สวีเพ่ยหรานหรี่ตามอง ก่อนย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “คุณชายโจว ท่านว่างมากหรืออย่างไร?”
โจวชิงหวาผงกศีรษะ “ใช่แล้ว เลยว่าจะมาคุยเล่นแก้เบื่อกับเสี่ยวเอ๋อร์สักหน่อย จะได้ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้าก่อนหน้านี้ด้วย”
สวีเพ่ยหรานกำหมัดแน่น แต่มิได้กล่าวอันใด
โจวชิงหวาปรายตามองอีกฝ่าย แล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่อยากพนัน เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน เชิญตากแดดจนกว่าจะพอใจเถอะ”
สวีเพ่ยหรานมองตามโจวชิงหวา ที่ตรงไปผลักประตูเรือน แล้วเดินหายเข้าไปข้างใน ราวกับว่านี่คือบ้านของตัวเอง ด้วยความเจ็บใจ
พอเห็นโจวชิงหวาก้าวเข้ามา เสี่ยวเสวียนก็เกรงว่าสวีเพ่ยหรานจะติดตามมาด้วย จึงรีบวิ่งไปยังประตู แต่พบว่าคุณชายสวีได้จากไปแล้ว
นางจึงหันมาโค้งคำนับ ขอบคุณโจวชิงหวาทันที “คุณชายโจวทำอย่างไรหรือเ้าคะ? คุณชายสวีจึงยอมกลับไปง่ายๆ เช่นนั้น?”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ข้ามิได้ทำอะไร บางทีเขาอาจจะยืนจนปวดเข่าก็เป็ได้ คราวหลัง เ้าก็หาที่นั่งดีๆ ให้เขาหน่อยสิ!”
เสี่ยวเสวียนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนเอ่ย “คุณชายโจว ล้อเล่นหรือเ้าคะ! จะให้ข้ายกเก้าอี้ไปให้คุณชายสวีนั่งอย่างนั้นหรือ?”
พอโจวชิงหวาก้าวเข้ามาในห้อง คิ้วที่ขมวดมุ่นของหนีเจียเอ๋อร์ก็คลายลง
ชายหนุ่มโบกมือ ส่งสัญญาณให้เสี่ยวเสวียนออกไปก่อน ตอนนี้ ภายในห้องจึงเหลือเพียงเขาและหนีเจียเอ๋อร์เท่านั้น
ปลายนิ้วแกร่ง เกี่ยวช่อผมยาวขึ้นมาสูดดม “หอมจริงๆ”
“ไปให้ห่างเลยนะ” หญิงสาวพยายามผลักอีกฝ่ายออกไป แต่ก็ไร้ผล ร่างสูงของเขาไม่ขยับเลยสักนิด
“นุ่มจริงๆ” โจวชิงหวาคว้ามือนางมาบีบเบาๆ “แต่กระนั้น ก็ยังไม่นุ่มเท่าเอวของเ้า”
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะรู้ดีว่าต้องพูดอย่างไร จึงจะทำให้ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีได้
หนีเจียเอ๋อร์อดโกรธตัวเองมิได้ ที่ไม่เคยตามอีกฝ่ายทันเลย จึงรีบชักมือกลับทันควัน “เ้าคงจะใช้คำพูดเลี่ยนๆ พวกนี้กับสตรีมาไม่น้อยเลยสินะ!”
ชายหนุ่มกล่าวว่า “คิดมากไปแล้ว เ้าเป็สตรีเพียงคนเดียวที่ข้าคบหามาตลอดหลายปี ใส่ความกันเช่นนี้ หากสาวๆ มองข้าเป็คนมากรักหลายใจ จนไม่กล้าตกล่องปล่องชิ้นขึ้นมา เ้านั่นแหละต้องเป็คนรับผิดชอบ”
รับผิดชอบ? จะให้รับผิดชอบอย่างไร? จะให้นางตกลงปลงใจกับเขาแทนอย่างนั้นหรือ?
… จะเป็ไปได้อย่างไร!
เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของหนีเจียเอ๋อร์ก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
พอเห็นสีหน้าอีกฝ่าย โจวชิงหวาก็อดมิได้ที่จะหยอกเย้าต่อไป
สักพัก ก็ได้เวลาที่สมควรจะกลับแล้ว “ข้ากำลังจะเข้าวัง เพื่อถวายเครื่องบรรณาการ เ้าอยากไปด้วยหรือไม่? ได้ยินว่าที่อุทยานหลวงตอนนี้ โบตั๋นกำลังออกดอกบานสะพรั่ง”
ในเมื่อยามนี้ตนเองก็ว่างอยู่ หญิงสาวจึงตอบตกลงทันที จากนั้นก็เดินนำออกไป โจวชิงหวาจึงตามมาด้วยท่าทีสุขุม
...
ณ วังหลวง แคว้นฉีหลาน
พระราชวังสีแดงเข้มที่สลักลวดลายอย่างประณีต มุงหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบ ดูสง่างามอลังการหาใดปาน
ชายคาเป็ไม้จันทร์หอม แกะสลักเป็นกเฟิ่งหวง[1]สยายปีก กรอบหน้าต่างเป็กระเบื้องสีเขียวสลักลาย ผนังทำจากหยก แสดงให้เห็นถึงศิลปะอันวิจิตร โอ่อ่าตระการตา
หนีเจียเอ๋อร์เบิกตากว้าง พลางกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น แต่พอรู้ตัว ก็กลับมาสงวนท่าทีดังเดิม
โจวชิงหวาลอบมอง แล้วยกยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเกร็ง อยู่ที่นี่ไม่มีใครจำเ้าได้หรอก”
หญิงสาวขยับตัวเพื่อเว้นระยะห่าง ก่อนเอ่ยเบาๆ “แต่กระนั้นก็ควรสำรวมให้มาก เ้าก็เช่นกัน”
ไม่นาน ทั้งสองก็เข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นใน แล้วก็พบเข้ากับขันทีคนหนึ่ง
“คุณชายโจว ครานี้มาด้วยตัวเองเลยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ใจเต้นไม่เป็ส่ำ แต่ก็ต้องทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หากเป็ของที่หลี่กงกงสั่ง แน่นอนว่าข้าย่อมมาส่งด้วยตัวเอง” ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนยื่นมือออกไป
ทั้งสองจับมือกัน พอผละออก หลี่กงกงก็ซุกมือเข้าไปในแขนเสื้อทันที “องค์รัชทายาททรงโปรดปรานชาเนย[2]ของท่านยิ่งนัก ไว้วันหลัง ข้าจะถวายให้พระองค์อีก”
“ต้องรบกวนท่านแล้ว” โจวชิงหวากล่าว
ขันทีหลี่สนทนากับเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นหนีเจียเอ๋อร์ ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้ว ว่าสตรีตรงหน้าเป็บุตรีในตระกูลใหญ่ จึงหันไปถามโจวชิงหวาเพื่อคลายความสงสัยทันที “เอ่อ... เห็นทีข้าจะเริ่มสายตาฝ้าฟางแล้ว แม่นางน้อยผู้นี้คือใครกัน? เป็บุตรสาวของขุนนางท่านใดหรือ?”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ก่อนแนะนำให้รู้จัก
หญิงสาวยกยิ้มบางๆ พลางแนะนำตัวเองอย่างเป็ทางการอีกครั้ง “คารวะหลี่กงกง ข้าคือหนีเจียเอ๋อร์ บุตรสาวของใต้เท้าหนี เสนาบดีกรมพิธีการเ้าค่ะ”
ขันทีหลี่อยู่ในวังมานานร่วมสามสิบปี มีหรือจะไม่รู้ ว่าขุนนางระดับสูงมีใครบ้าง รวมถึงอำนาจที่หนุนหลังด้วย ยิ่งเื่ในเรือนหลังของขุนนางทั้งหลาย เขาย่อมรู้ดีเสียยิ่งกว่าผู้ใด
เขารีบโค้งกลับทันที “คุณหนูรองสกุลหนี ขออภัย ข้าไม่รู้ว่าเป็ท่าน”
ทว่าหญิงสาวเข้าใจดี ว่าหากโจวชิงหวาไม่อยู่ด้วย มิใช่แค่หลี่กงกงเท่านั้น แม้กระทั่งนางกำนัลทั้งหลาย ก็คงไม่ใส่ใจตนเป็แน่
ดังนั้น นางจึงต้องยิ่งวางตัวให้เหมาะสม หนีเจียเอ๋อร์รีบโค้งกาย แล้วตอบอย่างสุภาพ “หลี่กงกงคิดมากไปแล้ว เจียเอ๋อร์มิได้ติดใจอันใดเลยเ้าค่ะ”
ขันทีหลี่มองหญิงสาวตรงหน้า ด้วยแววตาชื่นชม
“คุณชายโจว คุณหนูรอง ไปที่ห้องรับรอง ดื่มชาสักถ้วยก่อนกลับ ดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ละ ข้าจะพาคุณหนูรองไปเดินเล่นในอุทยานสักหน่อย”
พอผละจากมา ทั้งสองก็เดินไปตามเส้นทางเลียบทะเลสาบ ในที่สุด ก็มาถึงอุทยานหลวง
ดอกโบตั๋นหลากสีกำลังบานสะพรั่งงดงาม ทั้งสีขาว ชมพู แดง ม่วงอ่อน ม่วงเข้ม ฟ้า เหลืองอ่อน และสีอื่นๆ อีกมากมาย ช่างเป็ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
“งดงามมาก” หญิงสาวตะลึงลานกับภาพที่เห็น นางเงยหน้าสูดดมกลิ่นหอมของมวลบุปผา ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง “มากับเ้าคราวนี้ นับว่าคุ้มนัก”
“แต่ข้าว่า คนงามกว่ามวลบุปผาเสียอีก” โจวชิงหวากล่าว
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า ดวงตาเป็ประกาย “รู้จักกันมาหลายปี ครั้งนี้เ้าเอ่ยวาจาได้รื่นหูที่สุด”
ขณะกำลังหยอกกันนั้น พลันได้ยินเสียงสตรีกลุ่มหนึ่งดังมาแต่ไกล ทั้งสองจึงหันไปมองด้วยความสนใจใคร่รู้
พบว่ามีนางกำนัลสองสามคน กำลังกลั่นแกล้งสตรีผอมบางผู้หนึ่ง
แม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่จากสีหน้าและท่าทาง ดูเหมือนว่าสตรีทั้งสามกำลังเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายอยู่
ส่วนแม่นางผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ขดตัวกอดตนเองอย่างน่าสงสาร
“มิใช่เื่แปลกที่จะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นในวัง แม้แต่วิวาทจนถึงตาย ก็หาใช่เื่น่าตระหนกอันใด” น้ำเสียงของโจวชิงหวา แฝงไปด้วยความสังเวช
ก็คงเหมือนจวนสกุลหนี ที่มีคนไม่น้อยไปกว่าสิบ ต้องมาตายด้วยน้ำมือของสวีซื่อ
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น “กว่าจะมาเป็นางกำนัลได้ ช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก เหตุใดจึงต้องทะเลาะตบตีกันด้วย?”
---------------------------------------
[1] เฟิ่งหวง ถือเป็าาแห่งนกทั้งมวล เป็สัตว์ในตำนานที่มีส่วนหัวดั่งนกยูง และมีลำตัวเช่นเดียวกับหงส์
[2] ชาเนย หรือเพอชา หรือซูโหยวฉา (酥油茶) เป็เครื่องดื่มของผู้คนในแถบเทือกเขาหิมาลัย เช่น ประเทศเนปาล ภูฏาน อินเดีย ปากีสถาน ทิเบต และพื้นที่ภาคตะวันตกของจีน
เดิมที จะใช้เนยจากนมจามรีมาเติมในน้ำชา แต่ปัจจุบัน มักจะใช้เนยจากนมวัวมากกว่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้