เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการเื่น้าเฉิงประจำโทรศัพท์สาธารณะเรียบร้อย จากนั้นก็ได้วานกงหยางออกแบบนามบัตรให้อีกสี่ใบ
บนนามบัตรของเธอใส่หมายเลขโทรศัพท์สาธารณะที่น้าเฉิงเฝ้าอยู่นั่นเอง ส่วนช่องทางการติดต่อของหลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินย่อมเป็โทรศัพท์ที่ใกล้ร้านเสื้อผ้า ของหลิวหย่งคือโทรศัพท์ที่ใกล้บ้านเช่า
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินต่างไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถเอานามบัตรไปทำอะไรได้ ‘เครื่องแต่งกายหลานเฟิ่งหวง’ คนที่ไม่รู้คงนึกว่าคือโรงงานผลิตเสื้อผ้า ทั้งที่จริงแล้วคือร้านจำหน่ายเสื้อผ้า เซี่ยเสี่ยวหลานทำเผื่อไว้ เพราะหลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินต้องติดต่อธุรกิจภายนอกเองในไม่ช้าก็เร็ว นามบัตรต้องได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว
บนนามบัตรของเซี่ยเสี่ยวหลานมีเพียงชื่อกับหมายเลขโทรศัพท์ และของหลิวหย่งคือ ‘ตกแต่งภายในหย่วนฮุย’
‘หย่วนฮุย’ ไม่มีกระทั่งหน้าร้าน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้พิมพ์ข้อความ ‘ผู้รับผิดชอบตกแต่งภายในหย่วนฮุย’ บนนามบัตรของหลิวหย่งแล้ว แม่ทัพไร้กองพลอย่างหลิวหย่งคนนี้รู้สึกกดดันยิ่งนัก หลังจากที่มีนามบัตรเขาก็จำเป็ต้องขยันขันแข็งขยับขยายกิจการของตนเอง
อันดับแรกคือการโทรศัพท์หาคังเหว่ย เนื่องจากก่อนตรุษจีนพวกเขาได้ตกลงกันแล้วว่าจะทำการตกแต่งบ้าน สุดท้ายแล้วโครงการนี้จะริเริ่มงานได้เมื่อไร?
--------------------------------------
นี่เพิ่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ เดือนเจิงยังไม่ผ่านพ้นไป
คังเหว่ยกล่าวถึงเื่ตกแต่งบ้านกับมารดาของเขาเป็ครั้งแรก
นางคังคือผู้หญิงนิสัยเปราะบาง ตอนสามียังอยู่ก็เชื่อฟังสามี หลังจากบิดาคังเหว่ยสละชีพ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกำลังอุ้มท้องคังเหว่ยอยู่ ข่าวนี้ต้องทำเอาเธอแตกสลายเป็แน่ เธอให้กำเนิดคังเหว่ย ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งอย่างผู้ที่เป็มารดาควรจะมี ย่าคังเหว่ยจึงเติมเต็มบทบาทนี้ของเธอเสียมากกว่า เธอยังคงโศกเศร้าอ่อนไหวทุกอยู่ฤดูกาล ดังนั้นเมื่อคังเหว่ยพูดคุยกับมารดาจึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
เช่น ณ ตอนนี้ บอกว่าอยากตกแต่งบ้าน แววตาของนางคังหาระยะจับภาพไม่เจอด้วยซ้ำ นั่งสนทนากับเธอตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับััได้ว่าเธอฟังเข้าหูแต่ไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“ได้ ลูกทำเถอะ”
เธอแค่ตอบกลับอย่างเฉยเมยหนึ่งประโยคเช่นนี้ คังเหว่ยรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
ราวกับไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มารดาเขาก็ไม่รู้สึกรู้สา ไร้ซึ่งความกระตือรือร้นในชีวิต บางครั้งคังเหว่ยคิดว่าใน่เวลาที่เขาไม่สามารถพบหน้าบิดาบังเกิดเกล้าผู้สละชีพได้อีก ิญญามารดาของเขาก็ได้จากไปพร้อมกันแล้ว ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้คือศพเดินได้ชัดๆ
เธอทำงานที่มีเกียรติ จึงต้องดูแลตนเองอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยทุกวัน
แต่เธอก็ไม่สนใจสิ่งใดเลย ล่องลอยไปตามกระแสน้ำเท่านั้น
ขนาดลูกชายร่วมสายเืยังไม่สนใจเท่าไรนัก เพราะว่าคังเหว่ยมีคุณปู่คุณย่าคอยดูแล ต่อให้เธอไม่ดูดำดูดี คังเหว่ยก็ไม่รู้สึกหิวโหยหรือหนาวเหน็บ ทว่าคังเหว่ยไม่อาจพูดว่ามารดาไม่รักเขาได้ ธุระเล็กใหญ่ในบ้าน มารดาล้วนฟังเขาทั้งหมด—หรือสองแม่ลูกควรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมตั้งนานแล้ว คังเหว่ยคาดหวังว่าการตกแต่งบ้านใหม่นี้จะสามารถนำความเปลี่ยนแปลงมาได้บ้าง
ในเมื่อมารดาเขาไม่คัดค้าน คังเหว่ยก็ตัดสินใจตกแต่งภายในบ้านใหม่อีกครั้ง
ย่าคังทำใจไม่ได้ ข้าวของมากมายในบ้านนั้นล้วนเป็สิ่งที่ย่าคังเลือกให้ลูกชายด้วยตนเองในตอนพ่อคังเหว่ยแต่งงาน
ส่วนคุณปู่ของคังเหว่ยปล่อยวางได้แล้ว
“ปีนี้คังเหว่ยก็จะครบ 21 ปีแล้ว พ่อเขาจากไป 21 ปี พวกเราปลงไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางให้ได้ เอาแต่เฝ้าคิดถึงคนที่ตายไป คนที่ยังอยู่จะไม่ใยดีแล้วหรือ?”
บุตรชายสุดแสนเลอเลิศ ดันสละชีพท่ามกลางา
อำนาจของเขาเหลือล้นแล้วอย่างไร ความเป็ความตายของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าถูกกำหนดมาอย่างไร หากปู่คังเหว่ยไม่ชินชาก็คงไม่มีหนทางอื่น นั่นคือบุตรชายที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ทว่าคนตายมิอาจฟื้นคืนชีพได้ ถ้าเขากับภรรยาไม่ยอมรับ มารดาคังเหว่ยก็คงปล่อยวางไม่ลง
การตกแต่งบ้านใหม่ก็ถือว่าสมควรแล้ว พอเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ ลูกสะใภ้ใหญ่ก็คงค่อยๆ ทำใจได้
ย่าคังถูกปู่คังโน้มน้าว “เช่นนั้นตอนตกแต่งบ้าน ให้พวกเขาสองคนแม่ลูกย้ายมาอยู่ที่นี่สิ”
ย่าคังยินดีทีเดียว เธอเลี้ยงดูคังเหว่ยั้แ่เล็กแต่น้อย ต่อมาคังเหว่ยจบประถมศึกษาก็ย้ายกลับไปอาศัยอยู่กับมารดาอีกครั้ง ย่าคังรักใคร่เอ็นดูหลานชายคนนี้ที่สุด เฝ้าคอยที่จะได้พบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ปู่คังเองก็คิดถึงหลานชาย
แต่ความจริงบุตรชายหญิงของเขากลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะลำเอียงรักคังเหว่ยมากกว่า จึงระแวงระวังยิ่งนัก ปู่คังเองก็กังวลใจอยู่ไม่น้อย หากผู้เฒ่าทั้งสองจากไป บุตรชายที่กำพร้าบิดาและมารดาม่ายยังต้องอาศัยคนอื่นๆ ในตระกูลคังให้ช่วยดูแล ปู่คังคำนึงถึงจุดนี้ เลยตัดสินใจส่งตัวคังเหว่ยกลับไป
ตอนนี้น่ะหรือ คังเหว่ยอายุจะ 21 ปีแล้ว ่นี้ติดตามโจวเฉิงทำธุระด้วยกัน รู้จักพัฒนาตนเองและไม่ได้คาดหวังว่าคนในตระกูลคังจะต้องคอยชักจูง ความพะวงของปู่คังจึงไม่ได้มากขนาดนั้นแล้ว
“ให้พวกเขากลับมาอยู่ที่นี่ พอบ้านตกแต่งใหม่เสร็จค่อยดูสถานการณ์อีกครา”
ย่าคังไปเก็บกวาดห้องกับคนอื่นด้วยอารมณ์ชื่นมื่น
เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านล้วนไม่คัดค้าน คังเหว่ยจึงตอบรับหลิวหย่ง “ลุงหลิว ทางลุงมาได้ทุกเวลาเลยนะครับ”
พอมีการติดต่อทางโทรศัพท์ก็สะดวกขึ้นมากจริงๆ แม้การต่อสายและรับสายจะค่อนข้างยุ่งยาก ทว่าวิธีการนี้ก็ยังรวดเร็วกว่าโทรเลขอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจดหมาย ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานตอบจดหมายโจวเฉิงก็บอกช่องทางติดต่อใหม่เช่นกัน อีกทั้งบอกเวลาโดยคร่าวที่จะไปปักกิ่งด้วย
เมื่อโจวเฉิงได้รับจดหมายฉบับนี้ เธอและหลิวหย่งคงถึงปักกิ่งแล้ว
สำหรับคำสั่งงานของคังเหว่ยนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดจะลองร่วมงานกับกงหยาง
พอกงหยางได้ยินว่าจะไปปักกิ่ง ก็ตกตะลึงมากทีเดียว
สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่แค่การเดินทางไปกลับต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่ากินอยู่ขณะอาศัยที่ปักกิ่งด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานทลายความกังวลของเขาทันที
“เธอคือที่ปรึกษาด้านออกแบบที่พวกเราจ้าง ค่าใช้จ่ายพวกนี้มีพวกเรารับผิดชอบทั้งหมด น่าจะออกเดินทางในอีกครึ่งเดือนหน้า คงต้องรบกวนเวลาเธอสามสี่วัน เธอแค่จัดตารางเวลาให้เรียบร้อยก็พอ”
การตกแต่งภายในบ้านให้คังเหว่ยเรียกว่าระดมพลไม่มีผิดแน่ พานักศึกษาศิลปะไปหนึ่งคนจะเท่าไรกันเชียว เธอยังต้องพาคนงานอีกสองคนไปด้วยซ้ำ ส่วนจดหมายแนะนำของช่างก่อสร้างต้องขอจากใคร ธุระพวกนี้ล้วนมอบให้หลิวหย่งรับภาระ ผู้รับผิดชอบไม่ได้เป็กันได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น ด้านคังเหว่ยบอกว่าสามารถจัดหาบ้านพักราคาย่อมเยาได้—นี่เป็สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นเดียวกัน
หากคังเหว่ยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของสองฝ่าย จัดแจงโรงแรมราคาแพงให้ อาศัยอย่างสะดวกสบาย ทว่าพอชำระค่ากินอยู่ของหลายคนเสร็จ งานนี้ของหลิวหย่งต้องเข้าเนื้ออีกแน่นอน ไม่ว่าทำธุรกิจอะไรใน่เริ่มต้น คนเป็เถ้าแก่ต้องควบคุมต้นทุน หากคิดสะดวกสบายอย่างเดียว นั่นก็คือการเพลิดเพลินจนตนเองล้มละลาย!
กงหยางวิงเวียน
มิใช่แค่การรับงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานวาดโปสเตอร์ไม่กี่แผ่นหรอกหรือ ภายหลังก็ออกแบบนามบัตรอะไรนั่น ตอนนี้ยังต้องตามไปปักกิ่งด้วย?
ปากกงหยางพูดว่าอาจขอลาไม่ได้ แต่อันที่จริงในใจเขาได้ยินยอมแล้ว
ไม่ให้เขาจ่ายค่ารถค่ากินอยู่เสียด้วย ทำงานได้เงิน แถมได้เยือนเมืองหลวง เื่ดีๆ เช่นนี้ใครจะปฏิเสธกัน
นักศึกษาปีสามคณะศิลปกรรมศาสตร์เสรีกว่านักศึกษาคนอื่นๆ คณะศิลปกรรมมีข้อกำหนดการร่างภาพทิวทัศน์นอกสถานที่ การร่างภาพก็ไม่ใช่ต้องไปชนบทเพื่อวาดขุนเขาแม่น้ำเท่านั้น เขาไปวาดทัศนียภาพของเมืองหลวงก็ย่อมได้!
พอเซี่ยเสี่ยวหลานจากไป ก็มีคนเห็นพอดิบพอดี
่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานมาหากงหยางสองรอบ คนที่รู้จักกงหยางก็โห่ร้อง นึกว่าเป็คนรักของกงหยาง
“หน้าตาสวยจริงๆ เลยนะ กงหยางนายรู้จักที่ไหนน่ะ?”
“รุ่นน้องจั๋วแนะนำ คนเขามาจ้างฉันวาดภาพ”
วาดภาพ?
กงหยางรับงานจิปาถะข้างนอก แต่หญิงสาววัยรุ่นแสนสวยคนหนึ่งต้องมาจ้างกงหยางวาดภาพ? ฟังแล้วค่อนข้างแปลกประหลาด
แม้เพื่อนนักศึกษาจะไม่เชื่อกงหยางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวเขาเองยังคิดว่าแปลก เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งอายุเท่าไร นอกจากมีร้านอยู่ข้างห้างสรรพสินค้าซางตูแล้ว ตอนนี้ยังจะทำธุรกิจไปถึงปักกิ่งอีกหรือ?
คนปักกิ่งตกแต่งภายในบ้านเรือน ยังต้องจ้างคนจากซางตูไป เื่ประเภทนี้ก็อยู่เหนือจินตนาการของกงหยางแล้ว
เขาทำเพื่อให้มีสีและกระดาษเพิ่มขึ้น งานกระจุกกระจิกที่คนอื่นดูถูกเขาก็รับทั้งนั้น ช่างจินตนาการได้ยากจริงๆ ว่ามีคนใช้เงินไม่เหมือนเงินแบบนี้—เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่ารับผิดชอบค่ากินอยู่และค่ารถทุกอย่าง เหมือนยังไม่ได้คุยเื่ค่าแรงนี่นา?
กงหยางจิตใจกระสับกระส่าย ตัดสินใจเดินเข้าห้องสมุดไปโดยพลัน
ผู้อื่นจ่ายเงินจ้างเขาไปถึงปักกิ่ง หากเขาวาดภาพจำลองผลการตกแต่งภายในไม่เป็ นั่นก็ช่างน่าอับอายเกินไปแล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้