เซียวซู่ซู่สวมใส่ชุดกระโปรงทำจากผ้าโปร่งสีม่วงนางค่อยๆ ก้าวเข้ามา พร้อมด้วยเซียวเอินที่อุ้มชิงเจี่ยวเดินตามมาอยู่ด้านหลังสีหน้าของคนทั้งสองราบเรียบและนิ่งเฉย
แท่นวางพิณของคนทั้งสองหันประจันหน้ากัน
และเซียวซู่ซู่ก็ค่อยๆ ก้าวเท้าไปทางฝั่งตรงข้ามเฝินเหวินก่อนจะกวาดตามองผู้คนโดยรอบแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก
เพียงแต่ว่ามีเวลาเพียงชั่วขณะหนึ่งนั้นที่ร่างกายของเซียวซู่ซู่ก็เกร็งขึ้นเล็กน้อยกระทั่งฝีเท้าของนางก็หยุดค้างอยู่ตรงนั้นเช่นกันสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เด่นชัดนัก
ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะมีสหายเก่าของนางไม่น้อยเลย
คนที่นั่งอยู่ด้านหลังของเฝินเหวินนั้นกลับเป็ฮวาฉือผู้ที่เคยถูกนางใช้เข็มเดียวสกัดการโจมตีเอาไว้
ฮวาฉือในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับวันนั้น เขายังคงมีบุคลิกเหมือนบัณฑิตเช่นเคยฮวาฉือสวมชุดตัวยาวสีฟ้าอ่อน ขณะที่มือกำลังสะบัดพัดที่กางออกเบาๆ เป็่ๆผู้ที่อยู่ข้างกายเขาคือนายบ้านสองและนายบ้านสามที่เหลยอวี๊เฟิงและคนอื่นๆได้ต่อสู้ด้วยในวันนั้น
การปรากฏตัวของเซียวซู่ซู่ ทำให้ภายในสวนที่แต่เดิมเงียบสงบก็มีรู้สึกครึกครื้นและร้อนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
คนพวกนี้ล้วนเป็สักขีพยานที่เหลยอวี๊เฟิงเชิญมาบ้างก็เป็คนในยุทธภพ บ้างก็เป็คนจากราชสำนัก และยังมีพวกโจรูเาอีกด้วย
พวกเขาล้วนเห็นหญิงงามมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงไปกับความงามและบารมีที่สง่างามและสูงส่งเหนือสรรพสิ่ง
แม้แต่ฮวาฉือยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง
มีเพียงเฝินเหวินที่ยังคงนั่งนิ่งๆอยู่ตรงนั้น เขาทำเพียงแค่กวาดตามองเรียบๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง
เขามิได้ถูกความงดงามของเซียวซู่ซู่ทำให้อารมณ์หวั่นไหวหรือปั่นป่วนแม้แต่น้อย
เขามาที่นี่เพื่อประลองฝีมือการดีดพิณ จะไม่มีขบคิดถึงเื่อื่น
“พี่ใหญ่ ข้าเจอเซียนหญิงแล้ว” พ่อบ้านสองที่ยืนอยู่ด้านข้างฮวาฉือหรี่ตาของตนลงขณะเอ่ยออกมาเสียงเบา “สตรีผู้นี้งดงามมากกว่าหญิงงามอันดับหนึ่ง ซูเมิ่งหรูของต้าเยียนหลายเท่าเลย”
มุมปากดูเหมือนจะมีน้ำลายไหลออกมาด้วย
พ่อบ้านสามก็หันไปถลึงตาใส่พ่อบ้านสอง “ดูเ้าสิ ไม่ได้เื่จริงๆ แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นต่อให้รูปโฉมงดงามแล้วจะอย่างไรเ้าต้องรู้ว่านางคือคนที่เ้าสำนักเหลยเชิญมาให้ต่อกรกับคุณชายเฝินนางเป็ศัตรูของพวกเรา”
ความจริงแล้วพ่อบ้านสามก็ได้ถูกความงามของเซียวซู่ซู่สะกดไว้เช่นกัน
แต่เพราะว่าตอนนั้นเื่ที่ซูฉีฉีได้ใช้เข็มเพียงเล่มเดียวสกัดฮวาฉือเอาไว้ทำให้เขามีความระแวงต่อสตรี เขาจึงรู้สึกว่าสตรีทั่วแผ่นดินล้วนไม่อาจเชื่อถือได้
นางพูดเองแท้ๆ ว่าจะฆ่าตัวตายแต่กลับทำให้พี่ใหญ่ของพวกเขาเกือบเสียชีวิตลง
เดิมเขาก็มีนิสัยเถรตรงอยู่แล้ว ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจในตัวนาง
และความไม่พอใจนี้ก็ส่งต่อไปยังสตรีทั่วแผ่นดิน
เมื่อได้ยินที่พ่อบ้านสามกล่าวออกมาพ่อบ้านสองก็พยักหน้าอย่างแรง “ก็จริง”
จากนั้นก็เสมองไปทางอื่นโดยตั้งใจที่จะไม่มองไปทางเซียวซู่ซู่
ฮวาฉือก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยใจ สำหรับเื่ซูฉีฉีเขากลับไม่ได้รู้สึกโกรธแค้น ในทางกลับกัน เขาก็รู้สึกนับถือนางเป็อย่างมากต้องเป็สตรีเช่นใดกันถึงจะยังคงมีสีหน้าราบเรียบ กระทั่งเรียกได้ว่ามีสีหน้าเฉยเมยในเหตุการณ์เช่นนั้นได้
อีกทั้งยังสามารถใช้เพียงเข็มเดียวบีบให้ตนต้องถอยทัพไปอย่างไม่มีทางเลือกได้
นอกจากความนับถือแล้วที่มีมากกว่าคือความชื่นชม
โดยเฉพาะประโยคนั้นที่ซูฉีฉีเอ่ยขึ้นทำให้เขาจำไว้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
และสำหรับเซียวซู่ซู่ที่อยู่เบื้องหน้าของตนเขาเพียงแต่ชื่นชมในความงามของนางแต่ว่าความงามเช่นนี้ก็ยังคงไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวได้ เพราะว่าเมื่อหลายเดือนก่อนในใจของเขาก็ถูกจองโดยสตรีอีกนางหนึ่งแล้ว
ต่อให้สตรีผู้นั้นจะสิ้นลมหายใจจนซากศพกลายเป็เถ้าธุลีแล้วก็ตาม
เหลยอวี๊เฟิงนั้นมองเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะการปรากฏตัวของเซียวซู่ซู่ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เขาตั้งใจให้คนช่วยแต่งตัวให้เซียวซู่ซู่เป็อย่างดี เพื่อให้ความงามของนางปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดมากขึ้น
เพื่อที่จะให้เฝินเหวินเสียสมาธิ
เพราะเขาก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเซียวซู่ซู่จะสามารถเอาชนะเฝินเหวินได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าเขาจำเป็ต้องเอาเจียวเหว่ยที่อยู่ในมือของฮวาฉือมาให้ได้
“ทุกท่านคนผู้นี้คือคุณหนูเล็กสกุลเซียวที่ข้าได้เชิญมาให้ประลองฝีมือกับคุณชายเฝิน” จนกระทั่งเซียวซู่ซู่นั่งลงอยู่ด้านหน้าของแท่นวางพิณแล้วเหลยอวี๊เฟิงถึงจะลุกขึ้นและแหงนหน้าพลางะโออกมาเสียงดัง
สำหรับสกุลเซียวนั้นคนของต้าเยียนไม่ค่อยรู้จักพวกเขาเท่าใดนัก
เพราะฉะนั้นหลังจากที่เหลยอวี๊เฟิงเอ่ยเสร็จ ด้านล่างก็เกิดเสียงซุบซิบขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนเริ่มทำการคาดเดาเกี่ยวกับฐานะของเซียวซู่ซู่
ทางเฝินเหวินเองก็ขมวดคิ้วของตนน้อยๆก่อนจะกวาดตามองเซียวซู่ซู่แวบหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจแม้ว่าโฉมหน้าที่งดงามเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนแต่ว่าท่วงท่าและบารมีเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยพบที่ไหนมาก่อน
ทำให้อดไม่ได้ที่จะมองนางอีกครั้งหนึ่ง
เขารู้สึกว่าท่าทางของนางช่างดูคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
และเซียวซู่ซู่เองก็เลิกตาขึ้นมองไปทางเขาริมฝีปากบางกระดกขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆ
ยิ้มนั้น เป็รอยยิ้มที่เป็มิตร
จากนั้น สีหน้าของเฝินเหวินก็นิ่งค้างไปก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง ไม่มองไปที่นางอีก
“คนผู้นี้ก็คือหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเฝินเหวิน” เหลยอวี๊เฟิงได้ทำการแนะนำเฝินเหวินให้กับทุกคนอีกครั้ง
เชาไม่ได้พูดว่าเฝินเหวินนั้นเป็าาแห่งพิณแต่กลับแนะนำเขาจากอีกสถานะหนึ่งซึ่งก็คือหมอเทวดา
นี่ก็ทำให้คนที่อยู่ด้านข้างของฮวาฉือรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมากแต่ว่า นี่ก็เป็ความจริงเช่นกัน เฝินเหวินนั้นเป็หมอเทวดาจริงๆ
ใครบ้างไม่รู้ความจริงเื่นี้กัน
“เอาล่ะ สำหรับกฎของการแข่งขันในวันนี้...”
เมื่อบรรยากาศโดยรอบก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งเหลยอวี๊เฟิงจึงเอ่ยเข้าเื่สำคัญ วันนี้เหลยอวี๊เฟิงมีท่าทางสง่างามและในขณะเดียวกันก็มีความกระฉับกระเฉงของชายหนุ่ม เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวชายเสื้อโบกสะบัดไปมาตามสายลม ประกอบกับใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดและรอยยิ้มที่เบิกบานทำให้เขาดูเหมือนเซียนที่มาจุติบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
แน่นอนว่า ที่สำนักเหลยเขามักจะเป็เช่นนี้เสมอ
“กฎของการแข่งขันควรให้ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้เป็คนกำหนด” ไม่รอให้เหลยอวี๊เฟิงพูดจบ ฮวาฉือกลับลุกขึ้นเขาหุบพัดในมือของตนอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ
สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
ก่อนจะกวาดตาไปมองเซียวซู่ซู่แวบหนึ่ง
เขารู้ว่าซูฉีฉีที่อยู่ในจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวเคยเอาชนะเฝินเหวินมาก่อน
ทว่าเขาไม่เชื่อ ว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้ยังจะสามารถเอาชนะเฝินเหวินได้
อีกทั้งการที่เขา้าให้ผู้ที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดเป็คนกำหนดกฎการแข่งขันก็เพื่อที่จะสร้างความลำบากให้กับเซียวซู่ซู่
“เื่นี้...” เหลยอวี๊เฟิงกลับมีท่าทีลังเลอยู่บ้างขณะเลิกตาขึ้นมองไปทางเซียวซู่ซู่
เขาเชื่อในฝีมือการดีดพิณของเซียวซู่ซู่แต่ว่ากฏของการแข่งขันมากำหนดในตอนนี้ ถือว่ามีความยากลำบากอยู่มากนัก
เพราะถึงอย่างไรฝีมือการดีดพิณของเฝินเหวินก็โด่งดังเป็ที่เลื่องลืออยู่ก่อนแล้วอีกทั้งเขายังมีชื่อเสียงมาเป็เวลานานจึงทำให้ไม่ว่าการแข่งขันจะยากสักเพียงใดก็คงจะไม่ยากสำหรับเขา
แต่ว่าเซียวซู่ซู่ถึงอย่างไรเสียอายุของนางก็ยังน้อย
เกรงว่านางจะไม่อาจปรับตัวและรับมือได้ทัน
เพราะฉะนั้นเวลานี้ เขาจึงลังเลไม่อาจตัดสินใจได้และยิ่งมีความรู้สึกกังวลมากขึ้นด้วย
แต่ว่าเซียวซู่ซู่กลับไม่ได้สนใจเท่าใดนักแม้ว่านางจะไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์ใหญ่ๆ อะไรมามากนักแต่นางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะแข่งขันเช่นไรนางก็เชื่อมั่นในฝีมือการดีดพิณของตน
“ไม่เป็ไร”เมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงมองมาทางตนเซียวซู่ซู่ก็เอ่ยเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง นางมีสีหน้ามั่นใจและราบเรียบประหนึ่งว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน
แต่กลับทำให้นางดูสง่างามและสูงส่ง
และความสูงส่งเช่นนี้เหมือนกับว่านางมีมาั้แ่เกิดก็มิปาน
บารมีเช่นนี้กลับกดฝ่ายตรงข้ามลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เซียวซู่ซู่ยืนอยู่ด้านหน้าแท่นวางพิณชุดผ้าโปร่งสีม่วงของนางพลิ้วไหวไปตามสายลม เหมือนกับว่านางกำลังยืนอยู่ในหมอกจางๆก็ไม่ปาน คางของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงดุจน้ำตกที่กำลังรินไหลลงมาจากูเาสูง
น้ำเสียงท่าทางและบุคลิกเช่นนั้นทำให้ฮวาฉืออดไม่ได้ที่จะหันไปมองนางอีกครั้ง
ความรู้สกคุ้นเคยแผ่กระจายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจทำให้เขานึกถึงซูฉีฉีที่เขาเคยพบแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายเดือนก่อน
นอกจากใบหน้าแล้วทุกอย่างช่างเหมือนกันเหลือเกิน
และแน่นอนว่าเซียวซู่ซู่ในตอนนี้มีความสง่างามที่ดูเด่นชัดมากกว่าซูฉีฉีในตอนนั้น ตอนนั้นซูฉีฉีเองก็ดูสง่างามแต่ว่าในความสง่างามนั้นกลับแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่จางๆ
และนั่นเป็ความน้อยเนื้อต่ำใจที่แผ่กระจายออกมาจากด้านในของนางที่แม้แต่นางเองก็ไม่อาจปกปิดมันได้
เพียงเพราะรูปโฉมของนางไม่โดดเด่นเพียงเพราะว่านางไม่เป็ที่รักใคร่ั้แ่เล็กเพียงเพราะว่านางถูกมองว่าเป็เหยื่อสังเวย...
เฝินเหวินเองก็เลิกตาขึ้นมองเซียวซู่ซู่ด้วยแววตาราบเรียบอีกครั้งก่อนจะถูกความเชื่อมั่นในตนเองของนางกระแทกเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาอย่างแรง
เขากระตุกมุมปากขึ้นและพยักหน้าน้อยๆคู่แข่งเช่นนี้ เขารู้สึกชื่นชอบเป็อย่างมาก
“ได้”เมื่อเซียวซู่ซู่เอ่ยเช่นนี้เหลยอวี๊เฟิงเองก็พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้ทุกคนลองปรึกษากันดูว่า้าจะแข่งขันอย่างไร”
เขาเองก็บอกให้ตนเองเชื่อในเซียวซู่ซู่เพียงเพราะว่านางมีสีหน้าราบเรียบปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“อืม เช่นนี้ ไม่สู้ให้พวกเขาแข่งขันด้วยเพลง ‘พื้นเมือง’ ที่เลืองชื่อของต้าเยียน”
เสียงหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มคน
เมื่อประโยคนี้เอ่ยขึ้นก็ดึงดูดสายตาของทุกคนในทันที
‘พื้นเมือง’เป็เพลงที่ยากที่สุดของต้าเยียนเพราะไม่เพียงแต่มันจะมีความยาวมาก อีกทั้งอารมณ์ในเพลงยังมีหลายรูปแบบการบรรเลงต้องแสดงถึงความรู้สึกของทั้งสี่ฤดูออกมาได้โดยเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิไปฤดูร้อน และจากฤดูร้อนไปฤดูใบไม้ร่วงจากฤดูใบไม้ร่วงไปฤดูหนาว สุดท้ายจากฤดูหนาวก็กลับมาฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง โดยจำเป็ต้องบรรเลงออกมาให้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นของดอกไม้ที่ผลิบานใน่ฤดูใบไม้ผลิและยังต้องบรรเลงอารมณ์ที่สื่อถึงความเหน็บหนาวและเยือกเย็นของ่ฤดูหนาวได้อีกด้วย...