นางเย่ไม่พอใจยิ่งยวด ไม่พอใจถึงขีดสุด มองดูบุรุษในห้อง ทั้งรูปโฉมและเสื้อผ้าแบบนั้น มีตรงไหนเป็คนบ้านนอก! เมิ่งเจียนเจียบุตรีของนางสิถึงจะเป็เด็กสาวที่อ่อนโยนและงดงามที่สุดในหมู่บ้านนี้ ควรคู่กับบุรุษเลิศล้ำที่สุด แต่เมิ่งอู่ผู้นี้ชาติที่แล้วสั่งสมบุญกุศลใด จึงพานพบแต่เื่ดีๆ เยี่ยงนี้!
นางเย่กล่าวเสียดสี “เขาดูไม่ธรรมดา เหตุใดจึงมองหญิงชาวบ้านเช่นเ้า! เ้าไปลักพาตัวเขากลับมาจากในเมืองใช่หรือไม่!”
อินเหิงเลิกคิ้วนิดๆ พลางกล่าว “ข้าชมชอบนาง ชอบนางจนยินยอมมอบชีวิตของข้าเพื่อเป็เ้าบ่าวแต่งเข้าของนาง เ้าจะทำไมหรือ?”
เมิ่งอู่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงอู้อี้
“…” นางเย่โต้แย้งไม่ได้ ได้แต่โมโหแทบตาย
ต่อให้มีความคิดเห็นก็ไม่ถึงคราวของนางที่จะแสดงความคิดเห็น ด้วยมารดาของเมิ่งอู่ก็อยู่ที่นี่
โดยปกติแล้วต่อให้ตีจนตายนางเซี่ยก็ไม่มีทางยอมรับว่าอินเหิงเป็เ้าบ่าวเด็กของเมิ่งอู่ ทั้งหมดเป็เพราะเมิ่งอู่ลุ่มหลงเขาจนหน้ามืดตามัว แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางมิอาจปฏิเสธ เพราะหากนางยังไม่ยอมรับ เมิ่งอู่และอินเหิงต้องถูกจับไปถ่วงน้ำ
ดังนั้นนางเซี่ยจึงได้แต่ยืนกรานเต็มปากเต็มคำ กาลก่อนนางเย่ทำให้นางโกรธจัด ยามนี้จึงจ้องนางเย่เขม็งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “ยามนี้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยังจะจับบุตรสาวกับบุตรเขยข้าไปถ่วงน้ำอีกหรือไม่เ้าคะ?” นางชี้ไปที่เมิ่งต้าและนางเย่ “หากเป็เช่นนั้นก็จับสามีภรรยาคู่นี้ไปถ่วงน้ำด้วย ติฉินนินทาคนไปทั่ว กลับถูกให้เป็ผิด ไม่เพียงแต่ต้องถ่วงน้ำให้ตาย หลังตายแล้วยังต้องถูกถอดลิ้นลงไปนรก! หรือจะจับคู่แต่งงานทุกคู่ในหมู่บ้านนี้ไปถ่วงน้ำให้หมดเสียเลย!”
หน้าของนางเย่พลันเปลี่ยนสี แต่ด้วยความที่นางเป็คนเ้าเล่ห์เพทุบายมาก จึงรีบเก็บอารมณ์แล้วกล่าวอย่างคล้ายเจตนาคล้ายไม่เจตนา “น้องสะใภ้รอง เ้าพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง พวกเราเพียงไม่อยากเห็นเมิ่งอู่หลงผิดและทำลายบรรยากาศในหมู่บ้าน ใครจะไปรู้ว่าเป็เพียงเื่เข้าใจผิดกัน เ้าไม่จำเป็ต้องสาปแช่งให้คู่แต่งงานทุกคู่ในหมู่บ้านไปตายหรอก”
แบบนี้ไม่เท่ากับว่าโยนความโกรธแค้นของทุกคนมาให้นางเซี่ยแม่ลูกหรอกหรือ?
นางเซี่ยเถียงไม่ชนะนางเย่ เมิ่งอู่จึงดึงนางเซี่ยมาหลบด้านหลังเพื่อปกป้องนาง ยิ้มกล่าว “นี่มิใช่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็คนเริ่มก่อนหรือเ้าคะ? เพียงอาศัยคำพูดฝ่ายเดียวของเมิ่งซวี่ซวี ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จึงยุยงชาวบ้านให้ออกหน้าแทนนาง ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของข้ากับสามีของข้า ก็จะจับพวกข้าไปถ่วงน้ำแล้ว หากสามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะต้องถูกจับไปถ่วงน้ำ นี่ไม่ใช่ความหมายของท่านป้าสะใภ้ใหญ่หรอกหรือเ้าคะ?”
เมิ่งอู่ถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “เฮ้อ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ระดมคนมามากมายเยี่ยงนี้ ไม่เพียงทำให้ทุกคนเสียเวลา ยังต้องพลอยลำบากลำบนตามไปด้วย หากข้าเป็ท่าน ข้าคงอับอายไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว”
นางเย่กัดฟันกรอด เมิ่งอู่ผู้นี้ช่างปากคอเราะรายนัก!
พวกชาวบ้านที่มุงดูอยู่ย้อนนึก คราแรกพวกเขาถูกนางเย่ยุยงปลุกปั่นจริงๆ แต่กลับกลายเป็ว่าทุกคนเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธนางเย่
ชาวบ้านกล่าวอย่างหมดความอดทน “เมิ่งซวี่ซวีผู้นั้นขึ้นชื่อเื่พาลพาโลและเ้าเล่ห์เพทุบาย ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น พวกผู้ใหญ่ก็ยังเชื่อคำพูดนางอย่างจริงจัง ให้ร้องะโจับคนลักลอบคบชู้ แต่สุดท้ายกลับทำให้ทุกคนวุ่นวายกันไปหมด แยกย้ายๆ ทุกคนกลับเรือนเถอะ”
กล่าวอย่างนี้แล้ว ชาวบ้านต่างพากันแยกย้าย หัวหน้าหมู่บ้านที่อวดว่าตนเป็คนยุติธรรมและเข้มงวดอย่างแท้จริงก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนเดินจากไปเช่นกัน
เมิ่งต้ากับภรรยายังไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อเมิ่งอู่เดินมาถึงประตูลานเรือน พวกเขาหวาดกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาอยู่บ้าง จึงรีบถอยหลังสองก้าวอย่างว่องไว
เมิ่งอู่หยักริมฝีปากหัวเราะสองหน ก่อนปิดประตูลานเรือนดังปัง เศษไม้ที่ประตูร่วงกราวใส่หน้าของทั้งสองคนจนเต็มไปด้วยฝุ่นเทา
ในที่สุดลานเรือนก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แม่ไก่ป่าขันกุ๊กๆ อย่างมีความสุขสนุกสนาน
นางเซี่ยเห็นเมิ่งอู่ยิ้มระลอกแล้วระลอกเล่า ยามนี้จึงได้สติกลับคืนมา นางทำหน้าจริงจังสวนกลับทันควัน “อย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไป เมื่อครู่เป็เพียงแผนการชั่วคราว ข้าจะไม่มีวันยอมรับคนที่อยู่ข้างในเป็บุตรเขยของข้าเด็ดขาด!”
เมิ่งอู่กล่าว “ท่านแม่ ยามนี้คนทั้งหมู่บ้านล้วนรู้ว่าอาเหิงเป็เ้าบ่าวเด็กของข้าแล้ว หากท่านกลับคำ ต่อไปข้าคงไม่ได้แต่งงานจริงๆ”
นางเซี่ยเหลือบมองอินเหิงที่อยู่ในห้องก่อนกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าเขาเป็ตัวหายนะ”
กล่าวจบ นางก็ไม่สนใจอีก หันหลังเดินเข้าครัวไป
เมิ่งอู่ตักธัญพืชออกมาโปรยไว้ในลานเรือนให้แม่ไก่ป่าจิกกิน นางตบมือก่อนเดินเข้าห้อง กล่าวกับอินเหิง “อย่าไปฟังท่านแม่เลย อาเหิง เ้าไม่ใช่ตัวหายนะ”
อินเหิงยิ้มนิดๆ อย่างโล่งใจ “ท่านแม่เ้าไม่ยอมรับข้าก็สมควรแล้ว ยามนี้ข้าเป็เพียงคนไร้ประโยชน์จริงๆ”
เมิ่งอู่กล่าว “เ้าจะไม่เป็แบบนี้ตลอดไปหรอก”
หลายวันต่อมา เมิ่งอู่ไปที่เรือนของช่างไม้หลี่ เพื่อดูเก้าอี้เข็นที่เขาทำ
เก้าอี้เข็นเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ช่างไม้หลี่ฝีมือดีมาก ขัดเกลาตัวเก้าอี้เข็นจนเรียบเนียนและงดงามมาก เมิ่งอู่ลองนั่งดูหนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเทอะทะ จึงปรึกษาช่างไม้หลี่เพื่อปรับปรุงแก้ไข เก้าอี้เข็นไม้คันนี้จึงเบาและคล่องตัวขึ้น
เมิ่งอู่ขนย้ายเก้าอี้เข็นกลับเรือน แทบจะทนรอไม่ไหวที่จะให้อินเหิงลองใช้
เพียงแต่อินเหิงขยับขาไม่ได้ มิอาจลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้เข็นเองได้
เมิ่งอู่มองอินเหิงแล้วยิ้ม ฉวยโอกาสนี้ถามเขาว่า “อาเหิง ให้ข้าอุ้มเ้าดีหรือไม่?”
อินเหิงกล่าว “ยินดีให้เ้าอุ้มข้า”
ในเมื่อเขาก็ใจกว้างเยี่ยงนี้แล้ว เมิ่งอู่จะเกรงใจเขาได้อย่างไร นางก้มตัวลงไปใกล้อินเหิง ใช้สองมือโอบรอบเอวเขา
เวลานี้าแของเขาฟื้นฟูได้ดี เมิ่งอู่จึงมีโอกาสเอาเปรียบเขา ขณะอุ้มเขาขึ้น นางก็ชม “แม้มีเสื้อผ้ากั้นอยู่ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกดีจริงๆ”
อินเหิงมีสีหน้าไร้เดียงสาขณะเอ่ย “ขอเพียงอาอู่ชอบก็พอ”
ในที่สุดอินเหิงก็ได้นั่งบนเก้าอี้เข็น สองขาที่หักของเขาห้อยลงมาตามธรรมชาติ ่นี้เขาไม่ค่อยได้ขยับขา พอต้องงอเข่ามากขนาดนี้ ทำให้เขาต้องใช้มือช่วยประคองโดยการจับพนักแขนไว้ แม้ไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่สีหน้าเขาซีดเผือดเล็กน้อย
เมิ่งอู่สังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม “เจ็บหรือไม่?”
อินเหิงตอบเบาๆ “ยังดี”
เมิ่งอู่กล่าว “ที่เจ็บกว่านี้รออยู่ข้างหลัง”
ดูท่าว่าต้องรีบรักษาขาของเขาโดยเร็วเท่าที่จะเป็ไปได้ มิเช่นนั้นหากปล่อยไว้นาน กระดูกด้านในจะงอกผิดตำแหน่ง โอกาสที่จะฟื้นตัวเป็ปกติก็จะยิ่งน้อยลง
รอจนอินเหิงผ่อนคลายแล้ว เมิ่งอู่จึงค่อยๆ เข็นเก้าอี้เข็นออกไปข้างนอก
นี่เป็ครั้งแรกที่อินเหิงได้นั่งไปรอบๆ ลานเรือนเล็กๆ นับแต่เขาเข้ามาในเรือนของเมิ่งอู่
แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องไปทั่วพื้นดินและรั้วเรือน อินเหิงหรี่ตา เสื้อผ้าเรียบๆ ของเขาถูกแสงสูรส่องสะท้อนจนเป็สีขาวจางๆ การพักฟื้นในเรือนนานหลายวัน ทำให้ผิวพรรณของเขาขาวผ่องแข่งกับหิมะและน้ำค้างแข็ง ดั่งกลิ่นอายเซียน ไม่แปดเปื้อนกลิ่นอายโลกิยะ
อินเหิงสามารถหมุนล้อไม้ของเก้าอี้เข็นได้ด้วยตนเอง เขาสามารถนั่งไปรอบๆ ลานเรือนโดยไม่ต้องใช้ขา
แม่ไก่ป่าคิดว่าตนเป็เ้าถิ่นในลานเรือน ยามนี้ในลานเรือนกลับมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว มันจึงเดินเข้าไปใกล้ วนเวียนอยู่รอบๆ เก้าอี้เข็นของอินเหิง บางครั้งก็จิกล้อไม้สองสามหน
ผลปรากฏว่ามันเดินวนไปวนมามากเกินไป แต่เชือกที่ผูกมันไว้ยาวไม่พอ แม่ไก่ป่าจึงพันตัวเองติดอยู่กับเก้าอี้เข็นพลางส่งเสียงร้องกะต้ากๆๆ
อินเหิงก้มลงมองมัน ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ เก็บชายเสื้อขึ้น ก่อนก้มลงไปช่วยปลดเชือกที่พันแม่ไก่ป่าออก
ในเมื่อในยามนี้นางเซี่ยเปลี่ยนแปลงสถานะเ้าบ่าวเด็กของอินเหิงไม่ได้ นางจึงตัดสินใจจะหาอันใดให้เขาทำ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็คนที่มีประโยชน์
นางเซี่ยยังไม่ทันบอกให้อินเหิงทำอันใดเป็พิเศษ เมิ่งอู่ยืนอยู่ข้างๆ พลางถอนหายใจ “ท่านแม่ ร่างกายอาเหิงยังไม่หายดี เคลื่อนไหวไม่สะดวก เช่นนั้นให้ข้าทำแทนเขาดีกว่ากระมัง?”
นางเซี่ยจ้องบุตรีผาดหนึ่ง “ยามนี้เขายังไม่ใช่สามีของเ้า ไฉนเ้าต้องทุกข์ใจขนาดนี้”