“เขาคนนั้นหรือคือตัวเต็งข้อเขียน?”
“เขานั่นแหละ ได้ยินว่าเป็นายน้อยของตระกูลจั๋ววิถีเซียน ทั้งพื้นฐานและความรู้ล้วนยอดเยี่ยม ทว่าน่าเสียดาย…”
“นายน้อยบ้าอะไรกัน ก็แค่ขยะที่ไร้พร์เท่านั้นเอง”
“มิผิด มิผิด รอตอนทดสอบิญญาสิพวกเ้าจะได้เห็นว่าน่าขายหน้าขนาดไหน!”
“เหอะเหอะ!”
……
ผู้คนรอบด้านต่างซุบซิบนินทา ทั้งยังมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังออกมาด้วย
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่พูดไม่จา เขาไม่อยากสนใจคนไร้สาระเหล่านี้
แต่เ้าซาลาเปารู้สึกโมโห จึงหันไปถลึงตาใส่พวกเขาพลางกล่าวปลอบใจจั๋วอวิ๋นเซียน “อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ก็แค่พวกคนโง่ปากเสียกลุ่มหนึ่ง!“
”เห้ย เ้าว่าใครปากเสียไอ้ลูกสุนัข!“
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน เขาก้มมองเปาต้าถงอย่างทะนง
เ้าซาลาเปาก็เป็คนมีประสบการณ์ หากแข่งเื่ถกเถียงละก็เขาไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด ”ก็ว่าพวกเ้าอย่างไรเล่า? ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่สมองขี้เลื่อย แค่ดูก็รู้ว่าเป็พวกโง่เขลา! หากพวกเ้าเก่งกาจนัก ก็ไม่ต้องมาทดสอบแล้ว ไปเข้าสำนักเซียนจงซูเสีย!“
”ไอ้หมูอ้วน เ้า…อยากลองดีนักหรือ?“
”มาสิ! อยากสู้ก็เข้ามา คิดว่าข้ากลัวพวกเ้าหรือ! หากข้ามิอาจตบเ้าฟันหลุดได้ ข้าเปาต้าถงจะกลับบ้านไปขายซาลาเปา!“
เปาต้าถงถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมตัวลงมือ ท่าทางเหมือนมีประสบการณ์มาไม่น้อย
”ช่างมันเถอะเ้าซาลาเปา…“
จั๋วอวิ๋นเซียนตบบ่าเปาต้าถงแล้วเอ่ยปากห้ามปราม
ทุกคนคิดว่าเขาอดกลั้นฝืนทนจึงหัวเราะเยาะเย้ย!
เปาต้าถงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ”จั๋วอวิ๋นเซียน เ้านิสัยอ่อนโยนเกินไป ถ้าข้าเป็เ้า คงตบมันจนพ่อแม่จำหน้าตาไม่ได้ไปแล้ว!““
จั๋วอวิ๋นเซียนเหลือบมองชายหนุ่มที่มาหาเื่ ก่อนจะพยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “ซาลาเปาพูดถูก สมควรถูกอัดสักหน่อย…แต่ที่นี่คือจวนเ้าเมือง สู้กันที่นี่คงไม่ใช่เื่ดีนัก”
“พูดไปพูดมา ก็แค่คิดจะหาทางรอดให้ตัวเองมิใช่หรือ!”
“เหอะ พวกไก่อ่อนก็คือพวกไก่อ่อน!”
ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะ จั๋วอวิ๋นเซียนกลับกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด “ดังนั้นพวกเราจดจำหน้าพวกมันให้หมด รอออกจากที่นี่แล้วค่อยไปจัดการ”
“จัดการพวกเราหรือ? ฮ่าฮ่า!
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงดัง เขากล่าวอย่างดูแคลนว่า “คนอ่อนแออย่างเ้าหรือ แค่ข้าหายใจเ้าก็ตายแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผู้คนรอบข้างต่างหัวเราะตามไปด้วย เหมือนรู้สึกว่านี่เป็เื่ที่น่าขันยิ่งนัก
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิดแล้วกล่าวอีกครั้ง “อืม เ้าพูดมีเหตุผล ในเมื่อข้าสู้เ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าควรกลับบ้านไปหาผู้ช่วยมาดีกว่า”
“เหอะ ผู้…ผู้ช่วยน่ะหรือ! เ้า…”
ชายหนุ่มมึนงงและกำลังจะหัวเราะออกมา แต่ผู้คนรอบด้านกลับเงียบกริบ พวกเขาเพิ่งนึกถึงสถานะของอีกฝ่ายออก…นายน้อยของตระกูลจั๋วแห่งวิถีเซียน! ถึงแม้จะไร้พร์ แต่ก็เป็นายน้อยที่แท้จริง!
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความเงียบที่มาโดยไม่ตั้งตัว
“อุ๊บ” เ้าซาลาเปาหลุดหัวเราะด้วยความสะใจ เขาชอบเวลาเห็นคนอื่นอวดเบ่งแต่สุดท้ายกลับกลายเป็หมาหัวเน่า
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ยอม คิดจะย้อนคำพูดอีกฝ่าย “จั๋วอวิ๋นเซียน นี่คือความแค้นระหว่างศิษย์ เ้าจะให้ตระกูลช่วยได้อย่างไร? เ้ามีความละอายใจบ้างหรือไม่?”
“มีสิ!” จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้า
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รู้สึกอึดอัด จึงถามลองเชิงว่า “แล้วเ้า…จะไม่หาคนช่วยแล้วใช่หรือไม่?”
“หาสิ!” จั๋วอวิ๋นเซียนพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผล
“……”
ทุกคนล้วนรู้สึกสับสน เหมือนมีหมูเป็พันตัวมาเหยียบย่ำหัวใจของพวกเขา
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขากล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว “จั๋วอวิ๋นเซียน เ้า…ให้คนอื่นช่วยจะมีความหมายอะไร? ถ้าแน่จริงพวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวสิ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนยังคงกล่าวอย่างมีเหตุผล “ข้าสู้เ้าไม่ได้ก็ต้องให้คนช่วยสิ”
“……”
ทุกคนรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลมาก ถึงกับเถียงไม่ออก
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รู้สึกเสียใจ “เ้าเ้า…ตระกูลวิถีเซียนเก่งนักหรือ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม เก่งพอตัวเลยนะ”
“……”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้นเริ่มอยากจะร้องไห้แล้ว ทว่ายังคงฝืนเถียงต่อไป “แผ่นดินเซียนฉยงมีกฎวิถีเซียน ต่อให้เป็ตระกูลวิถีเซียนแล้วอย่างไร! คิดจะใช้อำนาจตระกูลข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าหรือ?”
“ใช่แล้ว” จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าอีกครั้ง
“……”
ทุกคนรู้สึกเหนื่อยใจมาก ไม่รู้ควรพูดอะไร
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา “เ้า…อย่าทำแบบนี้กับข้านะ!”
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“……”
ทุกคนล้วนตะลึง เหตุใดถึงรู้สึกว่านิสัยเขาเปลี่ยนไป?
เปาต้าถงกุมท้องขำไม่หยุด เขาคิดไม่ถึงว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะยุยงเก่งถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าเอาสี่ตำลึงไปแลกพันจิน
“เห้ย! พวกเ้ากำลังทำอะไร? แยกย้ายได้แล้ว!”
ทันใดนั้นทหารยามตรวจตรากลุ่มหนึ่งรีบเดินเข้ามา ก่อนกล่าวตักเตือนด้วยเสียงเ็า “ที่นี่คือจวนเ้าเมือง หากใครกล้าก่อเื่ ข้าจะแตะออกไปให้หมด!”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ราวกับเจอทางรอด รีบเช็ดน้ำตาวิ่งหนีไป ส่วนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไป
เ้าซาลาเปายกนิ้วโป้งชื่นชมจั๋วอวิ๋นเซียน ส่วนตัวเขากลับกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
……
ในที่สุดการทดสอบที่สองก็เริ่มขึ้น ทหารหลายคนยกแท่นเสาหยกขาวที่มีความสูงเท่าคนสองคนเข้ามา นี่คืออุปกรณ์ิญญาที่เอาไว้ใช้วัดระดับิญญา พร์ และศักยภาพ ‘ไม้บรรทัดวัดิญญา’
‘ไม้บรรทัดวัดิญญา’ มีจุดตัดทั้งหมดเก้าจุด เริ่มั้แ่ต่ำไปถึงสูง หากจุดตัดส่องแสงมากเท่าไรก็หมายถึงหลอมิญญาไปได้เท่านั้น ส่วนวิธีการวัดระดับิญญานั้นง่ายดายมาก เพียงแตะ ‘ไม้บรรทัดวัดิญญา’ ก็พอแล้ว
“จั๋วอวิ๋นเซียน เ้าว่า…เสาใหญ่ขนาดนี้เรียกว่า ‘ไม้บรรทัด’ ได้ด้วยหรือ! ไม้บรรทัดนี้หากมีไว้ตีก้นละก็ จะเ็ปขนาดไหนกันนะ?”
เปาต้าถงพึมพำอยู่ด้านข้าง จั๋วอวิ๋นเซียนส่ายศีรษะพลางหัวเราะ สายตาเผยความรู้สึกซับซ้อน เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาวัดพร์ิญญา ทั้งยังใช้ ‘ไม้บรรทัดวัดิญญา’ ด้วย ตอนนั้นเขาอายุเพียงหกปีก็ถูกคนตัดสินชีวิตไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะบิดามารดาและพี่สาวของเขาไม่ยอมแพ้ เกรงว่าเขาคงไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
เนื่องด้วยอนาคตของคนเราเปลี่ยนแปลงแบบมิอาจคาดเดา ไม่มีสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แน่นอน และห้ามปล่อยให้โชคชะตาควบคุมชีวิตง่ายๆ เส้นทางทุกสายล้วนมาจากผลลัพธ์ที่ตัวเองเลือก
……
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์คนแรกก็เดินออกไป เริ่มการทดสอบิญญา
ท่าทางของเด็กหนุ่มดูตื่นเต้นมาก เหงื่อโชกเต็มหน้าผาก มือเท้าสั่นเล็กน้อย!
“วิ้ง!”
เมื่อฝ่ามือของเด็กหนุ่มัักับเสาหยก หน้าผากมีแสงสว่างวาบ ตราประทับอสรพิษตัวหนึ่งพุ่งเข้าไปในเสาหยก จากนั้นจุดตัดสี่จุดของ ‘ไม้บรรทัดวัดิญญา’ ส่องแสงขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนล้วนมองเห็นว่าตราประทับอสรพิษตัวนั้นก่อร่างมาจากดวงดาราสามสิบหกดวงอย่างเลือนราง
ตราประทับ : ระดับต่ำ
ิญญา : หลอมห้ารอบ
……
ผู้คุมสอบจดบันทึกผลลัพธ์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นทดสอบศิษย์คนต่อๆ ไป
ส่วนผลลัพธ์การทดสอบก็ยังเป็เช่นเคย แทบจะเป็ตราประทับระดับต่ำทั้งหมด ิญญาส่วนใหญ่ล้วนหลอมสี่รอบหรือห้ารอบ บางครั้งถึงจะปรากฏศิษย์ที่หลอมหกรอบถึงเจ็ดรอบ พวกเขาดีใจมากและมีผู้คนไม่น้อยที่ร่วมแสดงความยินดี สำหรับศิษย์ที่หลอมิญญาแปดรอบและเก้ารอบกลับไม่มีสักคนเดียว
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ทำให้ผู้คุมสอบประหลาดใจแม้แต่น้อย
ถึงแม้เมืองชายแดนตงหลิงจะมีการค้าเจริญรุ่งเรือง แต่ถึงอย่างไรก็เป็สถานที่ห่างไกล จะมีอัจฉริยะมากมายได้อย่างไร
