เล่มที่ 2 บทที่ 38
เฉินเทียนหยูแบกมู่หรงฉิงอย่างมีความสุขเพื่อขนมกรอบเทพี ฝั่งมู่หรงฉิงก็ไม่ได้เกรงใจอะไร นอกจากอยู่บนแผ่นหลังของเฉินเทียนหยู เพลิดเพลินกับสิ่งที่คนในฐานะสามีพึงกระทำ
แม้จะดูน่าอายในการจัดแจงเฉินเทียนหยูให้ทำสิ่งต่างๆ โดยใช้อาหารเป็ตัวล่อ แต่มันก็เป็สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ นางหวังเพียงว่าเฉินเทียนหยูจะสามารถเลิกกินผลโยิได้ แม้ว่าเขาจะโง่งมแต่มันย่อมดีกว่าการต้องหวาดผวาต่อความคลุ้มคลั่งของเขา
ความคิดนั้นส่งผลให้มู่หรงฉิงตัดสินใจที่จะลองทำตามเนื้อหาในสมุดบันทึกเล่มนั้น แม้ไม่อาจรับรองได้ว่าจะรักษาได้หรือไม่ แต่ต้องมีความหวัง ถ้ารักษาเฉินเทียนหยูให้หายดีแล้ว นั่นนับว่าเป็ความโชคดีของเขา แต่ถ้ารักษาไม่ได้ ก็คงไม่ถึงกับตายเนื่องจากการรักษาทางการแพทย์กระมัง?
ระหว่างที่ขบคิดบางสิ่งในใจ มู่หรงฉิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ในเวลานี้นางได้ยอมรับเฉินเทียนหยูโดยสมบูรณ์ นางไม่ชอบเข้าใกล้จ้าวจื่อซินแต่การอยู่กับเฉินเทียนหยู ไม่ทำให้นางรู้สึกต่อต้านอีกต่อไป แม้กระทั่งการที่นางถูกเฉินเทียนหยูแบก นางยังรู้สึกว่ามันควรจะเป็เช่นนั้น
มู่หรงฉิงรู้สึกว่ามันควรจะเป็เช่นนั้น แต่ทางด้านจ้าวจื่อซินที่เดินเคียงข้างเฉินเทียนหยูกลับไม่สามารถบอกได้ว่าตนรู้สึกอย่างไร มู่หรงฉิงหลีกเลี่ยงเขามากกว่าเฉินเทียนหยู เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาจะแย่กว่าเฉินเทียนหยู?
เฮอะ! เขาจะด้อยกว่าคนโง่ได้อย่างไร? มู่หรงฉิงคนนี้เย่อหยิ่งและโง่เขลาจริงแท้
จ้าวจื่อซินยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นกับความคิดดังกล่าว ต้องมีแต่เขาเท่านั้นที่รังเกียจคนอื่น ทว่ามู่หรงฉิงกลับเกลียดเขา นางช่างรนหาที่ตายจริงๆ
เฉินเทียนหยูมีท่าทีร่าเริงสดใส มู่หรงฉิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเ้านายของเขามีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เ่าั้คือข้อสรุปที่ชิงยวี่ได้รับจากปฏิกิริยาตอบสนองระหว่างนำรถม้าเข้ามา
ครั้นเห็นรถม้า เฉินเทียนหยูก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่แบกมู่หรงฉิงเข้าไปในรถม้า ฝั่งจ้าวจื่อซินยืนอยู่ด้านหน้ารถม้าครู่หนึ่ง จากนั้นขึ้นรถม้าตามไปด้วย ด้วยความผิดปกติของจ้าวจื่อซิน ชิงยวี่รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่อย่างไรเสียเขากลับไม่กล้าพูดอะไร จึงทำเพียงนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าและขับรถม้ากลับเข้าเมือง
“ฮูหยินน้อยจะไปที่เรือนหยางเซิงหรือจะตรงไปที่เรือนม่อเหอ?”
จ้าวจื่อซินเอ่ยถามถึงสามครั้งแต่มู่หรงฉิงยังคงดูมึนงง ส่งผลให้น้ำเสียงของจ้าวจื่อซินเย็นลงอย่างมิอาจห้ามได้ จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “มู่หรงฉิง เรียกิญญากลับมาได้แล้ว”
“อ๊ะ? อะไรนะ?” จ้าวจื่อซินเพิ่มระดับเสียงขณะที่เขาพูดคำว่า ‘เรียกิญญากลับมาได้แล้ว’ มู่หรงฉิงกำลังคิดว่าจะหาหญ้าชิงโยวมาได้อย่างไร เสียงะโของจ้าวจื่อซินจึงสามารถเรียกิญญาของนางกลับมาได้จริงๆ “เ้าพูดว่าอะไรนะ?”
มู่หรงฉิงเอ่ยถาม ทว่าจ้าวจื่อซินกลับหุบปากเงียบ เฉินเทียนหยูซึ่งนั่งถัดจากมู่หรงฉิงจึงสุดจะทนแล้ว เขาเบะปากพร้อมพูดว่า “แน่นอนว่าจะต้องกลับไปที่เรือนม่อเหอสิ น้องหญิงบอกแล้วว่าจะทำขนมกรอบเทพี”
“อ๊ะ? โอ้” สิ้นสุดคำว่าโอ้ มู่หรงฉิงก็เงียบเสียงลงอีกหน ไม่ใช่ว่านางหยิ่งทะนงอะไร เพียงแต่ตอนนี้นางมีสิ่งที่จะต้องคิดจริงๆ นางกำลังคิดว่าจะดำเนินการขั้นตอนใดต่อไป?
ช่วยพี่ใหญ่? จะต้องหาเหตุผลที่ดีมากพอถึงจะทำได้ ไปหาหญ้าชิงโยว? ได้ยินมาว่านายท่านเฉินส่งคนเฝ้าปกป้องต้นโยิ คิดว่าจะไม่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่านเฉิน นางจะต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสมที่สุดที่จะสามารถไปที่นั่นได้
ถ้าไปหาหญ้าชิงโยวก็ต้องไปยังสถานที่ซึ่งปลูกต้นไม้ต้นนั้น ในสมุดบันทึกก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องใช้หญ้าชิงโยวเฉพาะต้นที่เติบโตด้านข้างต้นโยิเท่านั้น ถ้าใช้หญ้าชิงโยวจากที่อื่น ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล แต่ผลลัพธ์รุนแรงก็อาจถึงตายได้
เพียงแต่จะทำให้นายท่านเฉินเห็นด้วยได้อย่างไร? เนื่องด้วยนางเป็เพียงผู้หญิงในบ้านในเรือน หากนางอ้างว่า้าไปดูผลโยิบนูเา มันก็ช่างดูไร้สาระสิ้นดี แต่ถ้าเฉินเทียนหยูอยากจะไปล่ะ? ถ้าเฉินเทียนหยูเอาแต่ร้องห่มร้องไห้อยากจะไปดูผลไม้นั่น และ้าผลไม้ด้วยตนเองล่ะ?
ทันทีที่ความคิดนั้นปรากฏ ดวงตาของมู่หรงฉิงก็เป็ประกาย ใช่แล้ว! ล่อเฉินเทียนหยูให้ไปหานายท่านเฉินด้วยตนเอง ด้วยความน่ากลัวขณะมีอาการคลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยู คิดว่านายท่านเฉินคงไม่อาจทนต่อความหวาดกลัวนั้นได้ ตราบใดที่เฉินเทียนหยูไปที่นั่น นางก็จะสามารถไปด้วยได้
แผนการข้างต้นทำให้ดวงตาของมู่หรงฉิงเป็ประกายสว่างขึ้นอยู่หลายส่วน เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หลังจากรู้สึกตัวอีกหนก็พบว่า นางกำลังนั่งอยู่ในรถม้าและรถม้าก็ออกเดินทางมาค่อนข้างไกลแล้ว
ดูเหมือนว่า ครู่ก่อนนางมัวแต่คิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป นี่เป็สิ่งต้องห้าม มันคงเทียบไม่ได้กับการอยู่ในห้องของตัวเองที่มีแม่นมสองคนคอยเฝ้าอยู่ วันข้างหน้านางต้องไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้นได้อีก
ระหว่างทางปราศจากคำพูดหรือวาจาใด เมื่อมาถึงด้านนอกจวนเฉิน เฉินเทียนหยูก็อุ้มมู่หรงฉิงและะโข้ามกำแพงเข้าไปในเรือนหยางเซินอีกหน จากนั้นอุ้มมู่หรงฉิงไปที่เรือนม่อเหออย่างเปิดเผย
มู่หรงฉิงปล่อยให้เฉินเทียนหยูอุ้มไว้ ระหว่างทางก็ได้ข้อสรุป ความปลอดภัยของจวนเฉินได้รับการคุ้มครองจากจ้าวจื่อซิน มิฉะนั้นย่อมเป็ไปไม่ได้ที่จะเข้าและออกจากจวนเฉินอย่างง่ายดาย ทั้งที่ใช้วิชาตัวเบาะโเข้ามาในจวนเฉินก็ไม่เห็นว่าจะมีใครออกมาขัดขวาง
จวนเฉินทำกิจการกับราชวงศ์ เป็ตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ภายในจวนย่อมเลี้ยงองครักษ์เฝ้าจวนเป็จำนวนมาก แม้ว่าองครักษ์เ่าั้จะเทียบไม่ได้กับองครักษ์จากราชสำนัก ถึงกระนั้นก็ไม่ควรประมาท จ้าวจื่อซินเดินไปเดินมาในจวนเฉินกลับไม่เห็นว่าจะมีใครพูดอะไรสักคำ นั่นเพียงพอที่จะพิสูจน์สถานะอันสูงส่งของคนคนนี้ในจวนเฉิน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จุดยืนของจ้าวจื่อซินในจวนเฉินนั้นแตกต่างกัน
ก่อนเฉินเทียนหยูจะประสบอุบัติเหตุ เขาเป็คนเก่งกาจและน่าภาคภูมิใจ ประการแรกหน้าตาของเขาหล่อเหลาไม่ธรรมดา นอกจากนั้นเขากล้าหาญและฉลาดหลักแหลม แต่หลังจากเฉินเทียนหยูประสบอุบัติเหตุ เฉินเทียนฉีก็ออกจากเมืองหลวงพร้อมกับจานไฉ่เยว่ ด้วยสาเหตุดังกล่าวจวนเฉินจึงต้องให้นายท่านเฉินจัดการกิจการ และการทำการค้ากับราชวงศ์ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะทำได้ คิดว่าคงเป็เื่ยากที่นายท่านเฉินจะมีเวลาว่างตามที่้า ฉะนั้นจ้าวจื่อซินจึงมีเวลาตั้งหลักในจวนเฉิน
ด้วยสถานการณ์ข้างต้นในบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องผลโยิจะต้องมีคนของจ้าวจื่อซินด้วยอย่างแน่นอน หากนายท่านเฉินไม่เห็นด้วยกับการที่เฉินเทียนหยูจะไปดูผลโยิด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นนางสามารถเริ่มที่จ้าวจื่อซิน เพียงแต่นางจะทำให้จ้าวจื่อซินผู้หลงตัวเองคนนั้นเห็นด้วยได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าจะต้องคิดวิธีการให้ดีๆ เสียแล้ว
หลังจากครุ่นคิดไปมากมาย เฉินเทียนหยูก็อุ้มมู่หรงฉิงกลับไปที่เรือนม่อเหอแล้ว เด็กสาวที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเรือนเห็นทั้งสองคนกลับมา คนหนึ่งจึงรีบเข้าไปในเรือนเพื่อแจ้งบ่าวระดับที่หนึ่งกับแม่นม ส่วนอีกคนหนึ่งเดินตามเพื่อรับใช้
“คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้ว” ยวี้เอ๋อร์วิ่งออกมาเป็คนแรก แต่เมื่อเห็นมู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูอุ้มไว้ ดวงตาของนางเป็ประกายแวบหนึ่ง
จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็วิตกกังวล “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นหรือ? าเ็ตรงไหนหรือ?”
“ข้อเท้าแพลง ไม่มีอะไรร้ายแรง” พยักหน้าพลางตอบยวี้เอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงสงบ นางเลื่อนสายตามองชุ่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูห้อง ก่อนความคิดหนึ่งจะผ่านวาบเข้ามาในหัว
ยวี้เอ๋อร์... ในเมื่อเ้าซื่อสัตย์มาก ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเ้าได้แสดงความซื่อสัตย์
ยวี้เอ๋อร์ได้ยินว่ามู่หรงฉิงข้อเท้าแพลง สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปในทันที กลายเป็ความวิตกกังวลระคนทุกข์ใจอย่างยากสุดจะบรรยายเป็คำพูด แต่มู่หรงฉิงกลับรู้สึกขยะแขยงการแสดงออกของยวี้เอ๋อร์ จนอธิบายออกมาเป็คำพูดไม่ได้
ความจงรักภักดีที่เคยเห็นมาจนคุ้นชินแล้ว เมื่อวันหนึ่งพบว่ามันเป็เพียงหน้ากากอันน่ารังเกียจก็เท่านั้น มันกลับกลายเป็ความขยะแขยงจากก้นบึ้งของหัวใจชนิดที่พูดไม่ออก
“ยวี้เอ๋อร์ เดิมข้าควรจะไปคำนับฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่าั้แ่เช้าตรู่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้” มู่หรงฉิงเบี่ยงหน้ามองเฉินเทียนหยูอย่างจนปัญญา นางส่ายศีรษะเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว นี่ก็เลยเวลาคำนับแล้ว แม้ฮูหยินจะไม่พูดอะไร แต่คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกบ่นว่าในใจ ตอนนี้เท้าของข้าเจ็บอีกแล้ว ข้าไม่สามารถไปสารภาพผิดต่อพวกท่านได้ ยวี้เอ๋อร์รับใช้ข้าเป็เวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นวันนี้ช่วยไปขอโทษฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่าแทนข้าอีกหนได้หรือไม่” มู่หรงฉิงลอบยิ้มเยาะหลังจากเห็นสีหน้าของยวี้เอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สีหน้าเช่นนั้นแล ทุกครั้งที่ยวี้เอ๋อร์เผยสีหน้าเช่นนั้น นางมักจะรู้สึกว่ายวี้เอ๋อร์เป็ผู้ถูกกระทำ หรือไม่ก็รู้สึกเสียใจมาก แต่ยามนี้ที่ได้เห็นสีหน้าแสร้งทำของยวี้เอ๋อร์ นางกลับรู้สึกเฉยเมย นางจะไม่ถูกหน้ากากของยวี้เอ๋อร์หลอกอีกต่อไป
“ชุ่ยเอ๋อร์รับใช้เคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่าเป็เวลานานแล้ว ย่อมรู้ถึงอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่า จะเป็การดีกว่าที่จะให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปพร้อมกับยวี้เอ๋อร์ จะได้แนะนำยวี้เอ๋อร์ด้วยเล็กน้อย และจะได้ไม่มีปัญหากับผู้าุโ” มู่หรงฉิงเดินไปทางประตู ก่อนค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของเฉินเทียนหยู ชายหนุ่มไม่รู้สาเหตุถึงกระนั้นเขาก็หยุดเท้าอย่างให้ความร่วมมือ จากนั้นมู่หรงฉิงจึงพูดกับชุ่ยเอ๋อร์
หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ ชุ่ยเอ๋อร์ก็นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก นางแค่ค้อมศีรษะคำนับ “บ่าวรับทราบแล้ว”
“อืม พวกเ้าไปกันเถอะ เพื่อแสดงความจริงใจ หลังจากสารภาพผิด พวกเ้ากลับมากินข้าวได้” หลังจากหยุดชั่วขณะ มู่หรงฉิงได้หันไปมองยวี้เอ๋อร์ด้วยสีหน้าขอโทษ “ทำให้เ้าลำบากแล้ว ข้าเหนื่อยมากแล้ว หลังจากเ้ากลับมา เ้าไม่ต้องมารับใช้แล้ว เ้าไปพักก่อนเถอะ”
“คุณหนู ข้า...”
“เวลาสายมากแล้ว ถ้ายังไม่ไปอีก เกรงว่าจะต้องพบกับฮูหยินผู้เฒ่าตอนกินข้าวเที่ยง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบให้คนรบกวนเวลาท่านกินข้าวมากที่สุด” ยวี้เอ๋อร์ทำหน้าทำตาคล้ายจะร้องไห้ แต่ชุ่ยเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางทางยวี้เอ๋อร์ ขณะเดียวกันก็สบตาของมู่หรงฉิงครู่หนึ่งก่อนละสายตา “ฮูหยินน้อยรักและเอ็นดูเ้า นั่นนับว่าเป็วาสนาของเ้า หลังจากสารภาพผิด เ้าก็จะได้พักผ่อนทั้งวัน”
ถ้อยคำของชุ่ยเอ๋อร์กระจ่างชัดมาก มู่หรงฉิงรักและเอ็นดูยวี้เอ๋อร์อย่างแท้จริง หลังจากไปสารภาพผิดแทนเ้านายก็สามารถพักผ่อนได้ถึงหนึ่งวัน นางเป็บ่าวระดับหนึ่ง ถ้ายังพะเน้าพะนอตามใจเช่นนั้นอีก จะทำให้คนอื่นอิจฉาเอาได้
ชุ่ยเอ๋อร์ยืนขวางทางอยู่ด้านหน้า แม้ยวี้เอ๋อร์้าเดินเลี่ยงชุ่ยเอ๋อร์เข้าไปพูดคุยกับมู่หรงฉิง แต่ขณะนั้นเฉินเทียนหยูกลับอุ้มมู่หรงฉิงตรงเข้าไปในเรือนอย่างรีบร้อน “น้องหญิงอย่าชักช้านักเลย ไปทำขนมกรอบเทพีให้ข้า”
เห็นมู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูอุ้มเข้าไปในบ้าน ยวี้เอ๋อร์ก็อยากจะตามไปด้วย แต่ถูกชุ่ยเอ๋อร์ขวางทางไว้ ยวี้เอ๋อร์จึงได้แต่กระทืบเท้าด้วยความรำคาญ ก่อนหันหลังและเดินออกไปอย่างขมขื่น
นั่นคือเื่น่ารำคาญในใจของยวี้เอ๋อร์ แม้การไปสารภาพผิดไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เนื่องด้วยมู่หรงฉิงเพิ่งแต่งงานเข้ามาในจวนเฉินใหม่ๆ กอปรกับความจริงที่ว่านางแต่งงานกับคนโง่งมเช่นเฉินเทียนหยู นางถูกเฉินเทียนหยูลากไปลากมาหายตัวตลอดทั้งวัน ต่อให้ฮูหยินเฉินและฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะกล่าวโทษ ถึงกระนั้นก็หาข้ออ้างไม่ได้
ดังนั้นแม้ว่ายวี้เอ๋อร์จะไปสารภาพผิดในนามของมู่หรงฉิง ทว่ามู่หรงฉิงก็ไม่ถูกทำให้ลำบากอะไร มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดเพียงไม่กี่คำ อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อวานนางวางแผนทำร้ายมู่หรงฉิง ตามแผนการ มู่หรงฉิงควรจะถูกกดขี่ทุกที่ในจวนเฉิน จากนั้นเด็กสาวก็จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรับการช่วยเหลือจากแม่รองเฉิน ด้วยวิธีนั้นสำหรับแผนการของอนุหนิงก็สำเร็จไปกว่าครึ่งทางแล้ว
ทว่าคนวางแผนไม่ได้ดีเท่า์กำหนด แผนเดิมนั้นถูกกำหนดมาเสียดิบดี แต่กลับถูกทำลายด้วยคำพูดของคนโง่เช่นเฉินเทียนหยูนั่น ซ้ำร้ายยังทำให้ฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่าป้องกันตัวจากนางด้วย
ถ้ายวี้เอ๋อร์ซื่อสัตย์ต่อเ้านายของนาง ฮูหยินเฉินและฮูหยินผู้เฒ่าก็จะไม่ทำอะไร แต่เพราะนางทรยศต่อเ้านายแล้ว และทั้งเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าก็รับรู้เื่การทรยศของนางแล้วด้วย แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่พูดอะไร ส่วนคนเบื้องล่างก็ไม่กล้าพูดมาก ถึงกระนั้นพวกนางก็ลืมเื่ที่เกิดเมื่อวานไม่ได้ ด้วยสาเหตุดังกล่าว ถ้านางไปที่นั่นอีก จะไม่เป็การรนหาเื่เดือดร้อนมาสู่ตนหรือ
แม้ในใจจะรำคาญ ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าที่จะกำเริบเสิบสาน ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของผู้อื่น มู่หรงฉิงดีต่อนางจริงๆ หากนางยังคงกำแหงขัดคำสั่งอีก เกรงว่านางจะเคลื่อนไหวในจวนเฉินลำบากมากขึ้น