เสิ่นจือเหยียนยกถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด “ตรวจสอบถึงตรงนี้ก็เหมือนเบาะแสจะขาดไป แต่เตี้ยนเซี่ยวางใจเถิด ข้าได้สั่งให้เ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่ไปตรวจสอบกิจการค้าหยกแล้ว ตอนเย็นๆ ข้าค่อยกลับไปถามที่ศาล”
มู่หรงฉือไตร่ตรอง “เ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเพลงนั้นช่างแปลกประหลาดนัก?”
“ความหมายของท่านก็คือ มีความเป็ไปได้ว่าเพลงนั้นอาจจะเป็การบอกอนาคต?”
“หากบอกอนาคตได้จริงๆ เช่นนั้นต่อไปก็จะมีเื่เกิดขึ้น” นางพูดเสียงนิ่ง “ฝนตกทั่วฟ้า...ปลากินคน...หรือว่าหลายวันนี้มีคนถูกปลากินไปแล้ว?”
“ทานอาหารให้อิ่มก่อนค่อยคิดเถิด ข้าหิวจนอกจะยุบไปติดแผ่นหลังแล้ว” เขาโอดครวญ “หลายวันมานี้อากาศแจ่มใส จะมีฝนตกได้อย่างไร? อีกอย่างถ้าฝนตกลงมาแล้วมีอะไรแปลกกัน?”
นางเองก็พูดไม่ออกว่ามันแปลกอย่างไร ตอนนี้เองที่เสี่ยวเอ้อยกอาหารเข้ามา พวกเขาจึงลงมือทานกันทันที
ครั้นทานกันจนอิ่มหนำแล้วก็พากันออกจากหอเต๋อเยว่ มู่หรงฉือตัดสินใจกลับไปถามช่างหยกที่วัง
เสิ่นจือเหยียนกลับไปถามลูกน้องที่ศาลต้าหลี่ว่าตรวจสอบพบอะไรหรือไม่ จากนั้นก็ยิ้มสดใสราวกับท้องฟ้าสีครามพลายเปรยขึ้นว่า “เย็นนี้ข้าจะเอาเนื้อวัวไปที่ตำหนักบูรพา ล้างมือเตรียมทำเนื้อวัวให้เตี้ยนเซี่ยชิม”
ครั้นมู่หรงฉือกลับไปถึงตำหนักบูรพา คนงานก็รีบไปเรียกช่างทำหยกมา หลังจากนางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นอนหลับตาพักบนเตียงครู่หนึ่ง
ช่างหยกทำเครื่องหยกอยู่ในวังมาได้ครึ่งชีวิตแล้ว ฝีมือนับว่าเป็ที่สุดของเมืองลั่วหยาง
เขาพลิกหยกโลหิตไปมาตรวจดูอย่างละเอียด รอยยับย่นบนใบหน้ามีความประหลาดใจแผ่ขยายอยู่ มือสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “เตี้ยนเซี่ย นี่เป็หยกโลหิตที่ดีมาก”
“เ้าดูแล้วมองออกหรือไม่ว่าหยกโลหิตทำมาจากที่ใด?”
“หยกโลหิตหาได้ยากและมีค่ายิ่งนัก ต้นกำเนิดเป็ปริศนามาโดยตลอด แต่ว่ากระหม่อมสามารถยืนยันได้ว่า แคว้นเยี่ยนของพวกเราทำหยกโลหิตชนิดนี้ออกมาไม่ได้” ช่างทำหยกพูดด้วยความตื่นเต้น “เตี้ยนเซี่ยทรงได้หยกนี้มาจากไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เื่นี้เ้าไม่ต้องไปสนใจ” หาเบาะแสไม่เจอ มู่หรงฉือปวดหัวไปหมด “เถ้าแก่ของร้านค้าหยกในเมืองบอกว่าหยกโลหิตคือสิ่งที่ขุดออกมาจากศพในหลุมศพที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี...”
“เถ้าแก่ผู้นั้นพูดถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว” ช่างทำหยกกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม “สีแดงเข้มแดงอ่อนบนหยกโลหิต ความจริงแล้วเรียกว่าหงฉินกับเสวี่ยฉิน หยกโลหิตมีสองแบบ หนึ่งคืออย่างที่เถ้าแก่ผู้นั้นพูด คือขุดออกมาจากศพที่ฝังเอาไว้นานปี อีกแบบหนึ่งคือฝังเอาไว้ในดิน ธาตุเหล็กในดินค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในหยก ผ่านเวลาเป็ร้อยปีพันปี สีแดงเข้มในหยกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเปลี่ยนเป็สีแดงเรื่อ”
“เป็เช่นนี้นี่เอง” นางเข้าใจทันที แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับปริศนาของหยกที่ตกมาจากฟ้านี้ได้
หลังจากช่างหยกกลับไปแล้ว หรูอี้ก็พูด “เตี้ยนเซี่ย พักผ่อนก่อนดีหรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉือนอนลงบนเตียง หลับตาทั้งสองข้างลง หรูอี้เดินเข้ามาคลี่ผ้ามาห่มลงบนตัวของเตี้ยนเซี่ยเบาๆ จากนั้นก็ออกไป
ลมพัดแรงก่อนที่ฝนจะก่อตัว นางวิ่งฝ่าพายุฝนไปยังตำหนักชิงหยวน...
เสด็จพ่อบรรทมอยู่บนเตียงด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่ไม่ว่านางจะร้องเรียกอย่างไรเสด็จพ่อก็ไม่ฟื้น ไม่ลืมตาขึ้นมา ราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง
นางร้องเรียกด้วยความร้อนใจ ทันใดนั้นพลันเห็นว่าข้างกายของเสด็จพ่อมีหยกโลหิตอยู่หลายสิบชิ้น ก่อนที่หยกโลหิตพวกนี้จะมีเืสดๆ ไหลทะลักออกมาอย่างฉับพลัน เืยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แผ่ขยายไปจนเต็มเตียง เสด็จพ่อราวกับนอนอยู่กลางทะเลเื
นางะโร้องเรียก “เสด็จพ่อ” ด้วยความใกลัวจนตัวสั่น แต่ว่าเสด็จพ่อยังคงหลับสนิท
โลหิตไหลออกมาจากหยกไม่หยุด ไหลไปจนถึงพื้นที่ปูไว้ด้วยอิฐ ราวกับจะแผ่ขยายไปทั่วทั้งตำหนักบรรทม ทั่วทั้งตำหนักชิงหยวน...
นางอยากจะฝ่าทะเลเืนี้ไปช่วยเสด็จพ่อ แต่ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ไม่สามารถก้าวเท้าไปได้
เสด็จพ่อ...
มู่หรงฉือหอบหายใจหนักหน่วง หน้าอกกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้น นางก็ลืมตาขึ้นดวงตาเบิกโพลง
หรูอี้ได้ยินเสียงร้องเรียก “เสด็จพ่อ” อย่างทรมานก็รีบวิ่งเข้ามา พูดปลอบโยนเสียงอ่อน “เตี้ยนเซี่ย ฝันร้ายหรือเพคะ?” มู่หรงฉือหอบหายใจหนัก ริมปากแห้งผาก พูดไม่ออก
หรูอี้หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผากของนาง “แค่ฝันร้ายเท่านั้นเพคะ ไม่ใช่ความจริง เตี้ยนเซี่ย ดื่มน้ำชาสักถ้วยก่อนเพคะ”
พูดไป หรูอี้ก็ยกถ้วยชาขึ้นมาปรนนิบัติให้นางดื่มน้ำชา
หลังจากดื่มเสร็จแล้ว มู่หรงฉือก็จัดการเสื้อผ้าตัวเองก่อนจะเดินไปนอกตำหนัก ตอนนี้มีแสงอาทิตย์จางๆ อยู่ทางตะวันตก แสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมกำแพงวังให้กลายเป็สีแดงเื
ลมยามเย็นพัดพาความเย็นสดชื่นมาปะทะหน้า
“เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่นมาถึงแล้วเพคะ กำลังลงมือทำอาหารอยู่ที่โรงครัว” หรูอี้พูดพลางยิ้ม
“อ้อ? เช่นนั้นเปิ่นกงจะไปดูสักหน่อย”
มู่หรงฉือมาถึงด้านหน้าโรงครัว ก็เห็นว่าพ่อครัวกับข้าหลวงถูกเสิ่นจือเหยียนไล่ออกมาด้านนอก ภายในโรงครัวมีแค่เขายุ่งง่วนอยู่คนเดียว
นางโบกมือให้พ่อครัวกับข้าหลวงอออกไป ก่อนจะถาม “ศาลต้าหลี่ตรวจพบอะไรหรือไม่?”
เขาเอาเนื้อวัวสองชิ้นเอาไปรมควันอยู่ในหม้อ ครู่เดียวก็มีเสียงปุ๊กๆ ดังออกมา “ข้าถามมาแล้ว ตรวจสอบไม่เจอเบาะแสที่เป็ประโยชน์เลย”
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ตัวหนึ่ง ถอนหายใจอย่างถอดใจ ไม่มีเบาะแสอะไร! ไม่มีจุดเริ่มต้น!
ถึงแม้คนที่ทำความผิดมีความเป็ไปได้ที่จะเป็คนในวัง แต่คนในวังมีตั้งมากมาย จะตรวจสอบจากที่ใด? หรือจะต้องไล่ถามทีละคน นั่งถามไปทีละตำหนักเช่นนั้นหรือ?
“เตี้ยนเซี่ย ท่านเองก็อย่ากังวลใจไป เื่นี้ก็ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นมีคนาเ็แต่อย่างใด พวกเราค่อยๆ ลงมือก็ได้”
เสิ่นจือเหยียนให้คนดูแลระวังฟืนไฟ พูดไปประโยคหนึ่ง
มู่หรงฉือเข้าใจว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็ห่วง แต่ว่าในวังมีข่าวลือแพร่กระจายไปแล้ว ข้าหลวงจำนวนไม่น้อยแอบพูดเื่หยกโลหิตตกจากฟ้านี่สิ
คิดถึงฝันร้ายเมื่อครู่ ในใจของนางก็วิตกกังวลระคนหวาดระแวง รู้สึกว่าจะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่
ไม่นานนัก เสิ่นจือเหยียนก็ยกจานสีเขียวออกมาสองใบ คลี่ยิ้มสดใส “เตี้ยนเซี่ย ไปทานเนื้อวัวกันพ่ะย่ะค่ะ”
กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมของเนื้อวัวฟุ้งไปทั่ว นางได้กลิ่นแล้วนิ้วเรียวก็ขยับทันที “วิธีการทำของเ้าคือจี่เนื้อวัวอย่างนั้นหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พลางเดินไปที่ตำหนักใหญ่
มู่หรงฉือนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ มองเนื้อวัวหอมนุ่มที่มีควันร้อนๆ ลอยขึ้นมาจากจาน “เหตุใดจึงหั่นเนื้อวัวได้บางขนาดนั้น?”
“ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ เนื้อวัวชิ้นนี้ทานลงไปก็พออยู่ท้องแล้ว ตอนกลางคืนท่านยังสามารถทานอาหารมื้อดึกได้อีก” เขายิ้มซุกซนเอ่ยเร่งนาง “รีบชิมเร็วเข้า”
“แผ่นใหญ่ขนาดนี้ จะทานอย่างไร?”
นางหยิบมีดขึ้นมา แต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้
เขายกมือหยิบมีดขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ข้าเฉลียวฉลาดขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องคิดวิธีการกินน่าสนุกเอาไว้แล้ว มา ให้ข้าช่วยท่าน”
กล่าวจบ เสิ่นจือเหยียนก็เอาเนื้อวัวที่จี่กับกระทะเรียบร้อยแล้วที่วางอยู่ในจานออกมา ใช้ส้อมเงินมายึดเนื้อวัวด้านหนึ่งก่อนจะใช้มีดหั่นแบ่งเป็ชิ้นเล็กๆ ออกมา แล้วหั่นเป็ชิ้นพอดีคำอีกครั้ง จากนั้นจึงส่งจานเนื้อวัวกลับคืนไปให้นาง “ทำไม่เป็ใช่หรือไม่?”
มู่หรงฉือทานเนื้อวัวสองชิ้นเล็กๆ นั้นก่อน ค่อยๆ ซึมซับรสชาติ “หอมนุ่มลื่น รสชาติพิเศษ ดียิ่ง ดียิ่ง!”
ฉินรั่วกับหรูอี้ตะลึงตาค้าง การทานเช่นนี้แปลกเกินไปแล้ว
“ความจริงแล้ววิธีการง่ายมาก เพียงแต่จะต้องหมักเนื้อวัวก่อน แล้วยังต้องบ่มกับเครื่องเทศสูตรประจำตระกูลของข้า การจี่เนื้อวัวให้หอมเช่นนี้ก็จะมีทั้งกลิ่นของเนื้อวัว ทั้งยังสามารถเอาเครื่องเทศสูตรพิเศษของตระกูลข้าเข้าไปในเนื้อวัว รสชาติกลิ่นหอมก็จะเข้ากันอย่างดี” เขาหั่นเนื้อวัวไป มือก็ทำท่าทางประกอบคำพูดไป “เตี้ยนเซี่ยท่านรู้หรือไม่ว่าข้าคิดค้นการกินแบบนี้ได้อย่างไร? มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่ข้ากำลังพลิกศพ ก็พบว่าขาของศพหญิงผู้นั้นถูกแผ่นเหล็กที่ร้อนจนแดงมาเผา...”
“เ้าพูดอีกครึ่งคำ เปิ่นกงจะเอาเนื้อวัวไปปักไว้ที่หน้าของเ้า” มู่หรงฉือก้มหน้าหั่นเนื้อวัว พูดอย่างไม่เร่งร้อน
“ใต้เท้าเสิ่นตั้งใจทานดีๆ เถิดเ้าค่ะ” ฉินรั่วยิ้มกล่าว
เสิ่นจือเหยียนหาได้สนใจไม่ เพียงพูดกลั้วหัวเราะ “ครั้งหน้าข้าจะทำมากกว่านี้อีกสักสองชิ้นให้พวกเ้าได้ทาน”
หรูอี้ยิ้มตาหยี “เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าเสิ่นแล้วเ้าค่ะ”
ตอนนี้เอง นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน “เตี้ยนเซี่ย องค์หญิงตวนโหรวขอเข้าเฝ้าเพคะ...”
ยังไม่ทันพูดจบ ด้านหลังก็มีคนพุ่งเข้ามา องครักษ์ต่างรั้งไว้ไม่อยู่
มู่หรงฉือขมวดคิ้วอย่างหมดคำพูด เหตุใดนางถึงได้มาอีกแล้ว?
ฉินรั่วกับหรูอี้รีบยกมือขึ้นขวางนางเอาไว้ “องค์หญิงตวนโหรวมีธุระอะไรหรือเพคะ?”
มู่หรงสือปัดแขนของพวกนาง พูดด้วยท่าทางจริงจัง “ข้ามาหาองค์รัชทายาทย่อมต้องมีธุระ เป็เื่สำคัญมากด้วย”
ฉินรั่ว หรูอี้ยกมือขึ้นขัดขวางอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่านางจะย่อตัวแล้วมุดผ่านใต้แขนของพวกนางไป พวกนางเองก็ไม่สามารถรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ได้แต่รีบตามเข้าไป “เตี้ยนเซี่ย องค์หญิงนาง...”
มู่หรงสือเห็นเสิ่นจือเหยียนอยู่ด้วยจึงชะงักไปเล็กหน่อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็ปกติแล้วทำความเคารพมู่หรงฉือ
เสิ่นจือเหยียนลุกขึ้นโค้งตัวคำนับ “ถวายบังคมองค์หญิง”
“พวกท่านกำลังทานอะไรกันหรือ?” นางมองไปยังเนื้อวัวบนจานพลางกลืนน้ำลาย “นี่คือเนื้อวัวหรือ? เป็เนื้อวัวที่แปลกมาก แต่ว่าเหมือนจะหอมน่ากินอยู่นะ”
“องค์หญิง กระหม่อมกับเตี้ยนเซี่ยกำลังปรึกษาธุระกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ...” เห็นใบหน้าเ็าขององค์รัชทายาท เขาก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเตี้ยนเซี่ยไม่ค่อยดีสักเท่าไร
“พวกท่านไม่ได้กำลังทานอาหารกันอยู่หรือ?” มู่หรงสือนั่งลง ใช้ตะเกียบคีบเนื้อวัวขึ้นมา “ข้ากำลังหิวพอดีเลย ข้าอยากชิมเนื้อวัวนี้ว่ารสชาติเป็อย่างไร”
พูดจบ นางก็ทานเข้าไปคำใหญ่ เคี้ยวตุ้ยๆ พลางพยักหน้ายิ้มอย่างประหลาดใจ “เตี้ยนเซี่ย เนื้อวัวนี่อร่อยมากเพคะ”
เสิ่นจือเหยียนตัวแข็งไปทั้งร่าง ท่าทางเหมือนคนถูกฟ้าผ่า ใบหน้าแฝงความอาลัยอาวรณ์
ฉินรั่วกับหรูอี้ทำเพียงแสดงท่าทางหมดหนทาง แล้วไว้อาลัยกับเนื้อวัวของเขา
มู่หรงฉือทานเนื้อวัวต่อไป ไม่สนใจว่าตรงหน้าเกิดเื่อะไรขึ้น
“องค์หญิง เนื้อวัวนี้เป็ของกระหม่อม” เสิ่นจือเหยียนเอ่ยเตือนเสียงต่ำ ยิ้มตาปริบๆ
“งั้นหรือ? แต่ว่าข้ากัดไปแล้ว มีน้ำลายของข้า เช่นนั้นก็เป็ของข้าแล้ว เ้ายังอยากจะทานอีกหรือ?” มู่หรงสือเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยไปก็พูดไป อาหารเต็มปาก
“เช่นนั้นก็ยกให้องค์หญิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาถูกทำร้ายจิตใจ ได้แต่ทำท่าทางทุกข์ใจมองไปทางเตี้ยนเซี่ย
มู่หรงฉือใช้เสียงเ็าพูดเน้นทีละคำ “องค์หญิง ที่นี่ไม่ใช่จวนอวี้หวางแต่เป็ตำหนักบูรพา”
ความหมายก็คือ องค์หญิงเ้าไม่สนใจกฎของวัง เปิ่นกงควรจะลงโทษเ้าอย่างไรดี?
มู่หรงสือทานอาหารอย่างมีความสุข ยิ้มออดอ้อน “หม่อมฉันรู้ว่าเป็ตำหนักบูรพาเพคะ”
เสิ่นจือเหยียนกำหมัดแน่น นึกเป็กังวลในสติปัญญาของนาง “องค์หญิงบุกเข้าตำหนักมา ไม่ได้รับการอนุญาตจากเตี้ยนเซี่ย แล้วยังมาทานอาหารที่นี่ องค์หญิงตวนโหรว ท่านกล้าหาญยิ่งนัก!”
“เตี้ยนเซี่ยไม่มีทางตำหนิที่ข้าไร้มารยาท เพราะว่าั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป ข้าคือเพื่อนร่วมเรียนหนังสือของเตี้ยนเซี่ย”
มู่หรงสือยิ้มตาหยีพลางพูด ดวงตายิบหยีจนเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว
แม้นางจะยิ้มได้น่ารัก แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของนางไม่ได้ ช่างน่าโมโหจนต้องกัดฟันกรอด
มู่หรงฉือกับพวกเสิ่นจือเหยียนสี่คนทำหน้างงงวย องค์หญิงคือเพื่อนร่วมเรียนขององค์รัชทายาท?
ในใจของมู่หรงฉือเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน ทำไมนางที่เป็องค์รัชทายาทถึงไม่รู้เื่นี้กันเล่า?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้