หลัวจิ่งลังเลไปชั่วขณะ
ขาของเขาโดยรวมคล่องแคล่วขึ้นแล้ว เดินหรือเคลื่อนไหวราบรื่นดี แต่เดินนานหรือตอนวิ่งยังรู้สึกเจ็บอยู่
อาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินมาเกือบสี่เดือน เขาเคยเดินอยู่แค่ละแวกท้ายหมู่บ้านสองสามครั้งเท่านั้น สถานที่ไกลออกไปหน่อยยังไม่เคยไปเลยจริงๆ
ถึงอย่างไรก็เป็เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสามปี เดิมทีก็เป็เด็กชายนิสัยะโโลดเต้นจิตใจร่าเริงสดใสและกระฉับกระเฉงคนหนึ่ง แต่หลังจากประสบกับเื่ราวกระทบจิตใจอย่างแรงติดต่อกันเข้า คนถึงได้เปลี่ยนไปจนไม่พูดไม่จาโดดเดี่ยวและเ็า การร่อนเร่พเนจรมาตลอดทางทำให้ได้ลิ้มรสสถานการณ์ร้อยรูปแบบบนโลกใบนี้ ทั้งเป็ความอบอุ่นและเ็าของผู้คนมาหมดแล้ว แม้ตอนนี้จะสงบจิตใจอยู่บ้านสกุลหูเป็การชั่วคราว แต่หลัวจิ่งที่นิสัยเอาแต่ใจตัวเองและรักอิสระในอดีต กลับไม่มีอยู่แล้ว
“ใช่ๆ ยู่เซิง ขาของเ้าดีขึ้นพอสมควรแล้ว ควรเดินมากๆ ถึงจะถูก เ้าไปเป็เพื่อนเจินจู ข้าจะได้วางใจหน่อย” หลี่ซื่อพยักหน้ายิ้มแล้วกล่าวทันที เด็กผู้นี้พักอยู่บ้านพวกเขานานเพียงนี้ กลับออกจากบ้านไปเดินเล่นน้อยมาก อายุน้อยนิดแต่เงียบสงบและใจเย็นจนเหมือนคนสูงอายุก็ไม่ปาน แบบนี่ไม่ดีเลย ยู่เซิงซึมเศร้าเกินไปแล้ว
“ไปเถอะๆ เ้าอายุเช่นนี้ เป็วัยที่กำลังสนุกสนาน มีอย่างที่ไหนอยู่ในบ้านตลอดทั้งวัน” หูฉางหลินหัวเราะและกล่าวโน้มน้าว
“ใช่แล้วๆ อีกสักพักออกไปเดินเล่นเถอะ” หูฉางกุ้ยพยักหน้าคล้อยตาม เขาก็ชอบเด็กหนุ่มผู้นี้เช่นกัน ในทุกวันพูดจาไม่มาก แต่พอได้ทำงานแล้ว ล้วนทำงานด้วยความจริงจังและขยันขันแข็ง แม้เริ่มแรกไม่เห็นว่าจะทำได้ดี แต่พอคุ้นเคยแล้วกลับยิ่งทำยิ่งคล่อง ขยันและมีความสามารถมากนัก
หลายคนภายในห้องล้วนมองมาที่เขาอย่างกระตือรือร้น หลัวจิ่งอดกระแอมไอหนึ่งเสียงไม่ได้ แล้วพยักหน้าตกลง
แม้มีงานที่ต้องยุ่งกันทุกคน แต่ทั้งหมดต่างก็เร่งการกระทำในมือให้เร็วขึ้น ผ่านไปหนึ่งเค่อ กุนเชียงจึงกรอกเสร็จสิ้น
มีจางซื่อทำงานตามหลังคอยช่วยหลี่ซื่อ พวกเจินจูเลยรีบไปล้างคราบมันสกปรกที่อยู่เต็มมือให้สะอาด เตรียมตัวออกไปข้างนอก
หูฉางหลินขับเคลื่อนเกวียนวัวไปส่งสองคนถึงปากทางเข้าหมู่บ้านต้าวันก่อน กำชับสองคนอยู่สองสามประโยค แล้วถึงเคลื่อนเกวียนจากไปกับหูฉางกุ้ย
เลียบถนนเส้นใหญ่ของหมู่บ้านต้าวันเดินไปทางทิศตะวันตก ูเาที่เห็นอยู่ไกลๆ ในต้นฤดูใบไม้ผลิถูกเมฆหมอกลอยวนเป็เกลียวขึ้นอย่างเบาบาง เนินเขาสีเขียวภายใต้เมฆหมอกค่อยๆ เปลี่ยนจากสีอ่อนเป็เข้ม ทัศนวิสัยที่มองเห็นบ้านเรือนกระจัดกระจายเป็วงกว้าง ลักษณะคล้ายภาพวาดหมึกทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามหนึ่งภาพใหญ่ เจินจูรู้สึกดีไปชั่วขณะ
มนุษย์ควรออกมาข้างนอกเดินขยับขับเคลื่อนกายจึงจะดี
เดินอยู่บนถนนเส้นเล็กในชนบทนี้ แม้จะเดินเงียบๆ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสวยงามของธรรมชาติ และอากาศที่สะอาดสดชื่นยิ่งทำให้จิตใจคนปล่อยวางความวุ่นวายลงได้
บ้านเรือนที่อยู่อาศัยทั้งใกล้และไกลตัดสลับซ้อนกันเป็ชั้นๆ หนาแน่นยิ่งกว่าหมู่บ้านวั้งหลินของพวกเขานัก ทางเข้าตลาดเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไม่ขาดสาย แม้วันนี้ไม่ใช่วันตลาด แต่ก็ไม่ขาดแคลนฝูงชนที่มาจับจ่ายซื้อของ บางครั้งมีเกวียนวัวเกวียนล่อเคลื่อนไปมาเป็ครั้งคราว
ไม่คิดเลยว่าบรรยากาศหมู่บ้านใหญ่จะเป็ลักษณะอีกอย่างหนึ่ง เจินจูเหลือบซ้ายแลขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในหมู่บ้านวั้งหลินมีแต่เกวียนวัว เกวียนล่อกลับไม่มีเลย
เกวียนล่อลากสินค้าอยู่มากมาย แต่ราวกลับรู้สึกว่าไม่เปลืองแรง เคลื่อนไหวคล่องแคล่วบนถนนลูกรังของหมู่บ้าน หากเทียบกับเกวียนวัวแล้วกระฉับกระเฉงกว่ามาก
เจินจูจิตใจคล้อยตาม หรือครอบครัวตัวเองซื้อล่อหนึ่งตัวมาลากเกวียนดี?
นางมองเกวียนล่อที่เดินช้าๆ ค่อยๆ จากไปไกล มองอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อยไปชั่วขณะ
หลัวจิ่งยืนอยู่ข้างกายนางอย่างเงียบสงบ ดูนางใจลอยมองเกวียนล่อ ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงหยุดอยู่เป็เพื่อนอย่างเงียบๆ
“อ่า…” ไม่นาน เจินจูละสายตากลับมา หมุนกายมายิ้มบางๆ ทางหลัวจิ่ง “เกวียนล่อนั้นดูแล้วคล่องแคล่วนัก ลากสินค้าไปส่งน่าจะสะดวกกว่าเกวียนวัว อืม… หากได้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเกวียนในบ้านน่าจะไม่เลว”
“…”
หลัวจิ่งไม่ได้ออกเสียง แม้เขาจะขี่ม้าเป็ แต่ล่อสัตว์เลี้ยงที่เหมือนม้าแต่ไม่ใช่ม้าเช่นนี้ เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ
“หึๆ…” เจินจูหัวเราะเบาๆ ไม่รอให้เขาตอบ จึงหมุนกายเดินไป
ระยะทางห่างกันไม่กี่ก้าว มุมปากหลัวจิ่งอมยิ้ม เดินตามหลังนางด้วยความสงบเงียบไม่เร่งรีบ วันนี้เด็กสาวตัวน้อยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างมาก ใต้ฝีเท้ากระฉับกระเฉงปราดเปรียว จนเกือบจะเดินอย่างะโโลดเต้นแล้ว
เดินผ่านคนครอบครัวหนึ่ง เจินจูหยุดฝีเท้าถามทาง เตาเผาอยู่ใต้เชิงเขา ลัดทางเส้นเล็กครึ่งเค่อก็ถึงแล้ว
ไกลออกไป ใต้เชิงเขาเขียวชอุ่มมีหนึ่งลานบ้านเล็กๆ ด้านข้างเป็เตาดินเผาขนาดใหญ่ครึ่งวงกลม ปล่องไฟ้ามีควันหนาทึบเป็เกลียวคลื่นผุดออกมา คิดว่าเตาเผากำลังทำงานอยู่
เ้าของเตาเผาเป็ผู้ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี อาจเป็เพราะอยู่กับดินโคลนมาตลอดทั้งปี บนใบหน้าสีน้ำตาลเข้มมีฝุ่นละอองเป็จ้ำๆ และเต็มไปด้วยริ้วรอยกระจายไปทั่วทุกที่
หลังเจินจูทักทายไปแล้ว ก็กล่าววัตถุประสงค์ในการมาอย่างชัดเจน
เ้าของเตาเผานามหวงเต๋อฟู่ อาศัยฝีมือที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ อยู่ที่หมู่บ้านต้าวันนับได้ว่ามีฐานะการเงินมั่งคั่ง
หวงเต๋อฟู่ทำการเผาเครื่องกระเบื้องเคลือบตามบิดามาั้แ่เด็ก เครื่องเคลือบที่เคยเผาไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร แต่แบบวาดบนกระดาษที่เขาหยิบขึ้นมาในมือ เมื่อดูแล้วพิเศษเล็กน้อย คิดไม่ออกนิดหน่อย ทำการเผาของเหล่านี้เอาไปใช้ทำอะไร?
เจินจูไม่ได้อธิบายรายละเอียด ถามเพียงรูปแบบที่เขียนไว้บนกระดาษว่าสามารถทำขึ้นและเผาออกมาได้หรือไม่?
หวงเต๋อฟู่เป็คนฉลาด ในเมื่อลูกค้าไม่เต็มใจเอ่ยรายละเอียด ก็ไม่จำเป็ต้องซักไซ้ประโยชน์ใช้สอยอีก เพียงใช้มือกะขนาดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วก็พยักหน้าขานรับว่าทำตามรูปแบบและเผาออกมาได้ แต่ราคานี้ต้องแพงขึ้นสักหน่อย
เจินจูยินดีอยู่ข้างใน แอบส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ ในที่สุดจะมีส้วมใช้แล้ว
ข่มความดีอกดีใจบนใบหน้าไว้ เจินจูถามราคาให้ละเอียด
หวงเต๋อฟู่คำนวณอย่างลับๆ เล็กน้อย แล้วจึงเสนอราคาออกมา ส้วมนั่งยองหนึ่งอันห้าสิบเหวิน อ่างล้างหน้าบ้วนปากหนึ่งอันหกสิบเหวิน อ่างล้างผักใหญ่หน่อย้าเจ็ดสิบเหวิน
โอ๊ะ นี่คิดราคาตามขนาดของเครื่องเคลือบนี่ เจินจูคำนวณ ทั้งหมดรวมกันแล้วต้องจ่ายเงินสองร้อยเก้าสิบเหวิน ก็ไม่ได้แพง
แน่นอน นี่เป็เพียงความเข้าใจของเจินจู หากเป็ตามความคิดเห็นของคนในท้องถิ่น การใช้เงินจำนวนมากเพียงเผาของไม่กี่ชิ้นที่รูปแบบเหมือนกัน นั่นเป็พฤติกรรมฟุ่มเฟือย อ่างไม้หนึ่งอันแค่สิบกว่าเหวิน ถ้วยเคลือบธรรมดาหนึ่งอันไม่เกินห้าเหวินถึงแปดเหวิน ยิ่งถ้วยเคลือบเนื้อหยาบหนึ่งอันแค่สามเหวิน เงินสองร้อยเก้าสิบเหวินล้วนสามารถซื้ออ่างไม้กับถ้วยเคลือบได้มากมายเลย
หวังเต๋อฟู่เห็นเจินจูไม่ได้ตอบรับทันที อดรู้สึกผิดอยู่บ้างไม่ได้ ตนเองเรียกราคาสูงเกินไปแล้วใช่หรือไม่? ไม่ใช่แค่อ่างเครื่องเคลือบใหญ่หน่อยไม่กี่ชิ้นเองหรือ แม้ไม่รู้ว่าช่องโค้งด้านล่างจะใช้ทำอะไร แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาในขั้นตอนการทำเลย
เจินจูมองสายตาของหวงเต๋อฟู่ที่คลุมเครือเล็กน้อยออก จึงยิ้มแล้วต่อรองราคากับเขาขึ้น แม้ตอนนี้นางไม่ได้ขาดแคลนเงินนิดหน่อยนี่ แต่ก็ไม่อยากให้คนเอาเปรียบได้
หลังต่อราคาครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้เงินสองร้อยหกสิบเหวินตกลงซื้อขาย เจินจูชี้แจงเป็พิเศษว่าต้องเผาด้วยอุณหภูมิสูง ต้องแข็งแรงทนทาน เหยียบแล้วไม่พังง่าย
เหยียบพัง…? อ่างนี่ใช้เหยียบหรือ? หวงเต๋อฟู่มองแบบที่วาดสองสามทีด้วยความกลัดกลุ้ม ดูประโยชน์ใช้สอยไม่ออกจริงๆ จึงทำได้เพียงรับปากว่าจะพยายามเผาด้วยอุณหภูมิให้สูงที่สุดอย่างเต็มที่
ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าสะพาย จ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่ง นัดแนะกันเรียบร้อยว่าห้าวันให้หลังจะมารับสินค้า สองคนจึงอำลาหวงเต๋อฟู่
กระเป๋าสะพายใบเล็กทรงสี่เหลี่ยมบนกายของเจินจู เป็นางใช้ผ้าป่านผืนหนาที่เหลือจากทำกระเป๋านักเรียน แน่นอนว่าต้องเป็หลี่ซื่อช่วยเหลือจนสำเร็จเสียส่วนใหญ่ ไม่มีซิปและช่องลับ ทำได้เพียงเปิดรังดุมข้างหน้าบนที่คลุมปิดช่องกระเป๋า และมีกระดุมใหญ่เย็บไว้ให้ตรงกันพอดี มุมด้านข้างปักลวดลายลูกแมวไล่ผีเสื้อ ดูไปแล้วเลียนแบบได้เหมือนมาก แม้ทุกครั้งที่เปิดออกจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่เจินจูก็ค่อนข้างพึงพอใจ
แก้ไขปัญหาที่สำคัญหนึ่งเื่แล้ว เจินจูก็มีความสุขฝีเท้าผ่อนคลาย ในปากฮึมฮัมท่วงทำนองไม่มีชื่อไปเรื่อยเปื่อยเดินบนเส้นทางเล็ก
หลัวจิ่งยังคงเว้นระยะห่างสองสามก้าว ตามอยู่ด้านหลังไม่รีบร้อน เขาก็ประหลาดใจกับประโยชน์ใช้สอยของวัตถุที่วาดอยู่บนกระดาษเช่นกัน ดูแล้วคล้ายอ่าง แต่ด้านล่างเปิดรูเชื่อมต่อท่อโค้งงอ น้ำจะไม่รั่วเอาหรือ? เข้าคิดอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ยู่เซิง หาได้ยากที่จะออกมาสักรอบ พวกเราไปหาอะไรทานในตลาดแล้วค่อยกลับไปกันเถิด” ตอนนี้จวนจะเที่ยงตรงแล้ว เป็เวลาที่ทุกครัวเรือนกำลังก่อไฟทำกับข้าว
“ได้” หลัวจิ่งตอบ
หมู่บ้านต้าวันพึ่งพาอาศัยแม่น้ำต้าวัน จับปลาแม่น้ำแต่ละชนิดมากมายทุกปี เป็อู่ข้าวอู่น้ำที่มีชื่อเสียงแถวนี้ อาหารการกินที่ขึ้นชื่อของหมู่บ้านต้าวันจึงเป็ปลาอย่างเสียไม่ได้ สับเนื้อปลาให้ละเอียด เติมแป้งข้าวโพดกับเกลือนวดไปมาด้วยฝ่ามือให้เป็เส้นหมี่ หลังนึ่งสุกและตากแห้งก็เสร็จแล้ว รสชาติเส้นบะหมี่ปลาหลังปรุงสุกแล้วทั้งอร่อย สดและหอม เรียบลื่นไม่มัน ได้รับความชื่นชอบจากชาวบ้านมากมาย
หลังสั่งบะหมี่เส้นปลาไปสองถ้วย เจินจูก็หาโต๊ะที่ว่างแล้วเรียกให้หลัวจิ่งนั่งลง
หลัวจิ่งลังเลนิดหน่อย แล้วนั่งลงตรงข้ามเจินจู
เพราะใกล้กับตลาดปลา ในอากาศเลยมีกลิ่นคาวปลาลอยมาจางๆ ผสมอยู่ในกลิ่นหอมข้นของบะหมี่เส้นปลาที่กำลังต้ม กลิ่นอายการดำรงชีวิตชนิดหนึ่งก็ลอยปะทะเข้ามาที่ใบหน้า
รอเวลาให้บะหมี่เส้นปลาขึ้นโต๊ะ เจินจูมองสิ่งแวดล้อมซ้ายขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็นหนึ่งรอบ ตลาดของหมู่บ้านต้าวันนับได้ว่ามาเป็ครั้งแรก แน่นอน หมายถึงนางในตอนนี้ เจินจูในอดีตน่าจะเคยมากับครอบครัวอยู่หลายครั้ง
ดวงตาที่ลึกล้ำของหลัวจิ่งเพียงชำเลืองมองตลาดด้วยความเ็าสองสามที แล้วจึงดึงสายตากลับมา เขาเคยเห็นความคึกคักจอแจในเมืองใหญ่ที่รุ่งเรืองจนชินแล้ว ตลาดหมู่บ้านที่ไม่เป็ระเบียบและเรียบง่ายเช่นนี้ไม่มีอะไรน่ามองเลยจริงๆ
บะหมี่เส้นปลาร้อนกรุ่นบนโต๊ะ กลิ่นหอมสดชื่นกระจายไปทั่วทั้งโต๊ะ เจินจูอดขยับนิ้วชี้เคลื่อนไหวตะเกียบไม่ได้ เรียกหลัวจิ่งให้เริ่มทานทันที
บะหมี่เส้นปลาเรียบเนียนละเอียดนุ่ม นิ่มและเหนียวกำลังดี รสชาติไม่เลวจริงๆ
สองคนทานกันอย่างคึกคัก เสียงะโเรียกของหญิงสาวคนหนึ่งแว่วมาจากที่ไกลๆ
“อ้าว นี่ไม่ใช่เจินจูหรือ? ทำไมเ้ามาอยู่ที่นี่ได้?” เสียงแหลมของสตรีในความประหลาดใจมีความเล่นใหญ่อยู่เล็กน้อย
เจินจูคีบบะหมี่ขึ้นมาสูดเข้าปากช้าๆ เคี้ยวและกลืนลงไป จึงหันศีรษะมองไปตามเสียง
ผู้ที่เรียกะโชื่อนางเป็หูอู้จู พอเสียงของนางดังขึ้นในครั้งแรก เจินจูก็ฟังออกแล้วว่าเป็ผู้ใด
เสียงหูอู้จูแหลมเล็กแล้วยังดัดจริตอยู่สองสามส่วน พอได้ยินเสียงของนาง เดิมทีที่กำลังรู้สึกเบิกบานทันใดนั้นก็อารมณ์ตกฮวบทันที
“พี่ใหญ่” มุมปากเจินจูโค้งยิ้มขึ้นน้อยๆ หยัดกายลุกขึ้นะโเรียก แล้วทักทายผู้ชายในชุดเสื้อกันหนาวบุนวมตัวยาวสีฟ้าอมเขียวข้างกายนาง “พี่เขย”
ผู้ชายเสื้อสีฟ้าอมเขียวเป็เซียงกงหวงถิงเฉิงของหูอู้จูนั่นเอง หน้าตาธรรมดารูปร่างระดับกลาง เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเป็คนธรรมดาที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด เพียงดวงตาหนึ่งคู่พอยิ้มขึ้นมาแล้วกลายเป็พระจันทร์เสี้ยว คิดๆ ไปแล้วน่าจะนิสัยอ่อนโยน
“น้องสาม ทำไมมาหมู่บ้านต้าวันแล้วไม่มานั่งในบ้านพี่เขยหน่อยเล่า?” หวงถิงเฉิงเดินมาข้างหน้าสองก้าวยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ชิ เ้าไม่เห็นว่ามีคนอยู่เป็เพื่อนนางหรือ จะจำได้อย่างไรว่านางยังมีพี่ใหญ่อยู่ที่นี่กัน” หูอู้จูเลิกคิ้วหัวเราะไม่พอใจ มองหลัวจิ่งที่งามสง่ายืนเงียบสนิทอยู่ด้านข้าง ในตามีความทึ่งอยู่หลายส่วน ตาหนึ่งคู่กวาดผ่านสองคนไปมา สายตามีเลศนัยแฝงอยู่เล็กน้อย
รอยยิ้มบนใบหน้าเจินจูชะงักลงชั่วคราว ในตาอดมีความเ็าขึ้นไม่ได้
มารดาเถอะ ยังดีที่เป็ลูกพี่ลูกน้องเจ้ ดูสิกล่าวอะไรเข้า ร่างกายเจ้แค่อายุสิบเอ็ดปี เ้าทำสายตามีเลศนัยอะไรกัน