หลังจากที่ผู้ช่วยเฉียนออกจากเหอซีไปเมื่อปีที่แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก ไม่รู้ว่าระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นหรือไม่ แต่มีคนที่เดินทางมาจากก่านโจว หนึ่งในนั้นมีคนใช้ของสกุลเฉียนแต่เดิมอยู่ด้วย ช่วยเก็บของในบ้านเฉียน หลังจากเก็บของไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก
ตอนนี้เหอซีมีผู้ช่วยคนใหม่ ได้ยินมาว่าเว่ยซื่อจื่อเป็ผู้ช่วยหามา บ้านเก่าเป็คนทางเจียงหนาน เป็จวี่เหรินที่ทำงานอยู่ในที่ทุรกันดาร ไม่ยอมสอบต่อแล้วจึงพาครอบครัวมาที่นี่ ตอนนี้ก็ถูกจัดอยู่ในบ้านข้างๆ กับใต้เท้าหลี่ ตอนที่ใต้เท้าหลี่เชิญมารับประทานอาหาร ครอบครัวพวกเขาจึงมาเป็แขก บ้านเกิดของทั้งสองครอบครัวก็ไม่ไกลกันมาก
ผู้ช่วยคนนี้แซ่จ้าวอายุสี่สิบกว่าปี ฮูหยินจ้าวเป็คนที่ใจดีมาก ในบ้านมีลูกชายสามคน ลูกชายคนโตหลังจากแต่งงานก็อยู่ที่บ้านเกิด ลูกชายยังเด็กสองคน คนหนึ่งสิบห้า อีกคนหนึ่งสิบสาม เด็กอายุสิบห้าปีหลังจากที่มาถึงเหอซีก็ไปที่ด่านเยี่ยนเหมิน ั้แ่เด็กเขาก็อยากจะเป็คนปกป้องแคว้น แบบอย่างที่นับถือคือจิ้งเป่ยโหวเย่ หรือก็คือบิดาของเว่ยหลาง
ผู้ช่วยจ้าวกับฮูหยินของตนเองมาพร้อมกับลูกชายอายุสิบสามปี คุณชายจ้าวคนเล็กบนใบหน้าเล็กๆ มีความเขินอาย ได้ยินว่าสวี่ตี้อายุมากกว่าตนเองหนึ่งปีก็ได้ตำแหน่งเป็จวี่เหรินแล้ว เขามองสวี่ตี้ด้วยใบหน้านับถือ มองจนคนถูกมองหน้าแดง พลางครุ่นคิดว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์อะไรกันนี่
หลังจากทานข้าวในครั้งนี้ ชีวิตของครอบครัวสกุลสวี่ก็ค่อยๆ สงบลง ตอนเช้าสวี่เหราทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปที่สำนักงาน สวี่ตี้ก็ยุ่งเื่เรือนเพาะชำในสวน จางจ้าวฉือก็ยังคงไปฝึกอบรมแพทย์สนามในกองทัพ สวี่จือก็เรียนรู้ดูแลบ้านเรือน ทำอาหาร ปักผ้า ทำเสื้อผ้ากับแม่นมลู่ แล้วก็ช่วยมารดาเลี้ยงน้อง โชคดีที่น้องชายเป็เด็กเชื่อฟัง ขอแค่พาเขาออกไปที่ถนน จากนั้นก็ทำของอร่อยให้เขา แค่นี้เขาก็จะไม่ดื้อนางก็สามารถทำงานตามหน้าที่ของตนเองทั้งวันได้แล้ว
ตอนนี้สวี่จือเรียนการทำอาหารกับป้าเหอ แม่นมลู่เองก็สอนทำเมนูลับเฉพาะครอบครัวตนเองให้กับนาง ตอนนี้สิ่งที่นางชอบทำก็คือไปที่ร้านหนานเป่ยในตลาด ที่นั่นมีของแห้ง ผลไม้แห้งที่ถูกส่งมาจากด้านนอกจำหน่าย
ร้านอาหารแห้งที่ใหญ่ที่สุดในเหอซี สร้างอยู่ในถนนเส้นการค้าที่หรูหราที่สุดในเมืองใหม่ ตำแหน่งดีที่สุด หน้าร้านใหญ่ที่สุด ประตูหน้าร้านใหญ่ที่สุดของทั้งเมืองนี้
สวี่จืออายุเก้าปีแล้ว เป็คนตัวสูง นางได้รับข้อดีจากสวี่เหรากับจางจ้าวฉือไป ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่ว่าก็สามารถมองออกว่าโตไปหน้าตาจะต้องงดงาม
หลายปีมานี้สวี่จือถูกแม่นมลู่ใช้อาหารมากมายหลายแบบมาให้กิน ตัวจึงสูงขึ้นคืบใหญ่ นางรู้สึกว่าคงจะเป็เพราะกินดี ชาติก่อนสวี่จือไม่ได้ตัวสูงขนาดนี้ อายุสิบห้าปีแล้วก็ยังไม่มีประจำเดือน ตัวก็เตี้ย จนกระทั่งแต่งงานออกไป ของกินดีกว่าตอนอยู่ในจวน บวกกับตอนนั้นก็ไม่ต้องคอยกังวลเื่ต่างๆ ตัวจึงสูงขึ้นมาก แต่ว่าสวี่จือก็รู้สึกว่าตัวเองตอนนี้สูงเท่ากับอายุใน่นั้น ต่อไปคงจะสูงกว่านี้ อย่างไรบิดามารดาของตนก็สูงมากทั้งคู่ ไม่มีเหตุผลที่นางเป็ลูกจะตัวเตี้ย
หลังจากเข้าฤดูหนาว การซื้อขายของร้านอาหารแห้งก็ดีขึ้นมาก ที่นี่ขายของแห้งจากหนานเป่ย แล้วก็ผักแห้งชนิดต่างๆ ตลอดจนถึงอาหารแห้งจากทะเลก็มี แต่ว่าเพราะระยะทางขนส่งที่ไกล ราคาจึงสูงมาก
ฤดูหนาวนอกจากผักกาดขาวกับหัวไชเท้า บางคนมีเงินเหลืออยู่ในมือ ก็จะมาซื้อกุ้งกับสาหร่ายที่ค่อนข้างจะหายากในร้านของแห้งกลับไปตุ๋นกับหัวไชเท้าหรือผักกาดขาว ใส่กระดูกหมูเข้าไปหน่อย ไม่เกี่ยงว่าจะเป็กระดูกแกะ กระดูกวัวหรือกระดูกหมูก็ได้ทั้งหมด ได้กินร้อนๆ สักถ้วยในวันอากาศหนาว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต่างชอบกันทั้งนั้น
วันนี้อาศัยใน่อากาศดี สวี่จืออยากจะไปดูด้านในร้านอาหารแห้ง นางอยากจะตุ๋นน้ำแกงกระดูกหมูให้ทุกคนในเรือน อยากจะเติมกุ้งแห้งเข้าไปสักหน่อย แล้วก็ใส่สาหร่าย หลังจากบอกกับสวี่ไป่แล้ว เด็กชายก็รู้สึกว่าเช่นนั้นก็เติมเต้าหู้เข้าไปเพิ่มอีกสักหน่อย หั่นเป็แผ่นแล้วนำไปทอดทำเป็เต้าหู้ทอด ใส่เข้าไปในน้ำแกงนั้นรสชาติจะยิ่งดีกว่าเดิม ตอนกินก็ใส่พริกไทยลงไปในถ้วย หั่นต้นหอม ผักชีสักหน่อย แล้วเทซีอิ๊วลงไปสักนิด สุดท้ายก็ใส่น้ำมันงาไปสองหยด ยิ่งสวี่ไป่คิดก็ยิ่งรู้สึกใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เร่งให้สวี่จือรีบไปซื้อของที่ร้านของแห้ง
ในบ้านเดิมทียังมีของทะเลอยู่นิดหน่อย แต่เพราะว่าในบ้านมีสวี่ไป่ที่กินเก่งเพิ่มเข้ามา วันๆ ไม่อยากกินอันนั้นก็อยากกินอันนี้ ทั้งยังพูดว่าตัวเองยังเด็ก อยากจะตัวโตตัวใหญ่ จะต้องกินของที่มีสารอาหารเยอะๆ จางจ้าวฉือเองก็สนับสนุนให้ลูกๆ ในครอบครัวกินอาหารจากทะเลมากหน่อย กินบ่อยๆ เข้า ของที่ตุนเอาไว้ในบ้านก็ไม่มีแล้ว
สวี่จือสวมชุดหนาๆ ให้ตนเอง ก่อนจะแต่งตัวให้สวี่ไป่เป็ลูกผิงกั่วกลมๆ โผล่มาแค่ลูกตาสองข้าง ก่อนที่พี่น้องจะจูงมือกันเดินไป แม้แต่รถม้าก็ไม่นั่ง ด้านหลังมีชิงเหมี่ยวกับองครักษ์อีกคนหนึ่งเดินตามมุ่งหน้าไปบนถนน
จวนแม่ทัพอยู่ที่หัวถนนการค้าทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วนร้านอาหารแห้งอยู่ตรงกลางของถนนเส้นนี้ ความจริงแล้วเมืองเหอซีใหม่ก็ไม่ได้ใหญ่มาก ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกห่างกันห้าร้อยเมตร เหนือใต้ก็ห่างกันมากหน่อย ทิศตะวันออกกับตกและทิศเหนือกับใต้ต่างมีถนนการค้าเป็ของตัวเอง แต่ว่าถนนของทางทิศตะวันออกนั้นตรงยาวไปถึงประตูเมืองทิศตะวันออก เป็เส้นทางหลักของเหอซีจึงมีขนาดใหญ่มาก สามารถให้รถม้าขับได้เรียงกันสี่คัน ร้านค้าทั้งสองด้านปกติแล้วเป็ร้านค้าหนานเป่ย เพราะว่าเหอซีอยู่ใกล้กับชายแดน พ่อค้ามากมายจึงมีร้านค้าอยู่ที่เหอซี เพื่อสามารถเอาสินค้าหนังกับผลิตภัณฑ์ขนแกะไหมพรมกลับไปขายเขตด้านใน แต่ตอนนี้ที่ผลิตวัตถุดิบขนแกะใหญ่ที่สุดก็อยู่ในมือของเว่ยหลางกับสวี่เหรา
ถนนทิศเหนือใต้จะสั้นหน่อย บวกกับสองข้างทางเป็เขตที่อยู่ใหม่ ถนนจึงมีขนาดสองรถม้าเท่านั้น ร้านค้าทั้งสองข้างก็จะเป็ร้านของกินเล่น ถนนเส้นนี้เป็เส้นที่สวี่ไป่ชอบมากที่สุด ของกินอร่อยๆ เยอะมากจริงๆ
สวี่จือจูงมือสวี่ไป่ เดินไปถึงร้านขายของแห้งหนานเป่ยร้านนั้น คนงานเห็นสวี่จือก็รีบเข้ามาทักทาย “ไอ๊หยา คุณหนูสวี่มาแล้วหรือขอรับ เชิญเข้าไปข้างในเถิดขอรับ”
สวี่จือยิ้มก่อนจะตอบ “พี่หลี่ ข้าอยากจะซื้อกุ้งแห้งกับสาหร่าย แล้วก็กุ้งสดกับเหยาจู้ [1] เอาเพียงเล็กน้อยเ้าค่ะ”
เพราะว่ามาบ่อยๆ สวี่จือจึงรู้จักแซ่ของพนักงานหลายคนในร้านแล้ว ไม่เพียงแต่จะมาที่ร้าน เจอบนถนนก็จะทักทายอีกฝ่ายมิได้ถือตัว
นี่คือพฤติกรรมของสวี่เหรากับจางจ้าวฉือที่ส่งผลไปยังสวี่จือ ไม่ว่าจะเป็สวี่เหราหรือว่าจางจ้าวฉือ ตอนที่อยู่ในจวนก็ระมัดระวังระดับของคนในจวนมาก แต่พออยู่ด้านนอก อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่พึ่งเงินเดือนในจวนของตัวเองมาใช้ชีวิต เหตุใดจะต้องถือตัวทำตัวสูงส่งด้วย อีกอย่างสวี่เหราเองก็ไม่ใช่คนที่ถือตัว หลายปีที่อยู่เหอซี ทุกคนต่างรู้ ผู้นำสวี่ของเหอซีเป็คนที่จิตใจดี ไม่มีการถือตัวอะไร
สวี่จือจูงมือสวี่ไป่ตามพนักงานเข้าไปด้านใน ด้านในมีห้องรับแขกแบบง่ายๆ ปกติหากมีลูกค้าระดับสูงมาปกติแล้วก็จะมาต้อนรับที่นี่
สวี่จือเพิ่งจะเข้าไปก็เห็นผ้าม่านที่กั้นระหว่างเรือนเก็บสินค้าด้านในถูกคนแหวกออกมา ร่างหนึ่งเดินเข้ามาแล้วก็พูดกับคนที่อยู่ด้านในอย่างหงุดหงิด “ข้าไม่สนใจว่าพวกเ้าจะคิดอย่างไร อย่างไรข้าอยู่ที่นี่มาพอแล้ว ข้าอยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้ว อีกเดี๋ยวหิมะก็จะตกลงมาแล้ว หากยังไม่กลับไปข้าจะต้องอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่หรือ?”
รอจนกระทั่งคนเข้ามาแล้ว สวี่จือถึงได้เห็นชัดเจน คนที่เข้ามาคลุมด้วยผ้าคลุมกันลมสีดำ ใส่หมวกทรงกลมบนหัว ที่เท้าใส่รองเท้าหนังกวาง ด้านในสวมชุดกี่เพ้าชายสีเทาอ่อน ส่วนสูงก็สูงกว่านางหนึ่ง่หัว คาดว่าคงรู้สึกว่าในห้องมีคน จึงหันหน้ามามองที่สวี่จือ หลังจากสวี่จือเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองเหมือนจะถูกคนใช้ค้อนทุบแรงๆ จึงนั่งนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นทันที ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
คนที่มาถึงเห็นสายตาของสวี่จือก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะพูดกับพนักงานข้างตัวสวี่จือ “เ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดถึงพาคนเข้ามาข้างใน?”
พนักงานรีบเข้ามาทำความเคารพ “นายน้อยขอรับ นี่คือบุตรีของใต้เท้าสวี่ เป็ลูกค้าประจำของร้านเรา ทุกครั้งที่มาจะซื้อของจำนวนมาก บางอย่างจะต้องเอามาจากคลังด้านหลัง ดังนั้นจึงให้มานั่งพักผ่อนด้านในขอรับ”
เด็กหนุ่มที่ถูกพนักงานเรียกว่านายน้อยพยักหน้า ก่อนจะแหวกผ้าม่านออกจากห้องไป สวี่จือถึงได้สติกลับมา ดวงตายังคงมองผ้าม่านที่สั่นไหวน้อยๆ แน่นิ่ง
สวี่ไป่เห็นท่าทางของสวี่จือก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาไม่อยากเห็นท่าทางเช่นนี้จากพี่สาวของตนเอง สวี่ไป่ชอบพี่สาวคนนี้มาก ั้แ่เด็กก็เป็ลูกคนเดียว ต่อมาก็ยิ่งเป็สวี่ไป่ที่โดดเดี่ยว จึงชอบพี่ชายพี่สาวในครอบครัวตอนนี้มาก แต่ว่าที่ชอบที่สุดก็คือพี่สาวที่คอยดูแลตัวเองตลอดคนนี้ เห็นพี่สาวแสดงท่าทางตื่นเต้น เ็ป จนถึงขั้นไม่รู้จะทำอย่างไรกับบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่ง สวี่ไป่ก็รู้สึกว่าความรู้สึกดีใจที่จะได้กินของอร่อยของตนเองก็ลดลง
พนักงานรีบนำชามาให้สวี่จือกับสวี่ไป่ ทั้งยังเอาจานผลไม้แห้งหลายอย่างมาให้ สวี่ไป่ถาม “พี่พนักงานขอยับ คงนั้นคือใครหรือขอยับ?” ตอนนี้สวี่ไป่อยากจะรู้ให้ชัดเจนที่สุดว่าเด็กผู้ชายที่ทำให้พี่สาวของตนทำท่าทางแปลกๆ ออกมานั้นเป็ใคร
พนักงานตอบ “ท่านนี้หรือ เป็นายน้อยของร้านพวกเราขอรับ”
สวี่ไป่ถามอย่างแปลกใจ “อายุเขาน้อยมากเยยนะขอยับ”
พนักงานหัวเราะแล้วบอก “ใช่ขอรับ เพิ่งจะสิบสองปีเอง”
สวี่ไป่ก็ถามต่อ “เช่งนั้งเขามาที่นี่ไม่คิดถึงพ่อแม่ของเขาหยือขอยับ? ปี้จายของข้าอายุฉิบฉี่แย้ว ยังอยู่กับพ่อแม่ของพวกเยาอยู่เยย”
พนักงานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ประเด็นคือเขาไม่ค่อยรู้จักนายน้อยของตนเองคนนี้ดีมากนัก สวี่จือดึงสวี่ไป่พลางพูดอย่างไม่เห็นด้วย “น้องชาย ไปถามเื่ส่วนของเขาเช่นนั้นได้อย่างไร?”
สวี่ไป่มองผ้าม่านที่นิ่งสนิทแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับกำลังคิด เหตุใดถึงต้องถาม ก็เพราะว่าท่านเห็นคนคนนั้นสีหน้าก็แปลกๆ ไป ข้าถึงได้ถามอย่างไรเล่า?
สวี่จือฝืนตัวเอง หลังจากซื้อของที่้าซื้อเรียบร้อยแล้ว ก็พาสวี่ไป่กลับเรือน
กลับมาถึงในเรือน สวี่ไป่ก็เกาะติดสวี่จือแน่น เดิมสวี่จืออยากจะจัดการกับความทรงจำของตัวเองสักหน่อย แต่เพราะสวี่ไป่เข้ามาแทรกจึงไม่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่พาสวี่ไป่มาด้วย ก่อนจะเอากระดูกหมูที่ล้างจนสะอาดแล้วใส่ในหม้อใหญ่ หลังจากเทน้ำจนเต็มแล้ว ก็เอาหม้อไปวางไว้บนเตาเหล็กในห้อง
เตาเหล็กนี้เป็สวี่เหราคิดค้นออกมาโดยมีสวี่ตี้ช่วยอีกแรง
ตอนสวี่เหราเด็กๆ เคยตามพ่อแม่ไปทำงานมาก่อน ต่อมาก็กลับไปดูสถานที่ที่เคยไปมาก่อนในอดีต แล้วอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทำงานสองวัน เพราะว่าเป็ฤดูหนาว อีกฝ่ายจึงจุดเตาเหล็กในห้องของสวี่เหรา ไม่ว่าจะเป็ถ่านหรือว่าเผาไม้ เตาเหล็กก็ร้อนไวมาก ้าวางกาต้มน้ำเอาไว้ ตอนนอนหลับก็เอาเหล็กแผ่นเล็กด้านล่างมาปิด ตอนกลางคืนในห้องก็จะอุ่นมาก อีกทั้งยังไม่แห้ง
ตอนที่มาเหอซีแรกๆ สวี่เหรายังคิดไม่ถึง จนกระทั่งถึงปีที่สอง สวี่เหราพูดถึงเื่ที่ตนเองเคยอยู่ในชนบท พูดถึงเตาเหล็กนี่ สวี่ตี้ก็สนใจมาก อยากจะจ้างช่างตีเหล็กมาคนหนึ่งให้ทำเตาออกมา แต่ว่าปล่องควันของเตานั้นทำยาก สวี่ตี้ใช้อิฐมาก่อกันเป็ปล่องควันในห้อง เพราะว่างานฝีมือตอนนี้ยังไม่พัฒนา เครื่องมือทำเหล็กราคาสูงมาก ความจริงแล้วเตานี่ก็ไม่มีความจำเป็ที่จะผลักดันออกไป
เพียงครู่เดียวในห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำแกงกระดูกหมู สวี่จือนั่งอยู่บนเตียงอุ่นริมหน้าต่าง เตานั้นก็วางไว้ด้านนอกใกล้กับประตู ไม่เพียงจะใช้อิฐมาก่อเป็ปล่องควัน ระหว่างเตากับปล่องควันยังใช้อิฐกับโคลนมาก่อจนเป็ช่องว่างขนาดกว้างมาก เพราะว่าไม่มีซีเมนต์ จึงทำได้แค่ใช้โคลนมาปาดให้เรียบ จากนั้นด้านนอกก็ติดแผ่นเหล็กก็เท่ากับเป็แผ่นอุ่น
สวี่ไป่นั่งอยู่อีกด้านของเตียงอุ่น ในมือถือแผ่นจำตัวอักษรที่สวี่ตี้ทำให้เขา ดวงตาไม่ได้วางอยู่ที่แผ่นช่วยจำ แต่มองไปที่สวี่จือที่มองมาที่ตัวเองตลอด
สวี่ไป่รู้สึกมาตลอด ว่าพี่สาวของตัวเองเป็พี่สาวที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ ในเวลานี้เด็กผู้ชายทั้งหมดนั้นไม่เหมาะสมกับพี่สาวของตน ตอนนี้จู่ๆ เพราะพี่สาวของตนเจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ถึงได้มีสภาพิญญาหลุดเช่นนี้ สวี่ไป่อยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว แต่ว่าอยากจะพูดปรึกษากับพี่สาว คาดว่าพอเปิดปากจะถูกพี่สาวห้ามแน่นอน
สวี่จือในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจน้องชายของตนเองแล้ว นั่งบนหัวเตียงอุ่น ในใจกลับนึกถึงบุรุษหน้าตาดูเด็กมากที่เพิ่งเจอเมื่อครู่
นั่นคือตอนที่ตนกับคนของจวนติ้งกั๋วกงถูกส่งตัวไปที่หลิงหนาน เดินทางไปได้ครึ่งทาง ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนติ้งกั๋วกงเดินไม่ไหวแล้ว แต่เส้นทางห้าสิบลี้ของทุกวันจะล่าช้าไม่ได้ คนของจวนติ้งกั๋วกงอยากจะเอาเงินไปติดสินบนผู้คุม แต่ใครก็ต่างไม่กล้ารับเงินสินบนนี้ สุดท้ายทำได้แค่ให้คนอายุน้อยหลายคนในจวนอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าเดินหน้าต่อไป
พอมาถึงตาของสวี่จือ นางแบกเอาไว้ ข้างกายก็มีคนช่วยพยุงไปด้วย ตอนนี้พอมาคิดถึงเื่เมื่อตอนนั้น สวี่จือก็ยังรู้สึกตรงหน้าดำมืด ในหัวสมองก็ดังปังๆ เหมือนจะะเิหายไปอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่หายใจ ในอกก็เหมือนถูกมีดมาเฉือน
คนในจวนรังแกสวี่จือจนไร้ที่พึ่ง บีบให้สวี่จือแบกฮูหยินผู้เฒ่าของจวนติ้งกั๋วกงไป สุดท้ายชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกันทนดูต่อไปไม่ไหว ไม่รู้ว่าไปคุยกับผู้คุมอย่างไร ถึงได้ออกเงินซื้อรถเข็นมาหนึ่งคัน ให้วางฮูหยินผู้เฒ่าลงไปแล้วลาก
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสงสารตน หรือเพราะว่าเป็สหายเก่ากับจวนติ้งกั๋วกง แต่เขามาช่วยนาง สวี่จือก็รู้สึกซาบซึ้งต่อคนผู้นั้นเป็อย่างมาก ตอนที่พักผ่อนอยู่ที่พักระหว่างทาง สวี่จือก็ไปขอบคุณเขา ถึงได้รู้ว่าชาติกำเนิดของคนหนุ่มคนนั้นเป็ลูกชายคนโตของครอบครัวผิงซีโหวเย่คนก่อน นามว่าเจิ้งป๋อหยวน เป็บุตรของผิงซีโหวฮูหยินคนก่อนให้กำเนิดเอาไว้ ผิงซีโหวก็เหมือนกับจวนติ้งกั๋วกง เพราะว่าตอนแย่งบัลลังก์ไปยืนอยู่ผิดฝั่ง ถึงได้ถูกส่งไปหลิงหนาน
เจิ้งป๋อหยวนในตอนนั้นเทียบกับในตอนนี้ มีเพียงใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก สวี่จือขอบคุณเขา เขาเพียงแค่โบกมือ ให้สวี่จือไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จะต้องใช้ชีวิตให้ดีต่อไป
น่าเสียดาย ต่อมาเมื่อถึงจุดหมาย ทั้งสองครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน สวี่จือเองก็สอบถามเื่ของผิงซีโหวได้ยาก จนกระทั่งสวี่จือะโลงทะเล ก็ไม่รู้ว่าต่อไปเจิ้งป๋อหยวนเป็อย่างไรบ้าง
เชิงอรรถ
[1] (瑶柱Yáo zhù) หอยเชลล์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้