที่มีบริษัทจดทะเบียนเป็ของตัวเองอย่างรวดเร็ว! แค่ทหารคนหนึ่ง ต่อให้เขากล้าทำร้ายเธอ เธอจะกัดฟันทนได้จริงหรือ? ไม่โวยวายจนเขาเสียเครื่องแบบทหาร เธอขอไม่ใช้แซ่เจิ้ง!ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้ของเธอคือครอบครัวมีความสุข ครอบครัวหวังให้เธอแต่ง เธอก็จะยอมแต่งกับเฝิงเจี้ยนเหวิน
ต่อมา เจิ้งเฉวียนกังพูดคุยเื่เก็บเกี่ยว่ฤดูร้อนต่อ ยามนี้เข้าต้นเดือนหก ใกล้จะถึงเวลาเก็บข้าวสาลีแล้ว หน้าร้อนฝนเยอะ การเก็บข้าวสาลีกลัวฝนตกหนักเร็วจนส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวเป็ที่สุด พวกเขาเลยต้องใช้ความเร็วสูงสุดเกี่ยวข้าว แล้วค่อยปลูกถั่วเหลือง ปุยฝ้าย และมันเทศลงแปลงใหม่ ซึ่งเป็่เร่งด่วนของการทำนาทุกปี พอเด็กๆ ปิดภาคเรียนก็จะกลับมาช่วยงานที่บ้าน ยุ่งวุ่นวายกันข้ามวันข้ามคืน เหน็ดเหนื่อยสุดๆ ถึงกระนั้น แม้จะอ่อนล้า ก็ยังคุ้มค่าแก่การลงแรง เพราะ่นี้ทุกคนจะได้แต้มสามสิบถึงสี่สิบแต้มทุกวัน
เชิงอรรถ
[1] อายุลวง หมายถึง การนับอายุตามแิที่มีมาแต่โบราณของจีน ซึ่งเชื่อว่าการที่สตรีตั้งครรภ์เท่ากับชีวิตน้อยๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้น ระยะเวลาตั้งครรภ์ร่วมสิบเดือนพอเด็กคลอดออกมาจึงนับเป็หนึ่งขวบ และไม่ว่าจะคลอดวันไหนเดือนไหน พอพ้นวันตรุษจีนตามปฏิทินจันทรคติก็ให้นับเพิ่มอีกหนึ่งขวบ ด้วยเหตุนี้ คนที่เกิดปลายปีอย่างเฝิงเจี้ยนเหวิน พอถึงวันตรุษจีนปีถัดไปจะอายุสองขวบ และเมื่อวนกลับมาวันเกิดตัวเองอีกรอบจะเท่ากับสามขวบ ซึ่งมากกว่าอายุจริงๆ สองปี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้