จะว่าไปเวลาก็ผ่านไปเร็วนัก แม้ว่าตอนข้ามภพมาเป็ทารก่แรกจะไม่ค่อยคุ้นชิน แต่พอนานวันเข้าก็กลายเป็ปรกติไปแล้ว
เพียงแต่นางยิ่งรู้สึกว่าตนเองจะกลายเป็พวกแมรี่ ซู [1] ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทำไมน่ะเหรอ?
คุณว่าเพราะอะไรล่ะ?
คิกคิก
นางกำลังจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้!
แม้ทุกคนจะคิดว่านางไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ เอาเป็ว่านางเองเข้าใจแล้วกัน เฉียวเยว่ทราบว่าบิดาจะพานางเข้าวัง แต่ไม่รู้ว่าจู่ๆ ฮ่องเต้เกิดสนพระทัยอยากจะเห็นทารกน้อยอย่างนางได้อย่างไร
แค่นางคนเดียว ไม่รวมเสี่ยวฉีอัน
เสี่ยวเฉียวเยว่ไม่เข้าใจเลย พูดตามตรง ยุคสมัยโบราณมีกฎเกณฑ์อะไรบ้าง นางไม่รู้แม้แต่น้อย อ้อ แน่นอนว่าไม่จำเป็สำหรับนาง หากต้องให้เด็กทารกคนหนึ่งรู้กฎเกณฑ์ ก็ดูจะไร้เหตุผลเกินไป
แต่นางเคยอ่านนิยายจำพวกเล่ห์กลการต่อสู้ในเรือนหลังและวังหลวงมาบ้าง อยู่ดีๆ ฮ่องเต้ก็อยากพบทารกน้อยของจวนโหว นี่หมายความว่าอย่างไร มีพระประสงค์ใดซ่อนเร้นอยู่?
แน่นอนว่าฝ่าาทรงอ้างเหตุผลอย่างชอบธรรมว่าอยากพบบุตรสาวตัวน้อยของสหาย
เฉียวเยว่ไม่เข้าใจคนสมัยนี้จริงๆ บิดาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อหน้านางเลย ทำให้นางร้อนอกร้อนใจจะตายอยู่แล้ว หลังจากไตร่ตรองมาสองวันจนกินข้าวปลาไม่ลง ก็ยังไม่กระจ่าง
เพียงแต่การที่นางไม่ยอมกินเช่นนี้ทำให้คนในครอบครัววิตกกังวลมาก นึกว่านางไม่สบายเป็อะไร จึงเชิญหมอมาตรวจ
นางหงุดหงิดดื่มนมไปสองถ้วย อะไรก็ไม่สนใจแล้ว
พอเฉียวเยว่กลับมาเป็ปรกติ ไท่ไท่สามก็รู้สึกขอบคุณฟ้าดิน "อยู่ๆ เด็กคนนี้ก็ไม่ยอมกิน ข้ากลัวว่าจะมีเหตุอันใด ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว"
ซูซานหลางเห็นนางกินจนท้องกลมดิก ก็เอ่ยด้วยความโมโห "อดหนึ่งวันอิ่มหนึ่งวัน เด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งไร้เหตุผล รอนางโตเมื่อไรจะต้องตีเสียบ้าง ให้นางรู้เสียบ้างว่าจะทำตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้ ยิ่งต้องให้นางตระหนักว่าไม่ควรทำให้เ้าผู้เป็มารดาต้องทุกข์ร้อนใจ"
ไทไท่สามทำตาดุใส่เขา "ท่านพูดเหลวไหลอีกแล้ว"
ซูซานหลางท่าทีอ่อนลง ดวงตาและคิ้วฉายแววยิ้ม กระซิบว่า "สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็ความจริงทั้งนั้น ปรกติข้าเองก็ไม่อยากพูดถ้อยคำแรงๆ แต่จะปล่อยให้ยายหนูดื้อรั้นเอาแต่ใจ รังแกภรรยาข้าได้อย่างไร ช่างไม่ได้ แม้แต่บุตรสาวก็ไม่เว้น"
เฉียวเยว่ถูกป้อนอาหารสุนัข [2] เต็มคำโดยไม่ทันตั้งตัว
บิดามารดาของนางมักแสดงความรักต่อกันโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น เฉียวเยว่พลิกตัว โก่งก้นน้อยๆ ฝังใบหน้าไปที่ผ้าห่ม ปิดหูไม่ได้ ก็ปิดตาแล้วกัน
ไท่ไท่สามเห็นนางทำเช่นนี้ก็นึกว่าง่วงแล้ว จึงอุ้มนางไปนอนบนที่นอนดีๆ แล้วห่มผ้าให้ ตบเบาๆ สองสามครั้ง กระซิบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "เด็กดีหลับซะนะ พรุ่งนี้เข้าวัง เ้าต้องเป็เด็กดีเหมือนอย่างตอนนี้ อย่าเอาแต่ใจทำอะไรส่งเดช ในวังล้วนมีแต่ผู้สูงศักดิ์ พวกเราไม่อาจล่วงเกินได้"
"เ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้เกิดอะไรกับบุตรสาวอยู่แล้ว" ซูซานหลางกล่าว
ครานี้ไท่ไท่สามไม่ได้เข้าวังไปด้วยกัน ซูซานหลางย่อมต้องดูแลบุตรสาวอย่างเคร่งครัด
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "ดูข้าสิ มักพูดเหลวไหลเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย นางเด็กขนาดนี้ ไหนเลยจะเข้าใจ"
ซูซานหลางพยักหน้า "เ้าเอ่ยให้ข้าฟังมิใช่หรือ?"
ไท่ไท่สามซบบนตัวของเขา "ท่านเนี่ย..."
บิดามารดาพลอดรักกัน ในฐานะผู้ชมข้างสนามรู้สึกขนอ่อนลุกเกรียวจนผุดเป็ตุ่มหนังไก่ไปทั้งตัว
เฉียวเยว่ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พยายามข่มตาหลับ...
เช้าวันรุ่งขึ้น
เฉียวเยว่ถูกมารดาขุดขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ประดับด้วยกุญแจหยกหรูอี้ [3] อาภรณ์น้อยๆ สีแดงทั้งตัวแสดงถึงความเป็สิริมงคล เฉียวเยว่คาดเดาว่าตนเองต้องเหมือนเด็กมงคลในภาพเขียนปีใหม่เป็แน่
"เ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ปล่อยบุตรให้อยู่ห่างมือแน่นอน” ซูซานหลางเอ่ยบอก
ไท่ไท่สามยังคงไม่หมดห่วง "หากนางหิวก็ป้อนนมให้เล็กน้อย ดีที่สุดคือหาวิธีอุ่นเสียก่อน ข้าเตรียมไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ดีที่ปรกตินางไม่ชอบดื่มจากอกโดยตรงอยู่แล้ว มิเช่นนั้นไหนเลยจะแยกจากกันได้"
ซูซานหลางเป็บุรุษที่งามสง่าอย่างมิอาจหาผู้ใดมาปานเปรียบ เมื่ออุ้มทารกน้อย ค่อยดูมีกลิ่นอายของความเป็มนุษย์สามัญอยู่บ้าง
ฮ่องเต้มิได้ตรัสถึงผู้อื่น ซูซานหลางย่อมไม่สะดวกที่จะพาผู้อื่นไปช่วยดูแลบุตร
เขาอุ้มบุตรขึ้นรถม้า เห็นภรรยายังคงพะว้าพะวัง เฉียวเยว่กลัวว่ามารดาของนางจะเป็กังวล ริมฝีปากน้อยๆ ก็ฉีกยิ้มจนน้ำลายหกใส่แขนของซูซานหลาง
ซูซานหลางวางนางบนเบาะนุ่มในรถม้า เฉียวเยว่ก็ง่วงทันควัน
นางเป็เด็กทารกที่ไม่ค่อยมีกำลังวังชามากนัก บนรถม้าโคลงเคลงไปมาเบาๆ ไม่ต่างอะไรกับเปลโยก ไม่ช้านางก็หลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เข้าวังมาแล้ว
เสี่ยวเฉียวเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสดใส
นางขยี้ตา แล้วก็เริ่มขยับตัว
ซูซานหลางสังเกตเห็นว่าบุตรตื่นแล้ว ก็เอ่ยว่า "ฝ่าา บุตรีของกระหม่อมตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจะหิว ไม่ทราบว่า..."
เฉียวเยว่กะพริบตาปริบๆ ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า "เตรียมไว้ให้เ้าแต่เช้าแล้ว ในเมื่อเราให้เ้าพาบุตรสาวเข้าวัง ย่อมไม่สร้างความลำบากให้นางอยู่แล้ว"
เฉียวเยว่พลันรู้สึกอยากเอามือกุมหน้าอก จิ๊ จิ๊ จิ๊ เสียงนี้...
นอกจากนางจะถูกควบคุมด้วยความหล่อแล้ว ยังจะถูกควบคุมด้วยเสียงอีกด้วย
เสียงที่มีน้ำหนักอย่างบิดาของนางก็ดีมาก แต่มักให้ความรู้สึกเ็าและเย่อหยิ่ง น้ำเสียงยังขาดเสน่ห์ไปบ้าง
แตกต่างจากฮ่องเต้ พระสุรเสียงทุ้มต่ำลุ่มลึก เหมือนกับเสียงคนโปรดของนางเป็พิเศษ
เอาล่ะ ถึงเวลาจะได้ใช้ข้อดีของการเป็เด็กทารกแล้ว เสี่ยวเฉียวเยว่เอี้ยวตัวโผไปทางฮ่องเต้ อยากจะไปทางนั้น
ต้องบอกว่าพระสุรเสียงของพระองค์คล้ายกับเปียนเจียง [4] มาก !
จริงๆ นะ
ซูซานหลางไม่รู้ว่านางเป็อะไร จึงตบๆ พลางปลอบประโลม "เด็กดี เดี๋ยวไปกินก่อนค่อยมา"
"อาจารย์ ข้าว่าน้องสาวอยากไปหาเสด็จพ่อ" เสียงของเด็กชายดังขึ้น
เฉียวเยว่จำได้ นี่คือรัชทายาทน้อย
นางร้องอ้อแอ้พลางปรบมือ เห็นหรือไม่รัชทายาททรงทราบด้วยว่านางคิดอะไรอยู่ บิดาของนางช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ซูซานหลางมองเฉียวเยว่อย่างลังเล เฉียวเยว่ก็เริ่มพูดภาษาทารกขึ้นอีกครั้ง
"ในเมื่อเด็กตื่นแล้ว ก็อุ้มมาให้เราดูหน่อยเถอะ" น้ำเสียงลุ่มลึกแฝงแววขบขัน
เฉียวเยว่เริ่มดิ้นอย่างแรง ครานี้ซูซานหลางถึงเข้าใจความหมายของบุตรสาว ชะรอย นางคงอยากไปหาฝ่าาจริงๆ
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "บุตรน้อยซุกซน ขอฝ่าาอย่าได้ขบขัน"
เขาอุ้มบุตรขึ้น เฉียวเยว่กวาดมองรัชทายาทน้อยปราดหนึ่ง ต้องกล่าวว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีจริงๆ
บุตรชายยังหล่อขนาดนี้ น้ำเสียงก็มีเสน่ห์ จะต้องเป็ชายงามล้ำเลิศอย่างแน่นอน
อย่างที่บิดาของนางยังเทียบไม่ติด
เฉียวเยว่เริ่มทอยิ้มพร่างพราย เตรียมกอดต้นขาขายความน่ารักเป็อันดับแรก
"อุ้มเข้ามาใกล้ๆ เรา"
เฉียวเยว่ฉลาดมาก หันศีรษะอย่างรวดเร็ว ปรับท่าทาง แล้วยื่นมือน้อยๆ ออกไป แต่ทว่า... รอยยิ้มของนางพลันแข็งค้าง
ฝ่าา... ธรรมดามาก
บุรุษในชุดัหน้าตาดาษดื่นมาก ชนิดที่ว่าหากไปอยู่ในที่ที่มีผู้คนมากมายก็จะหาไม่เจอ
เฉียวเยว่หันไปมองรัชทายาทแทบจะทันที หลังจากมองพอแล้ว ก็หันกลับไปหาฮ่องเต้อีกครั้ง
ท่าทางแลดูสับสน
นางไม่ใช่คนที่จะตัดสินใครด้วยหน้าตา เพียงแต่น้ำเสียงแบบนี้ ประกอบกับบุคลิกลักษณะของรัชทายาท ความรู้สึกแรกของนางคือฮ่องเต้จะต้องเป็ชายงามล้ำเลิศอย่างแน่นอน
แต่พอผิดจากที่คาดหวัง นางก็มองคนนี้ที มองคนโน้นที ด้วยความรู้สึกพังทลาย
ดวงหน้าน้อยเผยแววทึ่มทื่อเล็กน้อย
ฝ่าาเห็นนางมองพระองค์แล้วก็มองรัชทายาท มองรัชทายาทแล้วก็มองพระองค์ กลับไปกลับมานับครั้งไม่ถ้วน
กลับรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้ร่าเริงสดใสเหลือเกิน ทรงตรัสว่า "ดูจากอุปนิสัยของศิษย์น้อง เฉียวเยว่ท่าจะไม่ค่อยเหมือนเ้าสักเท่าไร"
เสียดายน้ำเสียงจริงๆ แต่แม้ว่าหน้าตาจะดาษดื่นมาก พอได้ยินเสียงของพระองค์แล้วยังรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมกับคนผู้นี้ได้
นางทอยิ้มอย่างฉลาดเฉลียว เผยให้เห็นฟันน้อยๆ ซึ่งเพิ่งโผล่ขึ้นมายังไม่เห็นเป็ซี่ชัดเจน พร้อมกับร้องเสียงอ้อแอ้ กางแขนน้อยๆ ออก ทำท่าขอให้อุ้ม
ฮ่องเต้ตกตะลึง ก่อนแย้มพระสรวลเล็กน้อย "ศิษย์น้อง นี่เฉียวเยว่ชอบเรารึ?"
"ยายา อูวา..." เฉียวเยว่พยายามแสดงท่าทางบอกความคิดของตนเองอย่างเต็มที่
นางกางแขน ท่าทางกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ตอนแรกซูซานหลางคิดว่าเฉียวเยว่ของเขาชอบคนหน้าตาดี เมื่อก่อนนางจะกระตือรือร้นทุกครั้งที่เห็นคนรูปงาม
เฉกเช่นรัชทายาท แทบจะบินเข้าไปหาทีเดียว แต่ดูจากตอนนี้ท่าจะไม่ใช่เสียแล้ว
นี่บุตรสาวของเขาตื่นเต้นเมื่อเห็นคนแปลกหน้าทุกคนเลยหรือ?
"นางอาจจะดู... โง่งมไปบ้าง" ซูซานหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า "ไม่เข้าใจเนื้อแท้ของพระองค์"
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลดังลั่น หลังจากนั้นก็ยื่นพระหัตถ์เข้ามา "มา เราจะอุ้มเ้า"
เสี่ยวเฉียวเยว่โน้มกายเข้าไปทางพระองค์ทันควัน
ฮ่องเต้รับนางมาอุ้ม เด็กหญิงตัวน้อยลูบฉลองพระองค์ัสีเหลืองสว่าง รู้สึกว่าตนเองจะต้องข้ามภพมาเป็ตัวแสดงนำหญิงในนิยายหวานแหววแหงๆ หากมิเช่นนั้นแล้วใครพอจะบอกได้บ้างว่าทำไมนางถึงโชคดีขนาดนี้!
นางลูบฉลองพระองค์ัอีกที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฝ่าา แล้วออกแรงดิ้น ฮ่องเต้ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนเปลี่ยนท่าอุ้มนาง เฉียวเยว่อาศัยจังหวะนั้นจุมพิตไปบนพระพักตร์ของฮ่องเต้เ้าของน้ำเสียงไพเราะเสียงดัง "ม้วบ" หลังจากนั้นมือน้อยๆ คว้าอาภรณ์ของพระองค์ไว้แน่น เอียงใบหน้าซบกับอ้อมพระหัตถ์ สามคำง่ายๆ ที่สามารถอธิบายอากัปกิริยาของนางได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือฉันชอบคุณ!
ฝ่าาตะลึงพรึงเพริด หลังจากนั้นก็มองเด็กน้อยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ทรงพระสรวลเสียงดังลั่น "น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ"
พระองค์บีบพวงแก้มของซาลาเปาน้อย
เฉียวเยว่รีบแสดงความเฉลียวฉลาด
ด้วยการเปล่งเสียงร้อง "ยาย่ะ" เบาๆ
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงดัง "เราไม่นึกเลยว่าเด็กคนนี้จะชอบเราถึงเพียงนี้
พระองค์เองก็มีโอรสธิดาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยมีบุตรคนไหนได้ใกล้ชิดพระองค์เช่นนี้ หากโตแล้วก็อาจบอกได้ว่านางเสแสร้งแกล้งทำ แต่ถ้าเป็ทารกน้อย ไหนเลยจะรู้จักแผนการเล่ห์กลอันใด
"มิน่าเสด็จป้าถึงอยากได้เด็กน้อยคนนี้ไปเป็หลานสะใภ้ น่ารักเพียงนี้ เรายังอยากเก็บไว้เองเลย"
เฉียวเยว่หูผึ่งทันควัน
อาจเป็เพราะเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนาง
ฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทรงบีบพวงแก้มน้อยๆ ของนาง "ช่างน่ารักฉลาดเฉลียวชวนให้คนอยากรักใคร่ทะนุถนอมเสียจริง"
เฉียวเยว่ฟังถ้อยคำของเขาแล้วก็ฉีกยิ้มตาหยี
ฝ่าาเงยพระเศียรขึ้น "ว่าแต่ เ้าจะยินยอมหรือไม่?"
คำกล่าวนี้ชวนให้คนฟังสับสนว่าจริงหรือไม่จริง เฉียวเยว่ไม่ค่อยเข้าใจนัก นางมองไปทางบิดา เห็นสีหน้าเขาไม่ดีอย่างยิ่ง
"บุตรยังเล็กนัก กระหม่อมกับภรรยายังไม่อยากให้หมั้นหมายเร็วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ" ซูซานหลางตัดบทอย่างเด็ดขาด "เพียงนึกว่ามีคนอยากจะชิงตัวบุตรสาวไปจากกระหม่อม ในใจของกระหม่อม... ก็แทบอยากจะบีบไอ้หนุ่มนั่นให้ตายเสียให้ได้"
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงดังอีกครา "ตอนนี้คนก็ตกมาถึงมือเ้าแล้วไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง เด็กคนนั้นก็เคยพูดกับเราว่าไม่อยากแต่งงานกับยายหนูขี้แยคนนี้"
เฉียวเยว่เพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง
เชอะ!
ที่แท้ก็วางแผนจะให้นางแต่งงานกับรุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นนี่เอง
NO!
นางปฏิเสธในใจ
ท่านพ่อ ท่านทำดีได้ดีเลิศ!
...
[1] แมรี่ ซู คือตัวละครที่มีลักษณะอุดมคติ กล่าวคือ เป็ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มความรู้สึก ความฝัน หรือจินตนาการบางอย่างของผู้เขียนและผู้อ่าน โดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็จริงหลายประการ
[2] ป้อนอาหารสุนัข หมายถึง คู่รักที่พลอดรักหวานชื่นต่อหน้าผู้อื่น
[3] กุญแจหยกหรูอี้ เป็เครื่องประดับรูปกุญแจ มักนำมาคล้องกับสร้อยแล้วแขวนคอ หรูอี้มีความหมายว่า สมปรารถนา เป็สัญลักษณ์ของความเป็สิริมงคล
[4] เปียนเจียงเป็ชื่อของนักพากย์ของจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีชื่อเสียง เกิดที่มณฑลเหอเป่ย จบการศึกษาจาก Beijing Film Academy ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาด้านโรงละครแห่งแรกของประเทศจีนและยังครองตำแหน่งสถาบันที่ผลิตดาราจีนออกมามากที่สุดด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้