มู่จื่อหลิงวิ่งไปด้านหน้ากุ่ยหยิ่ง สองมือกอดอก มองพวกเขาอย่างสงบ “พวกเ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ถอยไป?”
ถ้ามองให้ดีจะพบว่ารูปร่างของมู่จื่อหลิงอ้วนขึ้นกว่าเดิมถึงหนึ่งรอบ
เพียงน่าเสียดายที่กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยไม่มีความกล้าจะมองนาง
“ไม่มีคำสั่งของนายท่าน ข้าน้อยมิอาจทำให้ได้” กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอ้าปากพูดพร้อมกัน สีหน้าเคร่งขรึม ท่าทีแน่วแน่
สองตามู่จื่อหลิงเจือรอยยิ้ม มองกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยด้วยท่าทียิ้มแย้ม “ให้โอกาสพวกเ้าเป็ครั้งสุดท้าย ไม่ปล่อยจริงหรือ?”
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยรู้อยู่แล้วว่าเื่ราวไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น พวกเขาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว
เกรงว่าบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ถูกยั่วโทสะจนถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาจึงเลือกปิดปากอย่างเงียบงัน หน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนสี ไม่ขยับแม้แต่น้อย ไม่มีทีท่าว่าจะถอยออกไป
เพียงแต่ในใจพวกเขาก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
พวกเขาล้วนรู้ว่าพิษของหวางเฟยร้ายกาจยิ่งนัก จึงระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ป้องกันมิให้หลงกล
ทว่า พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ั้แ่ต้นจนจบมู่จื่อหลิงมิได้มีความคิดจะวางยาพิษพวกเขาแม้แต่น้อย
ครั้งนี้มู่จื่อหลิงไม่ได้วางยาพิษ แต่ทำให้พวกเขารู้ความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดที่ว่า ‘มิอาจล่วงเกินสตรี’ จนถึงที่สุด
มุมปากมู่จื่อหลิงยกขึ้นเป็องศาที่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม จับจ้องกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอยู่นาน
สายตาเคร่งขรึมของกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยจับจ้องไปด้านหน้า ไม่กล้าสบสายตามู่จื่อหลิง
แต่พวกเขาล้วนรับรู้ได้ว่าสายตาน่าหวั่นเกรงนั้นโจมตีก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา เพียงมองพวกเขาก็หนังศีรษะชาวาบ ก้นบึ้งหัวใจขนลุก
หวางเฟยคิดจะทำอะไรกันแน่?
พวกเขาแทบจะคุกเข่าลง ร้องขอการปลดปล่อยจากความทรมาน สายตาคมกริบเช่นนี้ ทารุณผู้อื่นเกินไปแล้ว
จับตามองหวางเฟยรั้งไม่ให้นางออกจากจวน ยากยิ่งกว่าให้พวกเขาไปลอบสังหารผู้อื่นโดยมิให้ถูกพบเห็นร้อยเท่าเสียอีก!
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอยากจะร้องไห้ไร้น้ำตายิ่งนัก ในใจมีคนตัวเล็กสองคนสู้กันไปมา
ฝ่ายหนึ่งคือคนที่หุนหันพลันแล่นบอกพวกเขาว่า “หวางเฟยมิอาจล่วงเกินได้ ฉวยโอกาสตอนที่นางยังไม่ลงมือ รีบให้ทางเสีย”
ฝ่ายหนึ่งเป็คนที่มีเหตุผลบอกพวกเขาว่า “ฝ่าฝืนคำสั่งนายท่าน ้าความกล้าหาญอันมหาศาล แน่วแน่ มิอาจปล่อยไปได้”
มู่จื่อหลิงไม่ร้อนรนไปกับพวกเขา มุมปากยังคงแต่งแต้มรอยยิ้ม เพียงมองพวกเขาอย่างสงบ ดวงตาไม่กะพริบ
ขั้นแรกของนางก็คือโจมตีาจิตวิทยา
ผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเห็นว่าใบหน้าไม่เปลี่ยนสีของกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ย มีรอยร้าวที่ทนรับไม่ไหวในที่สุด มู่จื่อหลิงจึงยื่นมือไปปลดสายรัดเอวของตนเองอย่างเชื่องช้า
ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก หัวใจแขวนเติ่ง
เพียงแต่ พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าหวางเฟยคิดจะทำอะไร จะใช้พิษกับพวกเขาหรือไม่
ใจของกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยกระวนกระวายไปชั่วขณะ คิดไม่ออกว่ามู่จื่อหลิงจะทำอะไรพวกเขา
ทันใดนั้น มู่จื่อหลิงก็ถอดผ้าคลุมบางเบามาไว้ที่แขนต่อหน้าพวกเขาอย่างใจกล้า
สองมือของนางป้องไว้ที่ปาก ร้องะโเสียงดัง “ใครก็ได้มานี่เร็วเข้า กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยลวนลามเปิ่นหวางเฟย”
สิ้นเสียงพูด สองมือนางเท้าเอว เชิดหน้ายืดอกบีบคั้นกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยเข้าไปทีละก้าว
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยชะงักไป อึ้งตะลึง ไม่ได้คิดว่ามู่จื่อหลิงจะมาไม้นี้อย่างสิ้นเชิง
พวกเขารีบละสายตาหนี ใจนก้าวถอยหลังไปติดๆ กัน
กลอุบายเ้าเล่ห์เช่นนี้ของมู่จื่อหลิงทำให้กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยรับมือไม่ทัน
มู่จื่อหลิงในยามนี้พวกเขาเข้าใกล้ไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ดังนั้นย่อมมิอาจใช้ความรุนแรงกับนาง ทำให้นางสลบแล้วนำเข้าห้องไป
มิเช่นนั้น สืบสาวเื่ลวนลามนี้จริงๆ ขึ้นมา โทษฐานอันยิ่งใหญ่เพียงนี้พวกเขารับไม่ไหว
มู่จื่อหลิงถอดเสื้อคลุมบางเบานั้นออก โยนส่งๆ ไปบนพื้น ตามมาด้วยการเริ่มต้นถอดชิ้นใหม่
ค่อยๆ ถอดอย่างช้าๆ
ทำาประสาทเสร็จ ก็ควรทรมานอย่างช้าๆ ดูสิใครจะยิ้มได้จนถึงที่สุด
“หวางเฟย ท่าน...” กุ่ยเม่ยใจนพูดไม่ออก เขาใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
พวกเขาไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ยามปกติฆ่าคนเป็ผักเป็ปลา ดวงตาไม่กะพริบ แต่พวกเขาในยามนี้กลับกลัวบรรพบุรุษน้อยผู้นี้เป็ที่สุด
โชคดีที่ตำหนักอวี่หานแห่งนี้ข้ารับใช้ธรรมดาเข้าใกล้ไม่ได้ มิเช่นนั้นคำพูดของหวางเฟย ผนวกกับผ้าผ่อนที่ไม่เรียบร้อยของนางในยามนี้ ต่อให้พวกเขามีร้อยปากก็พูดได้ไม่ชัดเจน มีเก้าชีวิตก็ไม่พอตาย
“ข้าอย่างไร พวกเ้าจะให้หรือไม่ให้?” มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้ความผิด แสร้งทำสีหน้างงงวย
แม้พิษของนางจะร้ายกาจ แต่นางคงไม่ไปใช้กับผู้มีฝีมืออย่างโง่งม สามารถเป็องครักษ์ประจำตัวหลงเซี่ยวอวี่ได้ วรยุทธ์คงไม่ง่ายดายเป็แน่
และยามนี้พวกเขาต้องระแวงนางเป็แน่ อีกประเดี๋ยววางยาพิษไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามอาจถูกพวกเขาทำให้สลบส่งกลับเข้าไป เช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย
ในเมื่อ้าบอกพวกเขาว่าสตรีมิอาจล่วงเกินได้ ย่อมต้องใช้ข้อได้เปรียบของสตรี มาต่อกรเ้าขอนไม้สมองทึบสองต้นนี้
เมื่อครู่ที่นางวิ่งกลับไป ก็มิได้วิ่งกลับไปโดยเปล่าประโยชน์ นางวิ่งเข้าไปสวมเสื้อคลุมหลายชั้น จึงไม่กลัวว่าพวกเขาจะยืนมองนางถอดอยู่ตรงนี้ไปตลอด
หากเปลี่ยนเป็คนอื่นนางคงไม่มีความมั่นใจ แต่การต่อกรกับกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยนั้น นางมั่นใจเต็มเปี่ยม
อีกทั้ง ยามนี้นางเพิ่งถอดไปเพียงหนึ่งชิ้น พวกเขาก็ใจนเป็เช่นนี้แล้ว ดูท่าไม้นี้ใช้กับกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยได้ผลเสียยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก
จริงดังคาด เื่ระแวงนี้คนโบราณมิได้หลอกลวงข้า!
จุ๊ๆ เ้าขอนไม้สองคนนี้ช่างไม่ได้เื่เลย พูดไว้อย่างแน่วแน่แล้วนี่ว่าไม่ปล่อย?
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยถอยหลังติดๆ กัน ทว่ายังคงบดบังอยู่ข้างหน้ามู่จื่อหลิงเช่นเดิม มิได้ถอยออกไป
หน้าผากของแต่ละคนมีเหงื่อซึมบางๆ อากาศร้อนยิ่งนัก แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆ กำลังหลั่งไหล!
มู่จื่อหลิงยังคงไม่ใส่ใจเช่นเดิม ทำท่าทียิ้มตาหยี “ไอ้หยา เหตุใดวันนี้จึงร้อนเช่นนี้พวกเ้าว่าไหม ร้อนจนอยากถอดเสื้อผ้ายิ่งนัก”
พูดพลางก้าวเท้าบีบคั้น การกระทำในมือก็ยังไม่หยุดยั้ง และเหมือนว่องไวยิ่งกว่าเดิม
ทันทีที่คำนี้ออกไป กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็ใจนขาอ่อน ในใจเรียกได้ว่าหดหู่
หวางเฟยพวกเขาพิเศษก็พิเศษอยู่หรอก แต่นี่ออกจะพิเศษเกินไปหรือไม่?
เหตุใดจึงไม่มีความสำรวมของสตรีแม้แต่น้อย? ไม่มีท่าทีหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย?
ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าบุรุษอย่างโจ่งแจ้งกลางวันแสกๆ น่าในัก
นี่ นี่มันสารบบความคิดใดกัน?
ยังไม่รอให้พวกเขาหดหู่เสร็จ
ก็ตามมาด้วย เสื้อผ้าหล่นพื้นไปอีกชิ้น
......
ในใจของกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยตื่นตระหนก จึงไม่ได้สังเกตว่าเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้นของมู่จื่อหลิงล้วนเป็เสื้อคลุมบางๆ เพียงแค่สีสันไม่เหมือนกันเท่านั้น
และในใจพวกเขาคิดว่า เป็ดังที่หวางเฟยพูด เสื้อผ้าในวันที่อากาศร้อนนี้จะสวมใส่เยอะได้อย่างไร หากให้นางถอดต่อไปอีกคง...
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็สบตากันอย่างกระวนกระวาย ต่างฝ่ายก็เห็นความคิดที่เหมือนกันในแววตาของอีกฝ่าย ถ้ายังให้หวางเฟยถอดต่อไป ผลสุดท้ายอาจน่าสังเวชเสียยิ่งกว่าให้นางออกไปเสียอีก ดังนั้น...ถอยเถิด!
ท้ายที่สุด กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็รับการทารุณของมู่จื่อหลิงไม่ไหว สองคนที่เดิมทีมีท่าทางแน่วแน่ ก็เปิดทางให้อย่างไร้เรี่ยวแรง
มู่จื่อหลิงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขายิ่งนัก พูดอย่างตรงไปตรงมา “เป็เช่นนี้แต่แรกก็สิ้นเื่แล้ว รั้นจะรับการทารุณจิตใจอยู่ได้ ต่อไปจำไว้เล่า มิอาจล่วงเกินสตรีได้เป็อันขาด”
พูดจบประโยคนี้ นางก็เดินวางมาดออกไปนอกจวนอ๋อง
ที่แท้ หวางเฟย้าให้บทเรียนพวกเขา สิ่งใดคือ ‘มิอาจล่วงเกินสตรี’
ที่แท้ ความหมายแฝงของมิอาจล่วงเกินสตรีก็เป็เช่นนี้ น่าในัก!
ใจของกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยยังสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงเดินไปไกลพวกเขาก็ตามไปในทันที แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่า มู่จื่อหลิงจะยังเดินไปถอดเสื้อผ้าไป ไม่งามเป็อย่างยิ่ง และยังถอดชิ้นแล้วชิ้นเล่า ราวกับถอดอย่างไรก็ไม่เสร็จสักที
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยมองเสื้อผ้าที่มู่จื่อหลิงโยนไว้ทั้งทางอย่างอึ้งๆ ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา พลันรู้ตัวขึ้นมาทันที
ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาก็แทบจะร้องไห้ให้กับความโง่งมของสติปัญญาตนเอง
เมื่อครู่ถ้าพวกเขามองอย่างสงสัยและจริงจัง บางทีอาจจะพบความผิดปกติ และไม่ถึงกับ...
ไม่ ไม่ เป็หวางเฟยผู้นี้ปลิ้นปล้อนเ้าเล่ห์เกินไป!
จะมองแนวตั้งหรือแนวนอน มองอย่างไรก็ยิ่งเหมือนเ้านายของพวกเขา ปลิ้นปล้อนเ้าเล่ห์เหมือนกันไม่มีผิด!
เมื่อมองเงาร่างที่ค่อยๆ หายไป พลันคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้า กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็รู้สึกหนักใจอย่างยิ่งขึ้นมาทันที
แม้จะรู้ว่าถูกปั่นหัว แต่กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็ไม่กล้าไปรั้งไว้อีก ผู้ใดจะไปรู้ว่าหวางเฟยจะคิดอุบายใดมาจัดการพวกเขา?
ดังนั้น กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยจึงแบ่งออกไปสองทาง ผู้หนึ่งลอบติดตามมู่จื่อหลิงไป อีกผู้หนึ่งย่อมไปรายงานฉีอ๋อง
-
สำหรับเย่จื่อมู่ มู่จื่อหลิงรู้เพียงว่าต้องไปหาเขาที่หอเยวี่ยอวี่ เพียงแต่ร่องรอยของเย่จื่อมู่มักจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ นางไม่กล้ารับรองว่าไปแล้วจะได้พบหรือไม่
ทว่า ครั้งนี้ไม่เพียงเย่จื่อมู่อยู่ที่หอเยวี่ยอวี่ แต่ยังรอนางมาหลายวันแล้วอีกด้วย
ทันทีที่มู่จื่อหลิงไปถึงหอเยวี่ยอวี่ ผู้จัดการก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “เถ้าแก่มู่ ท่านมาแล้ว”
มู่จื่อหลิงเองก็นับว่าเป็แขกประจำของหอเยวี่ยอวี่ มักจะมากินมื้อใหญ่ที่นี่ ประกอบกับหลิงซั่นถังที่มาเปิดกิจการก็อยู่ถัดไป
ผู้จัดการเย่เป็ผู้ที่ทำการแลกเปลี่ยนร้านค้ากับมู่จื่อหลิง และยังมีคำสั่งเป็พิเศษของเย่จื่อมู่ ดังนั้นเขาย่อมคุ้นเคยกับมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “ผู้จัดการมู่ ท่านรู้ว่าข้าจะมา? ท่านมาต้อนรับเป็พิเศษหรือ?”
ปกตินางมารับประทานข้าว ก็ไม่ได้เห็นว่าผู้จัดการคนนี้จะกระตือรือร้นเช่นนี้ นี่ไม่ปกติ
เถ้าแก่เย่ผงกศีรษะ ทำท่าเชิญ “เถ้าแก่ของพวกข้ารอท่านนานแล้ว เชิญด้านในเถิด”
ได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็ประหลาดใจ เย่จื่อมู่รู้ได้อย่างไรว่านางจะมา? นึกไม่ถึงว่าเขากำลังรอให้นางมา
ทว่าสิ่งที่มู่จื่อหลิงคิดได้ในแวบแรกก็คือ ในเมื่อพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังมีชีวิตอย่างสุขสบาย เช่นนั้นนางก็จะคิดบัญชีกับเขาเป็อย่างดี
มู่จื่อหลิงขึ้นชั้นบนมาเพียงลำพัง ทันทีที่ผลักประตูออก ก็เห็นเย่จื่อมู่นอนงีบหลับอยู่บนตั่งอ่อนอันหรูหราอย่างเกียจคร้าน ชุดสีแดงน่าหลงใหล เย้ายวนบรรยายไม่ได้
และไม่รู้ว่าเขาหลับจริงๆ หรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อมีคนเข้ามา เขาก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม เปลือกตาไม่ขยับแม้แต่น้อย
มู่จื่อหลิงเดินไปที่เก้าอี้ไม้จันทน์แดง เปลี่ยนจากแขกเป็เ้าบ้าน นั่งลงตามอำเภอใจ รินชาหอมให้ตนเองอย่างสง่างาม จิบเล็กน้อย
นางเหล่มองคนที่อยู่บนตั่งอ่อน “พ่อค้าหน้าเื ที่แท้ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่! ข้ายังคิดว่าท่านถูกหมาป่าคาบไปกินแล้วเสียอีก”
ริมฝีปากทรงเสน่ห์ของเย่จื่อมู่ยกขึ้นในองศาที่น่ามอง ดวงตายังคงปิดเช่นเดิม “เถ้าแก่มู่ ชาเมื่อสักครู่นี้ หนึ่งพันตำลึงเงิน ประเดี๋ยวอย่าลืมจ่ายเงิน”
“แค่กๆๆ” มู่จื่อหลิงสำลักน้ำในปากตนขึ้นมาโดยพลัน ไอเป็เวลานานถึงหยุด
นางชี้ไปที่เย่จื่อมู่อย่างโกรธเคือง “พ่อค้าหน้าเื น้ำชาหนึ่งอึกหนึ่งพัน หน้าเืเกินไปแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้