่เช้าแขกที่มาหนึ่งระลอกเป็การมาแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ
่บ่ายที่มาระลอกนี้เป็ความอิจฉาริษยาตาร้อน นอกเหนือจากนี้ยังเอาเปรียบอีกด้วย
คนเทียบคน ช่างทำให้คนโมโหโดยแท้จริง [1]
เจินจูมองเงียบเชียบอยู่นานมาก ตอนเจี่ยงจินไฉเดินชมลานบ้าน ลูกตาเอาแต่กลอกไปมา แล้วยังชะโงกมองไปทางห้องที่ไม่มีคนอีกบ่อยๆ บางครั้งในดวงตาที่มองไปที่บิดาของนาง ปิดบังความริษยาและความโลภไว้ไม่ได้เลย ไม่มีท่าทางของความสุภาพสมบัติผู้ดีเลยสักนิด
บุตรชายสองคนของเขาที่ติดตามอยู่ข้างหลัง ท่าทางยื่นศีรษะเข้าไปดูเป็ครั้งคราวเช่นกัน โชคดีที่ในสายตาไม่ได้มีความโลภและความเกลียดชังด้วยใจริษยาจนทำให้คนระอาเช่นนั้น
เจินจูแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน เดินเข้าไปภายในห้องและนั่งลงข้างกายหลี่ซื่อ
“ท่านแม่ ท่านตั้งครรภ์อยู่ งานเย็บปักถักร้อยพวกนี้ทำน้อยลงหน่อย เดี๋ยวจะเสียสายตาเอาได้นะเ้าคะ”
หลี่ซื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองนางอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “เย็บชุดตัวเล็กสักชุดจะเสียสายตาอะไรกัน เมื่อก่อนที่ท้องเ้ากับผิงอัน ไม่ใช่ว่ายังเย็บชุดตัวเล็กให้พวกเ้าทุกวันหรือ”
นางมองบุตรสาวอย่างทอดถอนใจ ชั่วพริบตาเดียวเด็กทารกตัวน้อยก็เติบโตกลายเป็แม่นางน้อยร่างบางสง่างามแล้ว
“โธ่ น้องสะใภ้รอง เจินจูกล่าวได้ถูกนัก เมื่อก่อนเพราะที่บ้านไม่เอื้ออำนวยถึงได้ทำเช่นนั้น ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เ้าเป็ฟู่เหรินที่มีฐานะแล้ว ข้าได้ยินมาว่าที่ริมฝั่งแม่น้ำผืนนั้นของพวกเ้า จะเตรียมสร้างลานบ้านและสวนดอกไม้ผืนใหญ่ รอให้พื้นที่ทำเสร็จก็ไม่ใช่ว่ากลายเป็จวนของครอบครัวร่ำรวยแล้วหรือ? พอถึงตอนนั้นนะ ซื้อคนรับใช้หญิงและเด็กรับใช้ เ้าก็กลายเป็ฮูหยินอย่างเป็ทางการแล้ว” หูชิวเซียงยิ้มแล้วกล่าวประจบ
“นั่นน่ะสิ ท่านน้าสะใภ้รอง ครอบครัวท่านมีเงินมากขึ้นแล้ว อย่าลืมข้ากับท่านแม่ล่ะ ข้าน่ะหลานสาวของญาติสนิทท่านเลยนะเ้าคะ” เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนกล่าวคล้อยตามด้วยเสียงออดอ้อน
รอยยิ้มแห้งๆ มุมปากของหลี่ซื่อปรากฏบนใบหน้า “พี่ใหญ่กล่าวอะไรกัน อะไรฮูหยินไม่ฮูหยิน อย่าตื่นเต้นเอะอะเรียกไป ครอบครัวพวกเราหาเงินได้เล็กน้อย แต่ เงินที่หาได้ล้วนเป็ความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก จะกลายเป็ครอบครัวร่ำรวยอะไรได้เล่า”
“โธ่ น้องสะใภ้รอง พวกเราคนกันเองไม่ต้องพูดจาเกรงใจ ครอบครัวเ้าหาเงินได้ไม่หลบซ่อนปิดบัง บ้านนี้กับโรงเรียนสองหลังของเ้าใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองไปเท่าไร? ยังมีลานบ้านที่กำลังก่อสร้างเ่าั้ที่ต้องใช้จ่ายเงินไปอีกตั้งเท่าไร? เงินมากมายเพียงนั้น ยังบอกว่าเงินหามาอย่างยากลำบากอะไรกัน เ้าไม่อยากให้ความช่วยเหลือพี่ใหญ่ก็กล่าวตามตรง ไม่จำเป็ต้องแสร้งลำบากยากจนหรอก” หูชิวเซียงคิดถึงโรงเรียนสองหลังที่กว้างขวางสว่างไสวนั่นก็โกรธ มีเงินไม่ให้พี่สาวของตนเองใช้ เอามาสร้างโรงเรียนไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร นับเป็พี่สาวน้องชายที่ชิดใกล้แบบไหนกัน
สีหน้าหลี่ซื่อซีดขาวทันที ลมหายใจ่หน้าอกแปรปรวนไปพักหนึ่ง
“ท่านป้า เงินที่ครอบครัวข้าหามา อยากจะใช้อย่างไรก็เป็เื่ของครอบครัวข้า อยากใช้จ่ายกับตรงไหนก็ใช้จ่ายกับตรงนั้น ไม่ว่าจะสร้างโรงเรียนหรือสร้างลานบ้าน ล้วนไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ส่วนความช่วยเหลือต่างๆ คำพูดเหล่านี้ท่านสามารถไปพูดคุยกับท่านย่าได้ เหอะ... ดูว่าท่านย่าจะตอบท่านอย่างไรนะเ้าคะ” เจินจูลูบแผ่นหลังของหลี่ซื่อปลอบโยนเบาๆ เพื่อสงบอารมณ์ที่ตื่นเต้นให้ลดลง
หูชิวเซียงสีหน้าเปลี่ยนทันที ดวงตาที่มองเจินจูครึ้มลงไป ใช่แล้ว... ได้ยินว่า เื่มากมายของครอบครัวน้องรองล้วนตัดสินใจโดยเด็กสาวผู้นี้ รวมถึงจัดตั้งโรงเรียนกับสร้างลานบ้านอะไรนี้ด้วย
เช่นนั้นก็หมายความว่า ถ้าอยากได้เงินจากครอบครัวน้องรองก็ต้องผ่านเด็กสาวน่าตายผู้นี้ก่อน
หูชิวเซียงฉีกมุมปากขึ้น กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่เป็ธรรมชาติ “โธ่ เจินจูเอ๋ย เ้าจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก ป้าเป็ผู้าุโของเ้า มีที่ไหนกันมาพูดจาเช่นนี้กับผู้าุโ นี่ช่างอกตัญญูมากเลย เ้าเป็เพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง ไม่ยอมคนเช่นนี้ต่อไปชื่อเสียงจะไม่ดีเอานะ”
จิตใจหลี่ซื่อที่เพิ่งสงบลง เต้นกระหน่ำเพิ่มขึ้นมาพร้อมกับคำพูดของหูชิวเซียงอีกครั้ง นางดึงแขนเสื้อเจินจู “เจินจู อย่าพูดกับท่านป้าเ้าเช่นนี้”
หูชิวเซียงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็ลำพองใจขึ้น เด็กสาวตัวน้อยน่ะจัดการง่ายนักเชียว โดยเฉพาะเด็กสาวที่ยังไม่เป็ฝั่งเป็ฝา ้าหน้าตาและชื่อเสียง ขู่ให้ใกลัวไปสักหน่อยก็รู้จักหวาดกลัวแล้ว
เจินจูชำเลืองมองหูชิวเซียงแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วขึ้น ทีอย่างนี้กลับสร้างภาพเป็ผู้าุโ
“ท่านป้า ครั้งก่อนที่เอาเงินของท่านพ่อข้าไป ไม่พอใจเพราะน้อยเกินไปกระมัง จึงมาร้องไห้ไปพลางขอร้องไปพลางแล้วคืนเงินกลับมา”
ท่าทางของเจินจูราวกับจะยิ้มไม่ยิ้ม แต่กลับแฝงไว้ด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยคำถากถาง
“เ้า…” หูชิวเซียงโมโหจนตัวสั่น แต่พูดอะไรไม่ออก
“ท่านป้า การวางตัวของคน ต้องรู้จักประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ครอบครัวข้าน่ะ แม้ตอนนี้ยังเป็ครอบครัวชาวนาเล็กๆ แต่ว่านะ... พวกข้าติดต่อทำการค้าขายกับเ้าของร้านในเมือง รายได้ไม่น้อยและได้อย่างแน่นอนทุกปี ส่วนโรงเรียนที่อบรมสั่งสอนนักเรียนซึ่งจะเป็ซิ่วฉายในวันข้างหน้า ล้วนได้รับบุญคุณของครอบครัวข้า ต่อไปบ้านข้านับวันจะยิ่งมีชื่อเสียงและความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง พวกท่าน… เพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ แล้วอยากหักหน้าครอบครัวข้าอย่างเปิดเผยหรือเ้าคะ?” เจินจูเอ่ยเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน
หูชิวเซียงสะดุ้งโหยงทันที ในใจพลันสำนึกขึ้นได้
ใช่แล้ว นี่นางกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมถึงส่งเสียงเอะอะโวยวายกับครอบครัวน้องรองขึ้นเวลานี้ได้ ยัยเด็กนี่กล่าวได้ถูกต้อง ต่อไปครอบครัวฉางกุ้ยนับวันอาจยิ่งร่ำรวยมากขึ้น ตอนนี้นางคิดแต่จะให้ได้เงินเล็กน้อย ก็ผิดใจกับแม่ลูกสองคนนี้แล้ว เช่นนั้นไม่ใช่ว่าได้ไม่คุ้มเสียหรือ
“ฮ่าๆ… ดูเ้าเด็กนี่ ป้าแค่หยอกล้อเ้าเล่นเอง เ้าทำเป็จริงเป็จังไปได้” หูชิวเซียงรีบหัวเราะทันที กล่าวเสริมคำที่พลั้งปากเอ่ยเมื่อครู่ “น้องสะใภ้รอง เจินจูของเ้าทั้งเฉลียวฉลาดทั้งสดใสจริงๆ ดูรูปร่างเล็กนี่สิ รอตอนนางปักปิ่นแล้วเกรงว่าแม่สื่อมาสู่ขอจะเหยียบธรณีประตูบ้านเ้ากันเสียจนเรียบเลยล่ะ”
หูชิวเซียงมองเด็กสาวฝั่งตรงกันข้ามที่มีสีหน้าเฉยเมยอย่างเต็มไปด้วยความซับซ้อนทั่วดวงตา ไม่กี่ประโยคนั้นก็ทำให้นางละทิ้งจิตใจที่ฮึกเหิมลงได้ แล้วนางก็ทำได้เพียงคล้อยตามความคิดเห็นของเด็กสาว ทำให้ต้องกล่าวเสริมเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนอยู่ด้านข้างฟังความหมายที่แฝงอยู่ออก การค้าขายของครอบครัวท่านน้ารองยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่โต โรงเรียนที่เริ่มก่อตั้งขึ้นต่อไปอาจมีนักเรียนสอบบัณฑิตเด็กหรือซิ่วฉายออกมาได้ หากตอนนี้มารดาของนางล่วงเกินน้าสะใภ้รองกับลูกผู้น้องเข้า เช่นนั้นวันข้างหน้าก็อย่าได้คิดอาศัยบารมีของครอบครัวท่านน้ารองอีกเลย
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนก็ฉลาดเฉียบแหลมเช่นกัน รีบทำตามผู้เป็มารดาขึ้นทันที “ท่านน้าสะใภ้รอง น้องสาว ท่านแม่ข้านิสัยตรงไปตรงมา พูดจาไม่ค่อยรู้เื่ พวกท่านอย่าตำหนินาง พวกเราล้วนเป็คนครอบครัวเดียวกันนี่ มักมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ใช่ไหมล่ะ”
ท่าทางของสองแม่ลูกเปลี่ยนไปฉับพลัน หลี่ซื่อมองบุตรสาวของตนเองอย่างไม่สบายใจ พูดสองสามประโยคก็จัดการพวกนางได้แล้ว หลี่ซื่อไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรทุกข์ใจดี
ช่างเฉลียวฉลาดเกินไป จิตใจก็หนักแน่น ความรับผิดชอบก็มาก
เวลาอาหารเย็น คนทั้งบ้านเก่าสกุลหูก็มาด้วยอย่างพร้อมเพรียง และยังคงตั้งโต๊ะจำนวนสองตัวเช่นเดิม
ทานอาหารเย็นจบไปด้วยบรรยากาศสุขสงบ
เจี่ยงเจียเซิ่งกับเจี่ยงเจียเฉียงพยุงหนังท้องกลมดิกจากบ้านสกุลหูกลับไป กับข้าวบนโต๊ะเลี้ยงช่างอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ หลังสองพี่น้องนั่งบนโต๊ะ ปากก็ไม่หยุดทานเลย ทานกันจนหนังท้องเกือบกางแตก ถึงวางตะเกียบในมือลงด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็อย่างมาก
เจี่ยงจินไฉก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเสียเท่าไร เนื้อหนึ่งคำสุราหนึ่งอึก ทานจนวิ่งไปเข้าห้องส้วมอยู่หลายรอบ
รอจนเลิกงานเลี้ยงและกลับบ้านเก่าสกุลหู เขาก็เมาเลอะสะลึมสะลือไปแล้ว
คนหนึ่งกลุ่มอำลากันตรงหน้าประตูลานบ้าน แต่ดวงตาของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนกลับเอาแต่มองไปทางข้างหลัง
ประตูห้องโถง ชายหนุ่มหล่อเหลางามสง่าผู้นั้นกำลังพิงประตูมองพวกเขาอยู่ไกลๆ
สายตาเร่าร้อนของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนประดับไว้ด้วยความผิดหวังอยู่เล็กน้อย
หมู่บ้านวั้งหลินในพื้นที่ห่างไกลความเจริญและยากจนแห่งนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีชายหนุ่มวัยเยาว์รูปงามเพียงนี้
พอไถ่ถามกับผิงซุ่นลูกผู้น้องมาได้ ถึงทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้นามว่ายู่เซิงอาศัยอยู่บ้านท่านน้ารองมาครึ่งปีกว่าแล้ว เป็ญาติห่างๆ ของน้าสะใภ้รอง เพราะขาได้รับาเ็เลยมาพักฟื้นอยู่บ้านท่านน้ารอง ปีนี้เหมือนจะอายุสิบสามปี
ครั้งก่อน... งานเลี้ยงย้ายบ้านของท่านน้ารอง นางก็เคยเห็น แต่ตอนนั้นทั่วทั้งดวงตานางล้วนเต็มไปด้วยคุณชายขี้โรคที่ร่ำรวยงดงามและสุภาพผู้นั้น จนกระทั่ง ไม่ได้ใส่ใจยู่เซิงผู้นี้
เขาหน้าตางดงามอย่างมาก น่าเสียดายก็แค่หน้าตางดงามเท่านั้นเอง
บิดามารดาเสียไปทั้งคู่ ไม่มีหลักแหล่งที่อยู่อาศัย ตอนนี้อาศัยอยู่บ้านญาติ แล้วยังอายุน้อยกว่านางหนึ่งปี
เฮ้อ... ไม่มีเงื่อนไขที่สอดคล้องกับที่นางปรารถนาในใจสักอย่าง
ความคาดหวังเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนล้มเหลว มองเขาที่ไกลลิบอยู่สองสามที หลังจากนั้นหันหน้าตัดใจกลับไปที่บ้านเก่ากับทุกคน
ต่อให้หน้าตาดี ไม่มีเงินไม่มีอำนาจก็เสียเปล่า
หลัวจิ่งไม่รู้ ภายใต้สถานการณ์นี้เขาไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยแม้แต่นิดว่า เขาได้ถูกคนรังเกียจจัดสรรเข้าไปในบัญชีดำเสียแล้ว
แต่... ต่อให้เขารู้ ก็คาดว่าคงปีติยินดีด้วยกระมัง
รุ่งเช้าวันที่สอง หลังครอบครัวหูชิวเซียงทานอาหารเช้าแล้วก็เตรียมออกเดินทางกลับบ้าน
อย่างไรเสียทั้งครอบครัวออกจากบ้านมาทั้งหมดห้าคน งานในบ้านมากมายรอให้กลับไปทำอยู่
เดิมทีหูชิวเซียงยังอยากอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน แต่ก่อนออกจากบ้าน ชายชราสกุลเจี่ยงได้บอกแก่เจี่ยงจินไฉว่าให้พวกเขาอยู่แค่หนึ่งวันแล้วค่อยกลับไป พวกเขาไปหนึ่งรอบกลับหนึ่งรอบต้องสิ้นเปลืองเวลาสองวัน งานที่บ้านมากมายไม่สามารถพักอยู่นานเกินไปได้
แม้การวางตัวของเจี่ยงจินไฉจะโลภไปบ้าง แต่สำหรับคำพูดของบิดาชราสกุลเจี่ยงยังเชื่อฟังอยู่มาก
หลี่ซื่ออุ้มผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสองพับมาให้เป็ของขวัญตอบแทนแก่ท่านป้าสกุลหู เจินจูตัดสินใจให้เงินเพิ่มห้าเหลียงไปอีก
ครั้งนี้นับเป็การกลับมาที่หูชิวเซียงดูเหตุการณ์ออก
ของขวัญของเจินจู เห็นความแตกต่างจากการต้อนรับได้ชัดเจน
ครอบครัวหวังหงเซิง นางมอบเนื้อกวางพะโล้ที่ใส่น้ำแร่จิติญญาลงไปทำพะโล้ด้วย
ครอบครัวหูชิวเซียง กลับมอบผ้าพับและเงินให้ไปตรงๆ
เปรียบเทียบสองอย่างเช่นนี้ คนที่ไม่เข้าใจล้วนคิดว่าสกุลหูลำเอียงไปทางครอบครัวหูชิวเซียงทั้งสิ้น
แต่บนความเป็จริง ทรัพย์สินเงินทองกับสิ่งของเป็ของราคาต่ำที่สุด สิ่งที่มีเงินล้วนซื้อไม่ได้เป็ร่างกายแข็งแรงที่ผ่านการบำรุงด้วยน้ำแร่จิติญญาต่างหาก
ครอบครัวหูชิวเซียงจากไปอย่างเบิกบานใจ โดยได้รับเงินห้าเหลียงที่หูฉางกุ้ยมอบให้และสองเหลียงที่หวังซื่อมอบให้
ส่งครอบครัวหูชิวเซียงไปแล้ว พริบตาเดียวก็ต้อนรับหูอู้จูและสามีของนางอีก
พวกเขานำไก่หนึ่งตัวและเครื่องปรุงรสลักษณะพิเศษที่สกุลหวงทำขึ้นโดยเฉพาะจำนวนสี่กระปุกมามอบให้ อันได้แก่ เต้าเจี้ยว จือหม่าเจี้ยง [2] เครื่องปรุงรสถั่วเหลืองหมักและปาเป่าเจี้ยง [3]
กล่าวว่ามาอวยพรแสดงความยินดี แต่สีหน้าของหูอู้จูกลับไม่ค่อยดีมากนัก
นางแต่งเข้าสกุลหวงปีครึ่งแล้ว หน้าท้องล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
แต่ทางบ้านบิดามารดากลับตั้งท้องคนแล้วคนเล่า
สีหน้านางดีได้สิถึงจะแปลก
หูฉางกุ้ยดูแลหลานเขยอยู่ เขาก็ค่อนข้างปวดศีรษะเช่นกัน
แขกที่มาแสดงความยินดีเป็คลื่นลูกแล้วลูกเล่าสองสามวันนี้ ทำให้เขาที่แต่เดิมโง่เขลาในการพูดคุยมาตลอดได้เกิดการเรียนรู้ไม่หยุด
“ถิงเฉิง เ้าทำงานอยู่ในเมืองพอไหวหรือไม่?” หูฉางกุ้ยคิดหัวข้อสนทนาอย่างสุดกำลัง
“พอไหวขอรับ เริ่มค่อยๆ เรียนรู้ได้บ้างแล้ว ขอบคุณท่านอารองที่เป็ห่วงขอรับ” หวงถิงเฉิงตอบอย่างเคารพนบนอบ
การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของสกุลหู หวงถิงเฉิงมองเห็นได้ เขารับรู้ถึงการพัฒนาด้วยความรวดเร็วของสกุลหูได้อย่างสุดซึ้ง
โดยเฉพาะครอบครัวท่านอารอง ความมากมายของการเปลี่ยนแปลง หากใช้หนึ่งวันพันลี้ [4] มาบรรยายก็ไม่เกินไป
อาหลานสองคนพูดคุยกันอย่างไม่อึดอัดใจ
หูอู้จูมากับหวังซื่อและเหลียงซื่อ มาเยี่ยมเยียนหลี่ซื่อพร้อมกัน
นางอุ้มผิงซั่นไว้ในอ้อมอกพร้อมกับจ้องส่วนท้องราบเรียบของหลี่ซื่อ ดวงตาที่เข้มข้นไปด้วยความอิจฉาและริษยาก็ปรากฏออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อู้จู เ้าต้องเร่งแล้ว เ้าแต่งเข้าสกุลหวงไปจะสองปีแล้วนะ ทำไมท้องยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีก?” เหลียงซื่อถือพัดใบปาล์มในมือ ใช้แรงพัดดัง “พึ่บพั่บๆ”
แม้ตอนนี้นางจะผอมกว่าตอนคลอดลูกเล็กน้อย แต่ยังอ้วนท้วนกว่าฟู่เหรินทั่วไปนัก
คนอ้วน... ย่อมกลัวความร้อน
“ท่านแม่ แค่ปีครึ่ง ยังไม่สองปีนะเ้าคะ!” หูอู้จูเหลือบมองมารดาด้วยความขุ่นเคือง
นางก็รู้ว่าทุกครั้งที่กลับมา จะหลบหัวข้อสนทนาเช่นนี้ไม่ได้
ดังนั้น หมู่นี้นางเลยไม่ชอบกลับบ้านบิดามารดาอย่างมาก แม้บ้านบิดามารดาจะร่ำรวยแล้วก็ตาม
เจินจูมองนางอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่งงานคลอดลูกคือบทสนทนาที่คนเป็ผู้หญิงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตลอดกาล
เชิงอรรถ
[1] คนเทียบคน ช่างทำให้คนโมโหโดยแท้จริง หมายถึง คนที่ชอบเปรียบเทียบตนเองกับใครต่อใครแล้วโมโหขึ้นเอง เพราะคนเราไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ อาจมีคนที่เก่งกว่า สวยกว่า ร่ำรวยกว่า หากมักเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้อยู่บ่อยๆ จะทำลายความมั่นใจของตนเองหรือทำให้ตนเองโมโหขึ้นมากกว่าเดิม
[2] จือหม่าเจี้ยง (芝麻酱) คือ ซอสงา
[3] ปาเป่าเจี้ยง (八宝酱) คือ ซอสชนิดหนึ่งที่มีรสเผ็ดและหวาน
[4] หนึ่งวันพันลี้ หมายถึง การพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยใช้ม้ามาบรรยายว่าม้าฝีเท้าดี วิ่งได้วันละพันลี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้