เงินค่าไถ่ตัวจำนวนห้าสิบตำลึง จากสายตาของเด็กทั้งสอง นั่นคือจำนวนมหาศาล พวกเขาไม่รู้ว่าท่านอาที่ปกติใช้ชีวิตยากจนยิ่งกว่าโจวชุ่ยหลานไปได้เงินเหล่านี้มาจากไหน
เสิ่นม่านเอามือเท้าสะเอวหนึ่งข้างและมองเสี่ยวตง จากนั้นสลับไปมองเสี่ยวหลานที่มีท่าทางหวาดกลัว นางพลันเข้าใจจึงเลิกคิ้วเอ่ย
“ั้แ่ที่โจวชุ่ยหลานยัดพวกเ้าเข้าไปในหออิ๋งชุน นางก็ไม่คู่ควรเป็แม่ของพวกเ้าอีก ตอนนี้ญาติเพียงหนึ่งเดียวของพวกเ้าคือข้ากับต้าเป่า พวกเ้าเข้าใจหรือไม่?”
เด็กทั้งสองพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าขอถามว่า พวกเ้ายินดีจะใช้ชีวิตร่วมกับข้าหรือไม่?”
ทันทีที่สิ้นเสียง เด็กทั้งสองแทบจะเงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ในแววตาเผยประกายวาบขึ้นมา
“พวกเรายินดี!”
สายตานั้น... เหมือนกับสายตาของเด็กน้อยบนยอดเขากันดารที่กำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือบนป้ายโฆษณาตามที่สาธารณะอย่างไรบอกไม่ถูก
เสิ่นม่านทนไม่ไหว จากนั้นขยี้ศีรษะของทั้งสองคนเหมือนกำลังเล่นกับสุนัข “หากยินดีก็ต้องเชื่อฟังข้า วางใจได้ ตอนนี้ข้ามีเงินเลี้ยงพวกเ้าให้อยู่รอดแน่!”
“ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว พวกเ้าแต่งกายเช่นนี้ในฤดูหนาวไม่หนาวหรือ?”
“ถึงเวลาเกิดไม่สบายขึ้นมา ข้ายังต้องเสียเงินซื้อยาให้พวกเ้าอีก พวกเ้าคิดว่าการใช้เงินซื้อยากับซื้อเสื้อผ้า สิ่งใดประหยัดเงินมากกว่า?”
ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะโน้มน้าวเด็กน้อยทั้งสองได้ เสิ่นม่านใช้เงินแปดตำลึงในการซื้อชุดฤดูหนาวให้พวกเขาทั้งสองและต้าเป่า จากนั้นซื้อผ้าอีกหลายม้วน ปุยนุ่นอีกสามสิบชั่ง แล้วก็ซื้อวัตถุดิบอย่างง่ายกับเกลือหยาบอีกเล็กน้อย
เมื่อนำของเหล่านี้ขนขึ้นเกวียนวัวที่เช่ามา คนทั้งหมดก็พากันกลับหมู่บ้าน
ประจวบเหมาะกับเป็เวลาเลิกเรียนในหมู่บ้านพอดี เสิ่นม่านพาเด็กทั้งสองกลับถึงบ้านไม่นาน หนิงโม่กับต้าเป่าก็ตามหลังเข้ามาติดๆ
เด็กทั้งสามห่างกันไปนานครึ่งเดือน พอตอนนี้ได้เจอกันก็แสดงออกถึงความดีใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากได้รับอนุญาตจากเสิ่นม่าน เด็กน้อยทั้งสามก็ออกไปเล่นกันข้างนอก
หนิงโม่เข้ามาเลือกม้วนผ้าที่เสิ่นม่านซื้อมาอย่างเป็กันเอง เขาหยิบผ้าสีดำขึ้นมาทาบบนตัว แล้วเอ่ยอย่างพึงพอใจ
“ผ้าผืนนี้พอใช้ได้ จะตัดชุดให้ข้าหรือ?”
เสิ่นม่านคว้าผ้ากลับมาพร้อมแบมือให้เขา “อยากได้ชุดหรือ? จ่ายมา!”
หนิงโม่เลิกคิ้ว มุมปากยกสูง “ค่าใช้จ่ายประจำวันก็จ่ายให้แล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”
เสิ่นม่านย่อมไม่มีทางบอกกับเขาว่า ทันทีที่นางหันหลังจากเขา เงินเ่าั้ก็ถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งแล้ว ขณะนี้นางกำลังยิ้มอย่างไร้ยางอายที่สุด
“ค่าใช้จ่ายประจำวันก็ต่างหาก เ้าจะตัดชุดก็ต้องใช้เงินนี่นา?”
“คิดเอาเถิด ข้าเป็เพียงมารดาผู้น่าสงสารที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ไม่มีแหล่งรายได้ เ้ายังจะให้ข้าขาดทุนอีกหรือ? เ้ายังเป็คนอยู่หรือไม่?”
ขาดทุน? หนิงโม่หลุดขำ
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอให้ครอบครัวใหญ่หนึ่งครอบครัวใช้ชีวิตปกติไปได้สิบกว่าปี คิดว่าเขาโง่มากหรือ? สตรีผู้นี้หลงใหลเงินทองจนเข้าเส้นเืแล้วแน่ๆ เขาคร้านจะต่อความกับนาง แต่ในมือยังถือผ้าไว้ไม่ยอมปล่อย พร้อมเอ่ยอย่างเฉยเมย
“ข้าไม่มีเงิน”
เขาไม่มีเงินจริงๆ เพราะกังวลว่าระหว่างทางจะเกิดอันตราย เงินของเขาจึงอยู่ที่เยี่ยนชีทั้งหมด ล่าสุดเยี่ยนชีให้เงินสองร้อยตำลึงกับเขา นอกจากค่าใช้จ่ายของตนเองแล้ว ส่วนที่เหลือก็อยู่ในมือของสตรีผู้นี้
ส่วนเวลานี้ เยี่ยนชีเดินทางไปที่อำเภออื่น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนถึงจะกลับมา
“ไม่มีเงิน?” เสิ่นม่านลุกพรวดขึ้น ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนยากจน
ทว่า… นางยิ้มหวาน จากนั้นคว้ามือของเขาเอาไว้ทันที
“มิเป็ไร ชดเชยด้วยเนื้อหนังก็ย่อมได้” สำหรับ ‘เครื่องชาร์จแบตเคลื่อนที่’ ตัวนี้ก็มียังประโยชน์ให้นางใช้สอย
ไม่กี่วินาทีถัดมา อีกฝ่ายเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดพร้อมกับสีหน้าที่ดูไม่จืด จากนั้นถีบนางจนกระเด็นไปไกล เสิ่นม่านที่หนักหนึ่งร้อยหกสิบชั่งปลิวลอยไปกลางอากาศ นางกระแทกโดนประตูแล้วร่วงกองกับพื้นในสภาพแอ้งแม้ง
อั่ก!
หนิงโม่จอมแสบ จำเป็ต้องใช้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้เลยหรือ?! นางแค่้าชาร์จพลังงาน มีความผิดมากนักหรือไง!
“ท่านแม่!”
“ท่านอา!”
เด็กทั้งสามกำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นนางกระเด็นออกมา จึงใและรีบเข้ามาช่วยพยุง
โชคดีที่เสิ่นม่านตัวหนา ส่วนตรงประตูก็มีหญ้าแห้งปูไว้หนึ่งชั้น การกระแทกครั้งนี้จึงเพียงเจ็บสะโพกเท่านั้น นางได้เด็กๆ เข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น
เสิ่นม่านมองไปที่หนิงโม่ ขณะที่กำลังจะะเิอารมณ์ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายสีหน้าขุ่นเคืองแววตาแฝงไอสังหาร
“ข้ามีคนที่หมายใจแล้ว เ้าโปรดสำรวมด้วย”
เสิ่นม่านที่เจ็บก้นจนน้ำตาคลอเบ้า “…”
บาปกรรมชัดๆ!
หนิงโม่เดินตรงออกจากบ้านพร้อมกับเอามือไพล่หลัง เด็กทั้งหลายสะดุ้งกับไอเย็นที่แผ่ซ่านจากตัวหนิงโม่ จนรีบหลบไปข้างๆ พร้อมกับนาง
เสิ่นม่านอ้าปากค้างเหมือน้าพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังคงปิดปาก ต่อไปยังมีโอกาสอีกมากมายให้ใช้ประโยชน์จากเ้านี่ ไม่ควรล่วงเกินเขาในครั้งเดียว
ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วย
เสิ่นม่านลูบก้นและเดินกะเผลกเข้าบ้านไป
ไม่นานหลังจากที่หนิงโม่ออกไป ก็มีคนมาสอดส่องหน้าบ้าน พอมองเข้ามาก็เห็นต้าเป่าที่กำลังเล่นอยู่ คนผู้นั้นจึงโบกมือให้เด็กน้อย
“ต้าเป่า มานี่!”
ต้าเป่ามองไป นั่นคือเหอยวนยางจากบ้านเหอซิ่วไฉ [1] ในหมู่บ้านไม่ใช่หรือ?
ปกตินางมักถือตนว่าเป็ลูกสาวของซิ่วไฉ จึงไม่เคยพูดคุยกับพวกเขามาก่อน ปกติเวลาเจอกันนางก็มักจะกลอกตาพลางเอามือปิดจมูก พร้อมกับเดินอ้อมเขาไปเสมอ
แม้ว่าต้าเป่าจะอายุเพียงสี่ขวบ แต่ก็รู้ว่าปกติแล้วการจะเข้าใกล้นางไม่ใช่เื่ง่าย จึงไม่ค่อยได้สนิทสนมกันมากนัก เขานั่งอยู่ตรงประตูและถามนาง
“พี่ยวนยาง มีธุระอะไรกับข้าหรือ?”
ใบหน้าของยวนยางแดงระเรื่อ สายตาสอดส่องไปทางรอยแยกตรงประตูบ้านเขา ราวกับว่า้าจะมองทะลุเข้าไปให้ได้
นางดึงผ้าเช็ดหน้าและเอ่ยถามอย่างลังเล “ลุงใหญ่เ้าอยู่หรือไม่? ข้ามีบทความที่ไม่เข้าใจ ้ามาขอคำชี้แนะจากเขาหน่อย”
ต้าเป่าไม่ได้สงสัยเป็อื่น จึงชี้ไปทางถนนใหญ่และเอ่ย “เขาเพิ่งออกไปเมื่อครู่ ไม่อยู่บ้าน”
“เอ๋ ไม่อยู่บ้าน...”
เหอยวนยางเผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยและทอดมองไปทางถนนด้วยความเสียดาย ราวกับถูกเกี่ยวิญญาหลุดลอยไปด้วย
“เอาเถิด เช่นนั้นไว้ข้าจะแวะมาใหม่”
หญิงสาวที่ิญญาหลุดลอยจากไป อาการเจ็บตรงสะโพกของเสิ่นม่านก็ดีขึ้นนางจึงเดินเกาะประตูออกมา สิ่งที่เหอยวนยางพูดก่อนหน้านี้ นางยืนอยู่หลังหน้าต่างและได้ยินชัดเจนทุกคำ
คิดๆ ดูแล้วเหอยวนยางอายุใกล้ครบสิบสี่ปี ่วัยรุ่นหนอ ผู้ใดเล่าไม่มีคนที่หมายปองในใจ?
นางแสดงท่าทีของผู้มากประสบการณ์ รอยยิ้มนั้นยากแท้หยั่งถึง
มือน้อยข้างหนึ่งจับขากางเกงนาง เสิ่นม่านก้มศีรษะลง เห็นต้าเป่าอยู่คนเดียว นางหันมองไปรอบลานบ้านก็ไม่เห็นอีกสองคนที่เหลือ จึงเลิกคิ้วถาม
“เหตุใดเ้าถึงอยู่คนเดียว? แล้วอีกสองคนล่ะ?”
ต้าเป่าตอบด้วยน้ำเสียงเด็กน้อย “ท่านแม่ พี่เสี่ยวตงกับพี่เสี่ยวหลานบอกว่า้าช่วยท่านแม่ทำงาน จึงหยิบตะกร้าไปเก็บผักป่าบนเขาแล้ว”
เสิ่นม่านถอนหายใจเบาๆ นางรู้ดีว่าสองคนนั้นคงไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเท่าใดนัก เพิ่งจะหกขวบก็ถูกมารดาขายและถูกคนทรมาน พวกเขาคงกลัวว่าวันหนึ่งจะถูกเสิ่นม่านขายไปอีก จึง้าทำอะไรบางอย่างเพื่อครอบครัว
นางจูงมือของต้าเป่าและเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ต้าเป่า ต่อไปพี่เสี่ยวตงกับพี่เสี่ยวหลานจะพึ่งพาอาศัยเรา นับจากคืนนี้เป็ต้นไป พวกเ้าสามคนนอนด้วยกันที่ห้องปีกตะวันตก เ้ากลัวหรือไม่?”
ต้าเป่ามีความสงสัยไม่กระจ่างฉายขึ้นในแววตา
“เพราะเหตุใด? ข้าอยากนอนกับท่านแม่นะขอรับ”
ตอนนี้ท่านแม่ทั้งใจดีทั้งอ่อนโยน เล่านิทานให้เขาฟังทุกคืน เขา้าไขว่คว้าความอบอุ่นจากมารดาเอาไว้ให้แแ่
เสิ่นม่านเสยผมนุ่มลื่นของเขา “เ้าลองคิดดูสิ พี่ตงกับพี่หลานตอนนี้ไม่มีแม่ พวกเขานอนด้วยกันสองคนย่อมต้องเกิดความหวาดกลัว”
“เ้าไม่อยากอยู่เป็เพื่อนพวกเขาหรือ ก็เหมือนเช่นที่แม่ทำอย่างไรเล่า เ้าก็ลองเล่านิทานมากมายให้พวกเขาฟังและเปิดอกพูดคุยกับพวกเขา พาพวกเขาเดินออกมาจากเงามืด เป็อย่างไร?”
ต้าเป่าเอียงศีรษะ ท่าทางคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่กระจ่าง
“ท่านแม่ อะไรคือเปิดอกพูดคุยหรือ?”
อืม... เอาเถิด เด็กน้อยยังเล็กเกินไป ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น หากพวกเขาทั้งสามนอนห้องเดียวกัน นางเองก็วางใจมากกว่าเดิม
ชาติที่แล้วนางเอาแต่มุ่งมั่นกับการงาน จนไม่เคยได้ผูกสัมพันธ์กับเด็กๆ แต่ชาตินี้กลับต้องมาเลี้ยงเด็กสามคน
ตอนนี้ นางยังต้องเตรียมตัวสำหรับเื่การทำเต้าหู้ จึงไม่มีสมาธิมาดูแลเด็กทั้งสามคนอย่างเต็มที่ ได้แต่รวมพวกเขาไว้ด้วยกันและดูแลคราวเดียว
เสิ่นม่านกำลังคิดจะอธิบายกับต้าเป่าว่าควรจะเปิดอกพูดคุยกับเด็กสองคนนั้นอย่างไร ประตูด้านนอกลานบ้านก็ถูกคนผลักออกอีกครั้ง ครั้งนี้คือหนิงโม่ที่กลับเข้าบ้าน
-----
เชิงอรรถ
[1] ในสมัยโบราณ การสอบเข้ารับราชการของจีนเรียกว่า 科举 อ่านว่า เคอจวี่ แบ่งเป็ทั้งหมด 3 รอบ
รอบที่หนึ่งเรียกว่า 秀才 อ่านว่า ซิ่วไฉ เป็การสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น
รอบที่สองเรียกว่า 举人 อ่านว่า จวี่เหริน เป็การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค
รอบที่สามเรียกว่า 进士 อ่านว่า จิ้นซื่อ ในรอบนี้จะเป็การสอบคัดเลือกหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิจะเป็ผู้ทดสอบด้วยตัวเอง