ไป๋หยุนเฟยเดินกลับโรงเตี๊ยมด้วยท่าทีเหม่อลอย หลังจากเข้าห้องก็กระแทกประตูปิดโครมจากนั้นก็ปราศจากเสียงใดอีก
หนึ่งชั่วยามต่อมา ไป๋หยุนเฟยจึงออกจากห้องอีกครั้ง สีหน้ามันกลับไม่มีวี่แววยินดีแม้แต่น้อย ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วแแ่เดินอยู่บนถนน หลังจากเดินเตร็ดเตร่โดยไร้จุดหมายอยู่ชั่วน้ำเดือด จู่ๆชายหนุ่มก็พุ่งกายเข้าไปในตรอกแล้วสาบสูญไป
กระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา ไป๋หยุนเฟยจึงกลับโรงเตี๊ยมขังตนเองอยู่ในห้องอีกครั้ง
ก่อนถึงยามต้นครึ่งชั่วยาม(สิบแปดนาฬิกา) เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นปลุกไป๋หยุนเฟยที่กำลังนั่งเข้าสมาธิฝึกปรือวิชาบนเตียงให้รู้สึกตัว จากนั้นเสียงร้องเรียกจากเสี่ยวหนิงก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
ไป๋หยุนเฟยเปิดประตูทักทายนางไม่กี่คำก็ติดตามเสี่ยวหนิงออกจากโรงเตี๊ยมไป
……
เนื่องเพราะวันนี้มีเมฆครึ้ม รอบข้างจึงมืดไปบ้างอีกทั้งบนถนนผู้คนก็บางตา ไป๋หยุนเฟยััได้ถึงลมเย็นะเืที่พัดมากระทบใบหน้า
ไม่นาน ไป๋หยุนเฟยก็ติดตามเสี่ยวหนิงไปถึงภัตตาคารแห่งหนึ่งบนถนนสายตะวันตก หลังจากขึ้นไปบนชั้นสองและผลักเปิดประตูเข้าห้องไปก็เห็นหลิวเมิ่งนั่งอยู่ด้านในกับชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมอายุราวสี่สิบ
เมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยเข้ามาในห้อง หลิวเมิ่งแสดงสีหน้ายินดีรีบเดินไปที่ข้างกายพร้อมกับกล่าวต่อชายวัยกลางคนว่า “บิดา นี่คือหยุนเฟย เป็ผู้ฝึกปรือิญญาที่บรรลุด่านวีรชนิญญาระดับกลาง!”
กล่าวจบก็ฉุดดึงมือไป๋หยุนเฟยอย่างแ่เบา นำมันไปนั่งที่โต๊ะก่อนจะกล่าวว่า “หยุนเฟย นี่คือบิดาข้านามว่า หลิวเอียน”
ไป๋หยุนเฟยมองดูชายวัยกลางคนที่กำลังพิจารณาดูตนเอง จากนั้นก้มศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านลุงหลิว”
หลิวเอียนรั้งสายตากลับ และกล่าวพลางพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ไม่เลว แม้ดูจากภายนอกจะไม่โดดเด่น แต่ก็เป็คนสุขุมรอบคอบ นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
หลังจากหลิวเอียนยกย่องตามมารยาทก็ไม่กล่าวอันใดอีก เพียงหันไปมองหลิวเมิ่งที่ด้านข้าง แล้วบอกแก่เสี่ยวหนิงว่า “ยกอาหารมา เราเร่งรุดเดินทางมาทั้งวันจึงหิวโหยอยู่บ้าง”
เสี่ยวหนิงส่งเสียงรับคำ จากนั้นทั้งห้องก็กลายเป็เงียบงันกระอักกระอ่วน
ไป๋หยุนเฟยก้มศีรษะลงราวกับไม่ทราบต้องกล่าวอันใด หลิวเอียนก็ก้มศีรษะลงเช่นกัน ราวกับ้าพักผ่อนให้หายเหน็ดเหนื่อยจากการกล่าววาจา
ที่ด้านข้าง หลิวเมิ่งแลดูกระวนกระวายไม่น้อย เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศลงนางจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ถามหลิวเอียนถึงกิจการต่างๆ ไป๋หยุนเฟยก็ไม่เข้าใจเื่ราวเหล่านี้แม้แต่น้อยจึงได้แต่นั่งฟังพวกนางสองพ่อลูกถกถึงเื่ราวเช่น ปริมาณสินค้า การขึ้นราคาสินค้าในแต่ละเมืองหรือความสูญเสียเพราะจัดหาสินค้าไม่ทันการ
ครู่ต่อมา ยามที่อาหารทั้งหลายถูกยกมาที่โต๊ะ หัวข้อสนทนาของทั้งคู่จึงกลายเป็พูดถึงมารดาของหลิวเมิ่ง หลิวเมิ่งพยายามพูดกับไป๋หยุนเฟยหลายครั้งหวังให้มันร่วมสนทนาด้วย แต่ดูเหมือนมันไม่ทราบจะกล่าวอันใดจึงได้แต่ตอบคำถามอย่างคลุมเครือ
“จริงสิ หยุนเฟย ดูเหมือนท่านไม่เคยเอ่ยถึงครอบครัวมาก่อน ครอบครัวท่านอยู่ที่ใด? ไฉนท่านจึงไม่เคยกล่าวถึงบิดามารดา?” เห็นท่าทีว้าวุ่นของไป๋หยุนเฟย หลิวเมิ่งจึงเอ่ยปากถาม
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะตอบคำ “ข้าเป็กำพร้า เริ่มติดตามท่านอาจารย์ั้แ่ยังเล็ก”
“โอ... ข้าขออภัย” หลิวเมิ่งค่อยทราบว่าเอ่ยถึงเื่ราวที่สร้างความเศร้าเสียใจแก่ไป๋หยุนเฟยจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มิน่าเล่า ฝีมือท่านจึงร้ายกาจนัก ที่แท้ท่านก็ฝึกฝีมือกับอาจารย์มาั้แ่ยังเล็ก นั่นต้องยากลำบากอย่างยิ่งกระมัง? ท่านช่างแน่วแน่นัก”
“อืม บรรลุระดับกลางด่านวีรชนิญญาด้วยวัยเพียงสิบแปด นับว่ามีพร์เหนือกว่าผู้ฝึกปรือิญญาทั่วไปอยู่บ้าง แต่ทว่าเพียงเท่านี้...” ได้ยินหลิวเมิ่งกล่าวยกย่องไป๋หยุนเฟย หลิวเอียนก็ขมวดคิ้วพลางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“บิดา ไฉนท่านจึงกล่าวเช่นนี้?” หลิวเมิ่งดูเหมือนจะร้อนใจอยู่ไม่น้อย “ระดับพลังิญญาไม่ใช่ฝีมือทั้งหมดของหยุนเฟยเท่านั้น เขา...”
“เ้าจะพูดถึงวัตถุิญญาพิเศษทั้งสองชิ้นนั้นอีก?” หลิวเอียนกล่าวตัดบทพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “บิดาไม่ได้เป็ผู้ฝึกปรือิญญา แต่ก็รู้จักกับตระกูลจางแห่งสำนักธารน้ำแข็งมาหลายปีจึงพอทราบอยู่บ้าง ไม่มีวัตถุิญญาพิเศษอันใดทั้งนั้น อย่าได้กล่าวเหลวไหลถึงสิ่งที่เรียกว่าวัตถุิญญาพิเศษเพื่อยกยอสหายเ้า!”
“บิดา มิใช่เช่นนั้น หยุนเฟยมีอยู่จริงๆ...”
“หากว่ามีแล้วอย่างไร? ก็เพียงสิ่งของที่รับมอบมาจากอาจารย์มันเท่านั้น!” หลิวเอียนกล่าวตัดบทหลิวเมิ่งอีกครั้ง.
“อย่าพูดอีกเลย... ข้าวิงวอนท่าน อย่าพูด...” ไป๋หยุนเฟยหดศีรษะลง แม้ภายนอกสีหน้ามันจะสงบนิ่ง แต่ในใจมันกำลัง‘วิงวอน’อยู่ไม่หยุดยั้ง
“ไฉนไม่ได้? อาจารย์หยุนเฟยสร้างมันขึ้นมา ในฐานะศิษย์หยุนเฟยย่อมต้อง...” เสียงของหลิวเมิ่งดังขึ้น ฟังจากน้ำเสียงราวกับกำลัง‘แก้ต่าง’ให้ แต่ในใจของไป๋หยุนเฟยแล้วคำพูดแต่ละคำของนางราวกับเข็มแหลมนับพันเล่มที่ทิ่มแทงใส่หัวใจของมัน
“หยุนเฟย ที่จริงแล้ว... ท่านก็สามารถสร้างวัตถุิญญาเช่นนั้นได้กระมัง?” หลิวเมิ่งกุมมือขวาไป๋หยุนเฟยด้วยมือที่ขาวนวลดั่งหยกนุ่มนิ่มราวไร้กระดูกพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขณะมองดูมันด้วยสีหน้าคาดหวัง
ไป๋หยุนเฟยปิดตาเงียบงัน ขณะที่ััถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านบนมือ ‘ความอบอุ่น’ที่สมควรหวานละมุนและทำให้มันรู้สึกเบิกบานนี้กลับกลายเป็ความรู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูกยามที่ลุกลามเข้าสู่หัวใจ แช่แข็งหัวใจมันจนกลายเป็กระด้างเ็า...
จากนั้นไป๋หยุนเฟยจึงเงยหน้าขึ้น ยามที่สบสายตาที่มุ่งหวังของหลิวเมิ่งแก้วตาก็หดวูบ แทนที่จะตอบคำถามมันกลับเอ่ยปากถามอย่างสงบนิ่ง “เมิ่งเอ๋อร์ ท่านจำวันที่ท่านถูกคนตระกูลหลงคร่ากุมตัวไปได้หรือไม่? วันนั้นเป็ท่านที่บอกชื่อข้าต่อหลงเทากู่กระมัง?”
“โอ? หยุนเฟยไฉนท่านจู่ก็ถามเช่นนี้?” หลิวเมิ่งสะดุ้งก่อนจะกล่าวอย่างไม่นำพา “วันนั้น ข้าถูกพวกมันคร่ากุมไป ด้วยความร้อนรุ่มจึงเอ่ยชื่อท่านออกไปบอกว่าท่านจะมาช่วยข้า... หรือท่านโกรธเคืองข้าเื่นี้?”
ไป๋หยุนเฟยแย้มยิ้มสั่นศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับหลิวเอียนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม “ท่านลุง อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของเมิ่งเอ๋อร์แล้ว ท่านจะยินยอมให้ข้าอยู่ร่วมกับนางจนกว่าจะถึงวันเกิดค่อยพานางกลับไปได้หรือไม่?”
“ว่ากระไร?” หลิวเอียนราวกับตื่นตะลึงกับคำขออย่างกะทันหันและปรายตามองหลิวเมิ่งด้วยความสับสน หลังจากใคร่ครวญชั่วครู่จึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “นี่จะได้อย่างไร? ข้ารับปากมารดาเมิ่งเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะพานางกลับบ้าน อีกอย่าง...”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” เสียงหัวร่อของไป๋หยุนเฟยดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดหลิวเอียน จากนั้นเสียงหัวร่อค่อยๆเปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เปี่ยมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ไป๋หยุนเฟยยังคงก้มศีรษะต่ำ ไหล่สองข้างสั่นสะท้านไม่หยุดพร้อมกับเสียงหัวร่อของมันที่แฝงความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง
มือหลิวเมิ่งจู่ๆก็กลายเป็ว่างเปล่า ความนุ่มนวลที่เคยััพลันหลุดลอยไป หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นล่าถอยออกไปสองก้าวพร้อมกับมองดูไป๋หยุนเฟยด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “ท่าน...ท่านทราบแล้ว?”
ไป๋หยุนเฟยหยุดหัวเราะลง จากนั้นเงยหน้าขึ้นจับจ้องหลิวเมิ่งด้วยรอยยิ้มอันคลุมเครือ “ข้าทราบอันใด?”
“ท่านหมายถึง ข้าทราบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่บิดาท่าน หรือทราบว่าอาหารมื้อนี้ที่จริงเป็กับดัก หรือทราบว่าที่ท่านเข้าหาก็เพียงเพื่อจะหลอกลวงข้า?”
ไป๋หยุนเฟยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถามแรกก็เอ่ยปากสืบต่อ คำพูดเหล่านี้ทำให้สีหน้าหลิวเมิ่งแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
