ในขณะเดียวกันเว่ยจี้ เซี่ยโหวิ จงเทา ลู่เจียง และจ้าวเฉินก็เอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้โดยไม่เปลืองแรงมากนัก พวกเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามขั้นรวมชี่ พลังย่อมแกร่งกล้า
อีกด้านหนึ่ง คู่ต่อสู้ของนักดาบแขนเดียวอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 ซึ่งสูงกว่านักดาบแขนเดียวสองขั้น
“เ้าจงคุกเข่าอ้อนวอนและยอมแพ้เสีย จะได้ไม่ต้องลำบาก” ผู้ฝึกยุทธ์ร่างกำยำคนนั้นเชิดหน้ามองนักดาบแขนเดียว การฝึกฝนในหนึ่งปีมานี้ทำให้พลังของผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ก้าวหน้าไปมาก ในความเห็นของเขา ตนได้เข้ารายนามขั้นรวมชี่นานแล้ว และรอที่จะเฉิดฉายในงานประลองสำนักยุทธ์
“เ้าลงมือเถอะ!” เสียงแหบดังออกจากปากของนักดาบแขนเดียว ั้แ่เข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนตามเย่เฟิงและผ่านการฝึกฝนมากมาย ดาบของนักดาบแขนเดียวก็ว่องไวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
“ครืน!” จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังมหาศาลเข้าโจมตีนักดาบแขนเดียว แม้จะเผชิญหน้ากับรังสีหมัดนั่น นักดาบแขนเดียวก็ไม่ขยับตัว เพียงแต่เจตจำนงดาบได้พวยพุ่งออกจากร่าง พร้อมกับหลับตาลงเล็กน้อย
เมื่อรังสีหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเข้าใกล้นักดาบแขนเดียว แขนของนักดาบแขนเดียวเริ่มเคลื่อนไหว พร้อมแสงเยือกสว่างจ้า มันพาดผ่านท้องฟ้าประหนึ่งดาวตกก็ไม่ปาน นี่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นหยุดชะงัก แววตาดูตื่นตระหนก ใบหน้าขาวซีด จากนั้นมือของเขาคลำไปที่ลำคอของตนซึ่งตรงนั้นมีเืไหลออกมา รังสีดาบนั่นกรีดผ่านลำคอของเขา ช่างน่าใยิ่งนัก
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นรู้ว่านักดาบแขนเดียวออมมือ เขาจึงรีบเอ่ยขอบคุณนักดาบแขนเดียวอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการเหงื่อแตกพลั่ก
นักดาบแขนเดียวปรายตามองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังขอบเวที
“ดาบของเ้าเร็วขึ้นอีกแล้ว” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มให้นักดาบแขนเดียว เขานั้นชอบนิสัยตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของนักดาบแขนเดียวมาก
“หอกของเ้าก็เร็วขึ้นไม่ใช่หรือ?” นักดาบแขนเดียวกล่าว จากนั้นทั้งสองหันไปมองที่ที่หนึ่งพร้อมกัน ตรงนั้นคือศึกของอวิ๋นเจี๋ยกับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งของพรรคเทียนจีที่ค่อนข้างมีฝีมือ เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 และมีความสามารถพอจะเข้าไปอยู่ในรายนามขั้นรวมชี่
“หลังจากศึกนี้ ในรายนามขั้นรวมชี่จะไม่มีชื่อของเ้าอีกต่อไป” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวอย่างมั่นใจ เขาจับฉลากได้คู่กับอวิ๋นเจี๋ยและรู้สึกโชคดีมาก หากเอาชนะอวิ๋นเจี๋ย เขาก็จะไม่ต้องเปลืองแรงมากขนาดนั้นในการเข้ารายนามขั้นรวมชี่ ถือว่าบรรลุความปรารถนาของตนหนึ่งอย่าง
“งั้นหรือ?” อวิ๋นเจี๋ยกล่าว
“เ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง? ถ้าไม่อยากให้ตัวเองพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ก็จงยอมแพ้ซะ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวอย่างไม่พอใจพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาเดินไปหาอวิ๋นเจี๋ย พร้อมกับวาดฝ่ามือโจมตีหมายกำราบอวิ๋นเจี๋ย
อวิ๋นเจี๋ยยังคงสงบนิ่งและไม่ขยับตัว แต่มีอำนาจฟ้าดินพวยพุ่งออกจากร่าง และแพร่กระจายไปทั่วอากาศอย่างต่อเนื่อง
“ครืน!” พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น อำนาจฟ้าดินนั่นรวมตัวกันไม่หยุดจนค่อย ๆ ก่อตัวเป็ภูผาแห่งอำนาจ และเข้ากดทับผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น
“กร๊อบ!” เสียงกระดูกดังลั่น ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถูกภูผาแห่งอำนาจกดทับจนตัวโค้งงอ แววตาที่เคยเปี่ยมด้วยความมั่นใจเริ่มเข้าแทนที่ด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกตัวหดเล็กลงเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของภูผาแห่งอำนาจ ราวกับจะถูกบดขยี้เป็ผุยผงได้ทุกเมื่อ
“วูบ!” ในที่สุดผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็ทนไม่ไหว จึงหมอบคลานไปกับพื้นเวทีประลอง และใบหน้ายังขาวซีดราวกับกระดาษ
“ข้ายอมแพ้แล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเอ่ยอ้อนวอน หากไม่ยอมแพ้ เขาคงถูกแรงกดดันจากอำนาจฟ้าดินบดขยี้จนไม่เหลือซากเป็แน่ จากนั้นอำนาจฟ้าดินก็ค่อย ๆ จางหายไป ส่วนอวิ๋นเจี๋ยเดินกลับไปที่ขอบเวทีโดยไม่เหลียวแลผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นแม้แต่นิด
“อวิ๋นเจี๋ยผู้นี้น่ากลัวมาก!”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยสังเกตเห็นสถานการณ์ด้านอวิ๋นเจี๋ยก็ต้องใจเต้นตึกตัก อวิ๋นเจี๋ยใช้เพียงอำนาจฟ้าดินก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 4 แม้อวิ๋นเจี๋ยจะเป็คนสุขุมเยือกเย็น แต่ด้านพลังถือว่าแข็งแกร่งมาก จนเกินความคาดหมายของเหล่าผู้คน
“ก่อนหน้านี้อวิ๋นเจี๋ยเงียบมาตลอด ตอนนี้ดูเหมือนจะปลดปล่อยแล้ว!” ฉินเยียนหรานจบการต่อสู้ของตนแล้วเช่นกัน พอได้เห็นการต่อสู้เมื่อครู่ก็กล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้น
“อวิ๋นเจี๋ยผู้นี้ไม่ธรรมดา!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมดวงตาเผยประกายคมกริบ
ไม่นานนัก 24 สนามรอบแรกก็จบลง ซึ่งผลลัพธ์ไม่เกินความคาดหมาย และผู้ชนะก็ล้วนเป็คนที่เย่เฟิงรู้จัก
ลำดับต่อไป ตู๋กูหลงจะได้เลือกคู่ต่อสู้ก่อนเป็คนแรก จากนั้นเห็นเขาเดินออกมาพร้อมลมปราณแผ่ออกจากร่าง ประหนึ่งาาที่เชิดหน้ามองฝูงชน
“เ้า ออกมาซะ!” ตู๋กูหลงกวาดมอง 24 คน ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจากพรรคเทียนเสวียน และกล่าวเช่นนั้น
เสียงที่เ็านั้นทำให้ผู้ฝึกยุทธ์พรรคเทียนเสวียนคนนั้นตัวสั่นเทา จับฉลากรอบก่อน เขาก็แพ้ให้กับเว่ยจี้ที่เป็คู่ต่อสู้ พอถึงรอบนี้ก็ถูกตู๋กูหลงเลือกอีก ช่างโชคร้ายยิ่งนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็จำต้องเดินออกไป และมองตู๋กูหลงด้วยสายตาหวาดผวา
“ไม่สู้ ข้าขอยอม...” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอยากพูดว่ายอมแพ้ แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นตู๋กูหลงวาดฝ่ามือโจมตีทันที ทำให้เขากระเด็นออกไปพร้อมสีหน้าตื่นใ
ส่วนตู๋กูหลงยังยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับกล่าวว่า “สวะเช่นนี้ยังส่งมาเข้าร่วม พรรคเทียนเสวียนไม่มีคนแล้วหรือ?”
เมื่อกล่าวจบ ตู๋กูหลงเหลือบไปมองเย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ ท่าทางแฝงไปด้วยความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ของพรรคเทียนเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่ตู๋กูหลงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด แต่พวกเขากลับทำได้เพียงอดกลั้น คนของพรรคเทียนเสวียนมีความสามารถไม่เท่าผู้อื่น แล้วพวกเขาจะพูดอะไรได้
ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววเย็นเยือก เขารู้ว่าตู๋กูหลงตั้งใจยั่วโมโหเขา จึงเริ่มลงมือทำร้ายผู้ฝึกยุทธ์พรรคเทียนเสวียน
“ตู๋กูหลงชนะ!” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เหล่าผู้คนต่างหันมามองตู๋กูหลงด้วยความตกตะลึง ตู๋กูหลงสมกับเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แกร่งกล้าไร้เทียมทาน เพียงฝ่ามือเดียวก็ซัดผู้มากฝีมือของพรรคเทียนเสวียนกระเด็นปลิว
ด้านหนึ่งพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตู๋กูหลง ส่วนอีกด้านพิสูจน์ว่าศิษย์พรรคเทียนเสวียนอ่อนแอมากเพียงใด และไม่แปลกเลยว่าทำไมพรรคเทียนเสวียนถึงถดถอย เพราะศิษย์ดี ๆ ในพรรคแทบไม่มีสักคน สมควรแล้วที่จะถดถอยลงเช่นนี้
คนที่สองคือนี่จ้านเทียน เขาเลือกศิษย์พรรคเทียนเสวียนเช่นเดียวกับตู๋กูหลง ทั้งยังซัดอีกฝ่ายด้วยหมัดเดียว
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้คนได้กลิ่นทะแม่ง ๆ สองอัจฉริยะเพ่งเล็งพรรคเทียนเสวียน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือเป้าหมายจะเป็เย่เฟิง?
คนที่สามคือเฉินอ้าวเทียน เขาเลือกศิษย์พรรคเทียนเซียวและเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนเลือกศิษย์พรรคเทียนเสวียนที่เป็ผู้ถูกเลือกไปแล้ว ทั้งยังเอาชนะหมดทุกคน ทำให้เฉินอ้าวเทียนต้องเลือกคนผู้นี้อย่างไม่มีทางเลือก
ต่อจากนั้นเป็เว่ยจี้ เซี่ยโหวิ และจงเทาเองก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ง่าย ๆ เช่นกัน
รอบต่อไปเป็ตาของลู่เจียง คนที่เขาเลือกเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือด้อยกว่าลู่เจียง แต่ได้เปรียบเื่ระดับการบ่มเพาะ ดังนั้นทั้งสองจึงต่อสู้กันอย่างเอาเป็เอาตาย
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ในการต่อสู้นั้นได้มีการพลิกผันเกิดขึ้น อาการาเ็ของลู่เจียงที่เกิดจากการฝึกฝนหนักเกินไปกำเริบกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถต่อสู้และต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก จึงกลายเป็ผู้แพ้
ลู่เจียงเดินกลับไปยังขอบเวทีอย่างไม่เต็มใจพร้อมสีหน้าอึมครึม เขาเป็อัจฉริยะมากฝีมือ แต่กลับพ่ายแพ้เสียได้ ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก จากนั้นลู่เจียงััได้ว่าผู้คนมองมาที่เขา เขาจึงรู้สึกอับอายขายหน้ามาก แต่เมื่อหันไปสายตาก็สบประสานกับสายตาของอวิ๋นเจี๋ย และพบว่าอวิ๋นเจี๋ยกำลังเยาะเย้ยเขา ทำให้เขาโมโหและตวาดเสียงดังว่า “มองหาอะไร? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายเ้า!”
อวิ๋ยเจี๋ยได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แม้เขาจะมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น แต่ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาเช่นนี้กับเขา จากนั้นเขาพูดกับลู่เจียงว่า “เคล็ดวิชาที่ตัวเองฝึกมีปัญหาและยังได้รับาเ็ บัดนี้พ่ายแพ้แล้วโมโหเป็ฟืนเป็ไฟ ไม่ต่างกับหมาบ้าที่กัดคนไม่ปล่อย นี่น่ะหรือเ้าลู่เจียง!”
คำพูดของอวิ๋นเจี๋ยทำให้ลู่เจียงโมโหหนักกว่าเก่า พร้อมกล่าวแผดเสียงะโว่า “สวะ เ้ากล้าดียังไงมาพูดจาเยี่ยงนี้? ชนะแค่หนึ่งตาก็คิดว่าตัวเองสูงส่งแล้วงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าลู่เจียงก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เ้า!”
ถ้อยคำของลู่เจียงเย็นะเื เขาเพิ่งพ่ายแพ้ เพลิงโทสะในใจจึงไม่มีที่ระบาย บัดนี้ได้ระบายใส่อวิ๋นเจี๋ยพอดี
ผู้คนต่างมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น การประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามขั้นรวมชี่นั้นน่าสนใจเป็ที่สุด
“ตอนนี้เ้าบอบช้ำภายใน ข้าอวิ๋นเจี๋ยจะไม่รังแกผู้อ่อนแอ ดังนั้นเ้าควรรักษาาแเสียก่อน หากอยากสู้ รอบต่อไปข้าจะไปหาเ้าเอง!” อวิ๋นเจี๋ยกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยราวกับพูดเื่ธรรมดาทั่วไป เขาให้ลู่เจียงรักษาาแ แล้วรอบต่อไปเขาอวิ๋นเจี๋ยจะเป็ฝ่ายท้าลู่เจียงเอง ซึ่งทุกถ้อยคำของอวิ๋นเจี๋ยล้วนเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจราวกับว่าชะตากรรมของลู่เจียงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว