รถเทียมวัวนั้นยังคงต้องต่อแถวตามระเบียบ
แม้พวกเขาจะออกมาั้แ่ฟ้ายังไม่สาง ทว่าเมื่อมาถึงประตูเมือง ดวงตะวันก็เปลี่ยนเป็ลอยสูงกลางนภาเสียแล้ว
หยาดน้ำค้างยามเช้าก็แห้งเหือดด้วยความร้อนจากแสงตะวันที่สาดส่องลงมา
บรรยากาศจึงไม่หนาวเย็นเช่นทีแรก
อาสวินนั้นยังตาปรือลืมขึ้นเพียงเล็กน้อย
เมื่อคืนเขาอ่านหนังสือจนถึงดึก ทั้งตอนเช้ายังต้องตื่นั้แ่เช้าตรู่ ตอนนี้จึงยังรู้สึกมึนงงไม่สดชื่นเท่าใด
ระหว่างที่อาลู่กำลังมัดผมให้น้องสาว อาสวินก็ยังคงพิงร่างของอาลู่หลับต่อ
เสียงรถเทียมวัวโคลงไปโคลงมาดัง “ตึงตังๆ” นั้นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มหลับสบายขึ้น
ในยามนี้อาสวินนั้นไม่ได้มีแววขึงขังระแวดระวังตัวดังปกติ ติ่งหูหนาๆ นั้นเจือสีแดงโปร่งแสง ขนตางอนยาว จมูกนั้นดูป้านเล็กน้อย หน้าตานั้นช่างดูเชื่อฟังนัก
อาลู่โดยปกติก็จะอุ้มเพียงน้องสาว ส่วนอู่และอาสวินนั้นเขาคอยดูแลอยู่ตลอด ทว่ากลับไม่เคยใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้
บัดนี้เขาจึงยื่นมือไปเกาศีรษะอาสวินเบาๆ
“ถึงแล้ว”
สิ้นเสียงอาลู่ อาสวินก็ลืมตาขึ้น เห็นน้องสาวผมชี้ไปคนละทิศละทางของนางนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าตน
“พี่สวิน พี่กำลังฝันถึงของอร่อยอยู่สิท่า น้ำลายจึงได้ไหลย้อยเช่นนี้” เฉินโย่วถามขึ้นด้วยความสงสัย
อาสวินรีบเช็ดมุมปากอย่างใ พบว่าแท้จริงแล้วมุมปากเขานั้นยังคงแห้งสนิท เมื่อมองไปทางเด็กหญิงก็เห็นใบหน้าเ้าเล่ห์นั้นกำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาพลันรู้ได้ทันทีว่าตนคงโดนน้องสาวหลอกเข้าอีกแล้ว
ถ้าเป็ยามปกติเขาย่อมไม่มีทางโดนนางหลอกแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะตื่น สติจึงยังไม่สมบูรณ์นัก
ทั้งเมื่อตื่นขึ้นมายังเพิ่งรู้ตัวว่าตนนอนพิงอาลู่มาตลอดทาง บัดนี้แม้จะผละออกมาแล้วแต่ความอบอุ่นก็ยังคงหลงเหลืออยู่ ในใจก็รู้สึกเคอะเขินขึ้นมา
“ถึงหน้าประตูเมืองแล้ว” อาลู่ออกปากขึ้นก่อน
“อืม” อาสวินเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งตัวตรง แล้วรีบจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพียงแต่ผมเผ้ายังคงยุ่งไปเสียหน่อย ครั้นจะหาหวีของตนมาหวีก็ดันหาไม่เจอ คงเป็เพราะวันนี้ตื่นเช้าเกินไปจึงได้ลืมพกมาด้วย เขานั้นแม้จะขยันนัก แต่กลับมีจุดอ่อนเื่เดียวคือการตื่นเช้า ทุกวันจำเป็จะต้องนอนให้พอจึงจะทำงานได้
“นั่งลงเสีย เดี๋ยวข้าช่วยเ้าหวีเอง” อาลู่เอาหวีที่เพิ่งจะหวีผมยุ่งๆ ให้น้องสาวออกมา
อาสวินพลันยืดตัวตรง
อาลู่ที่นั่งอยู่ด้านหลังค่อยๆ หวีให้ผมให้เด็กหนุ่ม สางผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียงสลวย
ท่าทางของอาลู่ยามหวีผมให้อาสวินช่างดูอ่อนโยนนัก ด้วยเพราะเขานั้นต้องหวีผมให้น้องสาวทุกวันจึงได้มีท่าทีไม่ต่างจากเดิม
เสี่ยวอู่แม้จะดูแลอาสวินเป็อย่างดี แต่กิริยาหยาบกร้านนัก มิได้ใส่ใจเช่นนั้น
อาลู่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีอึดอัดของอาสวิน เพราะทุกครั้งที่หวีผมให้น้องสาวนาง ท่าทีของนางราวกับตั๊กแตนตัวหนึ่งที่ลุกลี้ลุกลนไม่เคยจะหยุดนิ่ง
เมื่อเทียบกันแล้วอาสวินนับว่าเรียบร้อยกว่านางมาก
ผมอาสวินก็หวีง่ายนัก สางลงไปเพียงไม่กี่ที่ก็กลับมาดูเรียงสวยเรียบร้อยดังเดิมแล้ว
จากนั้นอาลู่ก็ทำผมให้อาสวินต่อ ทว่าเขาก็ไม่ได้รวบเก็บให้เป็มวยใหญ่ที่ดูแสนจะคร่ำเคร่งดังเช่นทรงปกติของอาสวิน แต่กลับทำทรงแบบท่านอาจารย์กัวให้เขาแทน นั่นคือเมื่อหวีด้านหน้าเรียบร้อยแล้วก็รวบเก็บขึ้น ส่วนผมอีกครึ่งศีรษะนั้นปล่อยให้สยายลงมา
ยามรวบผมให้อาสวิน อาลู่ก็ใช้เชือกแดงรวบเช่นเดียวกับเฉินโย่ว
“ทรงผมเช่นนี้เหล่าเด็กหนุ่มในเมืองกำลังนิยมกัน เ้าทำแล้วดูดีนัก” อาลู่เอ่ยขึ้น
“พี่สวินหล่อเหลาจริงๆ” เฉินโย่วที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบกล่าวยกยอตามพี่ชาย
อาสวินชินกับการเก็บผมให้เรียบร้อยมากกว่า ด้วยเขานั้นทำเช่นนี้มาั้แ่ยังเล็ก เมื่อก่อนนั้นเพราะร่างกายอ่อนแอจึงจำเป็ต้องให้เสี่ยวอู่คอยปกป้อง ทว่าเขาก็ยังอดไม่ไหวที่จะดูแลตัวเองให้สะอาดสะอ้าน แต่ถึงจะเป็เช่นนั้นเขาก็ไม่เคยต้องลำบากเสี่ยวอู่ในเื่นี้เลยสักครั้ง
ต่อมาก็เคยชินกับการรักษานิสัยเช่นนี้ไว้เสียแล้ว
อาสวินก้มมองผมที่ประอยู่บนบ่าทั้งสองของตน ดูเหมือนว่ามันจะดูดีจริงๆ ด้วย
“รอจนน้องสาวผมยาวแล้ว ก็ย่อมต้องงดงามมากเช่นกัน” อาสวินจับมือเฉินโย่วไว้ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสดใสกว่าที่เคย
อาสวินนั้นจริงๆ แล้วเป็คนที่มีปัญหาเื่เล็กเื่น้อยมากมายเหลือเกิน
เพียงแต่เขานั้นฉลาด ทั้งยังปกปิดเก่ง คนอื่นๆ จึงมิอาจล่วงรู้ได้
เขานั้นเป็คนสะอาด หลงตัวเอง รักการนอนตื่นสาย และกลัวความยุ่งยาก
อาลู่มองอาสวินและเฉินโย่วด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แม้ว่าเขานั้นจะไม่มีลักยิ้ม แต่ตรงมุมปากนั้นกลับมีรอยบุ๋มกลมๆ อยู่ใต้ริมฝีปากด้านขวา
มีเพียงแต่ยามที่ยิ้มจากใจเท่านั้นจึงจะปรากฏให้เห็น
ท่าทางของเขานั้นมิได้ยี่หระเื่ทองของตระกูลต้าปาซือที่คนข้างนอกกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติแม้แต่น้อย
ด้วยเพราะเื่เ่าั้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาอีกแล้ว
ส่วนเสี่ยวอู่ที่อยู่นอกรถนั้นก็ไม่ได้ระคายต่อเสียงหัวเราะเยาะตนที่ดังขึ้นมาเช่นกัน เพราะเขาเองก็มิได้ใส่ใจ และมิได้สนใจ แม้เขานั้นจะเขลาไปเสียหน่อย ทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจสาวใช้ที่กล่าวถึงตนอยู่ดี รู้สึกเพียงว่ากิริยาของนางนั้นดูไม่ค่อยจะสำรวมสักเท่าใด
นายท่านสามนั้นนิ่งเงียบมาตลอดทาง ใบหน้ายังคงมีปอยผมปล่อยลงมาเพื่อบังคิ้วที่บากหายไปของตน ทำให้ใบหน้าของเขาดูคล้ายกับบัณฑิตไม่เบา เพียงแต่เพราะนั่งอยู่บนรถเทียมวัวจึงทำให้เขาดูซอมซ่ออยู่สักหน่อย
ส่วนเหล่าปาที่คอยบังคับวัวก็ยังคงสงบนิ่งเช่นกัน
สองมือหนาๆ และไตแข็งบนฝ่ามือของเหล่าปานั้นแสดงลีลาบังคับวัวอย่างเชี่ยวชาญ กำเชือกบังคับวัวตัวใหญ่ด้านหน้าไว้แน่น
ในที่สุดก็ถึงรอบของรถเทียมวัวของพวกเขาที่จะได้เข้าเมือง
เหล่าปาล้วงเงินมาจ่ายอย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นจึงจะได้ผ่านประตูเข้ามาในเมือง
ทันใดก็มีกลิ่นหอมที่ลอยมาตามลมปะทะเข้ากับใบหน้า
ใกล้กับประตูนั้นคือถนนเฟิงเยว่
ในอดีตที่นี่นั้นเป็เพียงอำเภอเล็กๆ มิได้มีประตูเมืองสูงใหญ่เช่นนี้ ทว่าั้แ่เส้นทางการค้านั้นเริ่มเจริญรุ่งเรือง อำเภอนี้ก็เริ่มเจริญตามอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าสิ่งใดถนนเฟิงเยว่ก็ล้วนมี
เมื่อก่อนนั้นถนนเส้นนี้เคยมีร้านอยู่เพียงไม่กี่ร้าน ทั้งยังมีแต่ลูกค้าป่าเถื่อนที่ยอมจ่ายเงินเพียงเล็กน้อย แต่จะขอสนุกตลอดคืน
"ฮัดชิ้ว......” เฉินโย่วนั้นไม่คุ้นเคยกับกลิ่นเหล่านี้ จึงจามเสียออกมาหลายที
เมื่อนึกถึงกลิ่นหอม ใบหน้าของเหล่าปาก็ปรากฏรอยยิ้มรำลึกถึงบรรยากาศในความทรงจำ
ใบหน้าของเสี่ยวอู่พลันซับสีเืขึ้นมา เขาเคยได้ยินคนูเาร่ำลือถึงกิตติศัพท์ของถนนเฟิงเยว่มานานแล้ว ด้านในนั้นมีโฉมงามมากมายจนนับไม่ถ้วน กระทั่งที่ยามเหมันต์ที่หนาวจับใจก็ยังนุ่งน้อยห่มน้อย
บัดนี้แม้จะยังไม่ถึงยามเหมันต์ ทว่าก็ยังมองเห็นสตรีในชุดกระโปรงยาวนางหนึ่งกำลังย่ำเท้าไปบนถนน ยามเคลื่อนไหวจึงเห็นว่าเรียวขาของนางนั้นเปลือยเปล่า
ทำเอาเด็กหนุ่มนั้นใจนต้องลูบห่อข้างหลังตนอีกครั้ง เขานั้นคุ้นชินกับการแบกโซ่เหล็กที่มีลูกเหล็กสองลูกห้อยอยู่ บัดนี้จึงยกมันขึ้นมาพาดตัวทันที
เมื่อเข้าเมืองแล้วเฉินโย่วก็ไม่อาจนั่งนิ่งต่อได้ ศีรษะน้อยๆ ค่อยๆ ยื่นออกมาชมความบันเทิงด้านนอก ทว่าเพียงครู่เดียวก็เริ่มจากอีกครั้ง เพราะกลิ่นหอมที่อบอวลอยู่ด้านนอก
แม่นางคนเดิมค่อยๆ ย่างเท้ามาทางรถเทียมวัวของพวกเขา
เสี่ยวอู่จึงหน้าแดงราวลูกผิงกั่วก็ไม่ปาน
ส่วนนายท่านสามยังไร้ความรู้สึก
ส่วนอาสวินนั้นกล่าวขึ้นในใจว่า แม่นางบนถนนเฟิงเยว่นี่ช่างอัปลักษณ์เสียจริง ดูอย่างแม่นางที่กำลังเดินมานั่นปะไร หน้าขาวราวกับชุบแป้ง เหมือนกับเอาแป้งทั้งหมดไปทุ่มเททาแต่หน้า แป้งจึงไม่เหลือมาถึงคอ จึงได้กลายเป็แม่นางหน้าขาวคอดำเช่นนี้
ทางอาลู่นั้นกำลังดูแลน้องสาวอยู่ เด็กหนุ่มล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ผ่านการต้มน้ำใบสะระแหน่ส่งให้น้องสาว
เฉินโย่วรับผ้ามาปิดจมูกไว้เพียงครู่เดียวก็หยุดจามทันที
จากนั้นจึงเพิ่งมองเห็นว่ามีแม่นางมายืนอยู่หน้ารถของตน แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้ายินดี “ท่านพี่ลู่ไฉนท่านเข้ามาในเมืองแล้วจึงไม่มาหาสตรีที่หอข้าเลยเล่า”
เฉินโย่วเริ่มจามขึ้นมาอีกหลายทีจนบัดนี้ปลายจมูกพลันแดงระเรื่อ
นางมิคาดคิดว่าสตรีนางนี้จะมาหาพี่ชายตน จึงได้แต่ถลึงตาด้วยความสงสัย
“ข้าและครอบครัวเข้ามาทำธุระในเมือง จึงขอไม่รบกวนแม่นางจะดีกว่า” อาลู่ยามเห็นสตรีตรงหน้าก็ใเช่นกันทว่าก็ไม่ได้แสดงออกอันใด ได้แต่กล่าวด้วยท่าทีเกรงใจ
แม่นางตรงหน้าเมื่อเห็นอาลู่ปฏิเสธเช่นนั้นก็ไม่ได้โวยวายขึ้นมา ใบหน้าขาวนั้นโปรยยิ้มหวานก่อนกล่าวขึ้น “เช่นนั้นหากท่านเสร็จธุระแล้ว ก็มาหาพวกเราเสียหน่อยเถิด คราวที่แล้วพวกข้าเอาเปรียบท่านเสียแล้ว คราวนี้จึงอยากขอบคุณน้ำใจของท่าน”
สตรีตรงหน้าแม้จะดูไม่งาม ทว่าบัดนี้กลับยืนสนทนาอยู่ใกล้นัก กลิ่นหอมเอียนนั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้เช่นกัน เรียวขาของนางก็วับแวมๆ ราวกับจะมองเห็นได้ แต่ก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
อาลู่จึงได้แต่ยกมือคารวะครั้งแล้วครั้งเล่า
รถเทียมวัวของพวกเขาจึงออกเดินหน้าต่อ
เสี่ยวอู่เอ่ยถามอาลู่ด้วยความสงสัย “พี่ลู่ ท่านกับแม่นางเมื่อครู่ชอบพอกันหรือ ถ้าน้าหลัวรู้เข้า ท่านได้ถูกตีจนขาหักแน่”
อาลู่มองท่าทีของน้องสาว ก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ข้าเปล่า เพียงแค่คราวที่แล้วได้เจอกันหน้าแผงชาครู่หนึ่ง จากนั้นข้าก็ช่วยเหลือนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เหล่าปาที่ควบคุมวัวอยู่นั้นพลันหัวเราะขึ้นมา “อาลู่ของพวกเรานั้นช่างรูปงามจนแม่นางถึงขั้นสลักไว้ในใจเสียแล้ว เพียงแต่หากนางมาไม้แข็งเมื่อใด เ้าก็อย่าลืมซองแดงก็แล้วกัน”
อาลู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็พลันแดงก่ำแล้วส่ายหน้าอย่างเอาเป็เอาตาย
“ไม่มีทาง”
อาสวินเมื่อเห็นพี่ลู่ของตนมีท่าทีเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
นายท่านสามเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวเสริม “เป็คนหนุ่มสาวนี่มันช่างดีจริงๆ”
รถเทียมวัวที่ทั้งหยาบและหนักของพวกเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวบดถนนหินเข้าไปในเมือง ชายหลังค่อมยังคงบังคับรถอย่างคล่องแคล่ว เด็กหนุ่มเด็กหญิงที่นั่งอยู่หลังรถนั้นรูปลักษณ์ทั้งหมดจดคมสัน และพริ้มเพรา ทั้งเด็กหญิงยังมีลูกผมน้อยๆ ชี้ออกมาดูไม่เรียบร้อยนัก ทว่าก็ราวกับดอกไม้บานอยู่บนศีรษะทำให้นางช่างดูมีชีวิตชีวา
ระหว่างทางที่พวกเขาผ่านหอสุรานั้น ชายที่กำลังร่ำสุราอยู่ในห้องพิเศษก็เกิดสบสายตากับเข้ากับภาพของเด็กๆ เข้า เขาพลันอุทานขึ้นด้วยความใ “ด่านชายแดนไฉนจึงบรรยากาศดีถึงเพียงนี้”
เมื่อกล่าวจบก็ทรุดตัวลงนั่งแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ ทั้งกับแกล้มและสุราตรงหน้าเขาพากันหกคว่ำสาดกระจายจนกลิ่นสุรานั้นตลบอบอวลไปทั้งห้อง