กลางดึกที่เงียบสงัด มีสายลมพัดผ่าน เพียงไม่นานก็ห่างจากจิ่งฟางกวนมาไกลแล้ว ทั้งสองคนหลบหลีกป้อมรักษาการณ์หลายชั้นจากเทือกเขาจู่เสีย เข้าสู่ป่าใต้พิภพได้อย่างง่ายดาย
ป่าใต้พิภพที่ปราศจากม่านหมอกพิษนั้นไม่ได้ถือว่าสะดวกสบาย เพราะเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารเสียมากกว่า
หลิ่วไป๋เจ๋อแต่งกายด้วยชุดสีดำเดินนำหน้า อูิโยวก็ใส่ชุดสีดำเช่นกัน ทั้งคู่สวมหน้ากาก คนเดินนำยังสวมผ้าคลุมเพื่อปกปิดเส้นผมสีเงินของตนเองไว้ ดูภายนอกแทบจะแยกไม่ออก
“เ้าจะพาข้าไปที่ใด” ในที่สุดอูิโยวก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม
“หุบเขาฟั่นมู่”
“หุบเขาฟั่นมู่หรือ ที่ใดกัน ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน”
หลิ่วไป๋เจ๋อชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ “สถานที่ที่เผ่ามู่อาศัยอยู่”
ทันใดนั้นอูิโยวก็หยุดเดินแล้วคว้าจับหลิ่วไป๋เจ๋อเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็ “เ้าบ้าไปแล้วหรือ! ไปยังหุบเขาฟั่นมู่ในตอนนี้เพื่อรนหาที่ตายหรืออย่างไร”
แม้จะไม่รู้ว่าหุบเขาฟั่นมู่อยู่ที่ใด แต่ก็พอจะทราบว่าหลังจากที่ชนเผ่ามู่ถูกกวาดล้าง สถานที่ที่ชนเผ่ามู่เคยอยู่ก็ถูกสัตว์ปีศาจรุกราน เขาเคยได้ยินจากบิดาว่าใน่ที่ม่านหมอกพิษของป่าใต้พิภพจางหาย ที่ที่สัตว์ร้ายไปรวมตัวกันมากที่สุดก็คือจุดที่ชนเผ่ามู่เคยอาศัยอยู่ สหายเบื้องหน้าคิดจะไปที่นั่นเพียงลำพัง นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังรนหาที่ตายหรือ ไม่ว่าพลังิญญาของเขาจะสูงส่งเพียงใด แต่คนคนเดียวไม่อาจต้านทานการโจมตีจากทั่วสารทิศได้หรอก
หลิ่วไป๋เจ๋อเป็คนใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ทำสิ่งใดย่อมพิจารณาถึงผลที่จะตามมาเสมอ เหตุใดครั้งนี้ถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้
จู่ๆ อูิโยวก็นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายไปช่วยท่านพี่หญิงของเขาเพียงลำพัง ตอนนั้นก็เป็เช่นนี้ ทำไมเวลาเข้ามาในป่าใต้พิภพแห่งนี้เขาถึงได้กลายเป็คนละคนกับยามปกติ
หลิ่วไป๋เจ๋อค่อยๆ หันกลับมา ทั้งสองเผชิญหน้ากันและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“เ้ากลัวหรือ” น้ำเสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อสงบราบเรียบ ทว่าทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความหนักแน่น
“ไป๋เจ๋อ เ้ารู้จักข้าดี ตอนนี้ข้าไม่ได้กำลังล้อเล่น”
หลิ่วไป๋เจ๋อหมุนตัวกลับไปเพื่อหลบหลีกสายตาร้อนแรงของอูิโยว “เ้าก็เหมือนกัน รู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น”
“หลิ่วไป๋เจ๋อ!”
อูิโยวโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาไม่เคยเห็นไป๋เจ๋อดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน
“หากไม่อยากไป จะกลับตอนนี้ก็ยังไม่สาย!”
อูิโยวกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพียงถอนหายใจและก้าวไปด้านหน้า ดึงแขนเสื้อของหลิ่วไป๋เจ๋อพร้อมเอ่ยโน้มน้าว “เ้าช่วยทำตัวให้เป็ปกติได้หรือไม่ ตอนนี้เ้าไม่เหมือนคุณชายใหญ่ที่แสนใจเย็นจากชิงหลิ่วถังเลย”
“แล้วเ้าในยามนี้เหมือนคุณชายอูผู้มาจากหุบเขาไป่หลิงอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อทุ้มต่ำแสดงถึงความกังวล คำพูดของเขาแฝงความนัย แต่น่าเสียดายที่อูิโยวไม่เข้าใจ
สุดท้ายอูิโยวก็ก้มศีรษะยอมแพ้ก่อนจะถอนหายใจ “ในเมื่อเ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะติดตามเ้าไป แต่ต้องรับปากมาก่อนว่าจะไม่เอาตนเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย!”
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือขึ้นลูบหลังศีรษะของอูิโยว ทว่าถูกอีกฝ่ายยกมือปัดออก “ทำเหมือนข้าเป็เด็กอีกแล้วนะ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ถอยกลับไม่ได้แล้ว ข้าไม่มีทางยอมเ้าแน่”
หลิ่วไป๋เจ๋อแย้มยิ้มภายใต้หน้ากาก เขารู้ว่าอูิโยวกังวลเกี่ยวกับตนเอง แต่ก็จำเป็ต้องไปยังหุบเขาฟั่นมู่ ไม่ใช่แค่เพื่อเผ่ามู่และมารดา ถ้าเป็เช่นนั้นจะเดินทางไปเมื่อไรก็ย่อมได้ ทว่าตอนนี้มีเหตุผลที่สำคัญกว่า ทำให้ไม่สามารถละทิ้งแผนการที่วางไว้ได้
“ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองออกเดินอีกครั้ง ระหว่างทางไม่มีอุปสรรคใดๆ ในทางกลับกันก็ดูเป็การเดินทางที่ราบรื่นจนน่าประหลาดใจ สองชั่วยามต่อมาจึงได้หาสถานที่สะอาดเพื่อหยุดพัก หลิ่วไป๋เจ๋อรับถุงน้ำที่อูิโยวส่งมาให้แล้วยกดื่ม ก่อนจะส่งกลับคืนไป
อีกฝ่ายเช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะเทน้ำในถุงหนังเข้าปาก หายใจหอบพร้อมกับเอ่ยถาม “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง”
หลิ่วไป๋เจ๋อตอบ “ราวๆ ครึ่งชั่วยาม”
“เ้าเคยมาที่นี่มาก่อนใช่หรือไม่ ท่าทางเ้าจะคุ้นเคยกับบริเวณนี้มากนะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ตอบ อูิโยวเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอยากรู้คำตอบสักเท่าไร เขามองหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่เบื้องหน้า จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร” หลิ่วไป๋เจ๋อประหลาดใจ
อูิโยวชี้ไปยังเสื้อผ้าของเขา “ข้าไม่เคยเห็นเ้าสวมเสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีขาว พอได้เห็นก็รู้สึกว่าดูแปลกและแตกต่างจากเดิม”
หลิวไป๋เจ๋อจับที่แขนเสื้อของตน เขาไม่ได้สนใจสีของเครื่องแต่งกายเท่าไร เพราะดวงตาไม่สามารถเห็นสีอื่นได้นอกจากดำและขาว ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการสวมใส่ เขาจึงให้ที่คฤหาสน์จัดเตรียมเสื้อผ้าสีขาวเอาไว้ ส่วนเื่ที่ว่าเหตุใดวันนี้จึงสวมชุดสีดำนั้นก็เพราะเพื่อความสะดวก หากสวมเสื้อผ้าสีขาวเดินทางในสถานที่เช่นนี้จะสะดุดตาเกินไป
“แล้วต่างกันอย่างไรหรือ” หลิ่วไป๋เจ๋อไม่เคยสนใจภาพลักษณ์ตนเองในสายตาของคนอื่นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้เขาอยากรู้ว่าในสายตาของอูิโยว การเปลี่ยนแปลงนี้จะได้รับความใส่ใจเพียงใด
อูิโยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “จะพูดอย่างไรดีล่ะ ข้าเห็นภาพลักษณ์ในยามปกติของเ้าจนคุ้นชิน แต่จู่ๆ เ้าดันเปลี่ยนไปเช่นนี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ทว่าข้ายังชอบให้เ้าแต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดอยู่ดี”
หลิ่วไป๋เจ๋อััเสื้อผ้าของตนพลางครุ่นคิด “ขาวและดำต่างกันอย่างไร เปรียบดังน้ำใสไร้เจือปนทั้งนั้น หรือสีขาวจะต้องเป็ตัวแทนของความสะอาด บริสุทธิ์ ส่วนสีดำแทนความสกปรกชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ”
คำพูดของอีกฝ่ายทำอูิโยวตะลึง ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
จริงด้วย...ใครเป็คนกำหนดสิ่งเหล่านี้กัน แม้จะได้รับการยอมรับเพราะสืบทอดกันมานาน แต่จากคำพูดของหลิ่วไป๋เจ๋อก็ทำให้อูิโยวรู้สึกว่านี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ไปต่อเถอะ!”
ทั้งคู่ออกเดินทางอีกครั้ง อูิโยวติดตามอยู่ด้านหลังหลิ่วไป๋เจ๋อเช่นเดิม เขามองไปยังร่างที่คุ้นเคย มักรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
สำหรับเขาหลิ่วไป๋เจ๋อยังคงเป็หลิ่วไป๋เจ๋อคนเดิม แต่เมื่อเผชิญกับสิ่งต่างๆ มากมายในเวลานี้ ทำให้เขาไม่ได้เป็เพียงแค่เด็กเหมือนเมื่อก่อน
ครึ่งชั่วยามต่อมาทั้งสองก็หยุดเดินอีกครั้ง มองไปยังทางเข้าหุบเขาเบื้องหน้าที่มาเมื่อไม่กี่วันก่อน อูิโยวเข้าใจในทันที “ข้างในนั้นคือหุบเขาฟั่นมู่หรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า “ใช่”
“แต่...” อูิโยวเหลือบมองไปยังด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นใช้เวลาเดินทางจากที่นี่กลับไปยังเทือกเขาจู่เสียไม่ถึงสองชั่วยาม ระหว่างทางยังพบกับอวิ๋นฉี่ที่เข้ามาขวาง ทว่าวันนี้ไม่เพียงแค่ใช้เวลามากกว่าสองชั่วยาม เส้นทางที่ใช้ก็ยังไม่ใช่เส้นทางเดิมกับในวันนั้น
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้อธิบายสิ่งใด แต่เดินตรงไปยังทางเข้าหุบเขา
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงชัดเจน ทุกครั้งที่นึกถึงภาพของหลิ่วไป๋เจ๋อที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวโบราณ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยเื อูิโยวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมา ตาดำและตาขาวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดง
หลิ่วไป๋เจ๋อหันกลับมา วางนิ้วลงตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ความรู้สึกเย็นไหลเข้ามาในหัว ทำให้อูิโยวได้สติขึ้นมา
“เดินตามมาดีๆ อย่าคิดอะไรไร้สาระ!”
อูิโยวไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิ่วไป๋เจ๋อใช้วิธีใดทำให้ตนได้สติ
เขายกมือขึ้นยีหัวด้วยท่าทีประหม่า “รู้แล้ว”
ทันใดนั้นอูิโยวก็เอื้อมมือไปหยิบพืชชนิดหนึ่งจากผนังหุบเขา ในตอนที่กำลังจะพินิจดูกลับถูกหลิ่วไป๋เจ๋อหยุดเอาไว้ก่อน “กลั้นหายใจ”
เขาเข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใดจึงรีบกลั้นหายใจ เมื่อมองดูให้ชัดอีกครั้งก็พบว่านั่นคือหญ้าที่รู้จักเป็อย่างดี
“ห่วนซินเฉ่าหรือ” ในที่สุดอูิโยวก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนเองถึงได้ใจลอย ห่วนซินเฉ่านี้เป็หญ้าจิติญญาระดับล่าง หากไม่ระมัดระวังอาจถูกมันรบกวนจิตใจได้โดยง่าย
สาเหตุที่มันถูกเรียกว่าห่วนซินเฉ่าหรือหญ้าลวงใจก็เพราะว่าสามารถปล่อยลมหายใจที่ไร้กลิ่นและสี ซึ่งสามารถกระตุ้นจิตใจของมนุษย์ได้ ในระดับที่ไม่รุนแรงจะทำให้เห็นภาพหลอนและหลับไป แต่หากเป็ระดับรุนแรงก็อาจทำให้คนผู้นั้นเสียสติและถูกครอบงำ ห่วนซินเฉ่านั้นมีลักษณะเหมือนหญ้าธรรมดาทั่วๆ ไป จึงทำให้แยกแยะได้ยาก ทว่าหญ้าชนิดนี้ไม่ค่อยขึ้นรวมกันมากนัก จะมีเพียงหนึ่งถึงสองต้นที่อยู่รวมกัน ถึงเจอหญ้าชนิดนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง อย่างมากก็แค่ทำให้ผู้ที่ผ่านไปมาหลับใหลเท่านั้น
อูิโยวหันมองไปรอบๆ ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับตะลึง
“เหตุใดจึงมีมากมายเช่นนี้” ทั่วทั้งหน้าผาปกคลุมไปด้วยห่วนซินเฉ่า
“ไป!”
การไม่อยู่ในที่เช่นนี้นานๆ ถือเป็การดีที่สุด ดังนั้นหลิ่วไป๋เจ๋อจึงรีบดึงอูิโยวออกไปอย่างรวดเร็วแล้วเดินเข้าสู่หุบเขา ทันทีที่อูิโยวก้าวเข้ามาในหุบเขาก็สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
“เหตุใดจึงมีห่วนซินเฉ่ามากมายเช่นนี้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย” อูิโยวอ้าปากหอบหายใจ ในขณะเดียวกันก็มองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ อีกฝ่ายยืนตรงหันหน้าไปทางหุบเขา ดูเหมือนเขาจะไม่เป็อะไรเลย
“เ้าไม่ได้กลั้นหายใจหรือ” อูิโยวมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
“ห่วนซินเฉ่าไม่ส่งผลอะไรต่อข้า”
“เป็ไปได้อย่างไร แม้จะเป็หญ้าจิติญญาระดับต่ำ แต่ห่วนซินเฉ่าก็ทำให้ทุกสรรพสิ่งเคลิบเคลิ้มได้ พืชบางชนิดยังไม่อาจเลี่ยงผลกระทบนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่ส่งผลอะไรกับเ้า”
“ข้าก็ไม่รู้ ไม่สามารถตอบเ้าได้”
อูิโยวบ่นในใจ “แค่พิเศษหน่อยก็ยอดเยี่ยมกว่าผู้อื่นแล้วอย่างนั้นหรือ ฮึ! ข้าไม่เชื่อ!”
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้นึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ตอนที่เขาพบสถานที่แห่งนี้ ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าทางเข้าหุบเขาเต็มไปด้วยห่วนซินเฉ่า ซึ่งส่งผลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนที่เขามองเห็นหลิ่วไป๋เจ๋อยืนอยู่ใต้ต้นหลิว ร่างกายอีกฝ่ายอาบย้อมไปด้วยเื ทำให้เขาไม่อาจควบคุมตนเอง เื่ราวหลังจากนั้นแม้จะจำไม่ได้ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
“หลิ่วไป๋เจ๋อ เ้าบอกข้าที วันนั้นที่มาที่นี่ข้าก่อเื่อะไรไปใช่หรือไม่ แม้จะจำไม่ได้แต่หากห่วนซินเฉ่าส่งผลต่อข้า ข้าคงทำเื่ที่ไร้เหตุผลแน่นอน วันนั้นข้าทำร้ายเ้าใช่หรือไม่”
อูิโยวคาดเดาการกระทำของตน นั่นต้องเกิดขึ้นเพราะผลกระทบจากห่วนซินเฉ่าเป็แน่ หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ว่าห่วนซินเฉ่าส่งผลอะไร แต่ในวันนั้นต้นตอมาจากพลังประหลาดที่อูิโยวแอบฝึกฝน ซึ่งไม่อาจบอกใครได้ แต่หากอีกฝ่ายคิดว่าตนเองเสียสติเพราะผลกระทบจากห่วนซินเฉ่า เขาก็ไม่จำเป็ต้องปิดบังอีกต่อไป
“ถึงเ้าจะสูญเสียการควบคุมก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสม เหตุใดจะต้องทำร้ายข้าด้วยล่ะ”
อูิโยวพลันโกรธขึ้นมา “เ้าพูดอะไร นี่กำลังดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ!”
————————————————
