ห้องโถงใหญ่ สำนักติงหลง
ตอนนี้ หลงหว่านชิงในชุดเครื่องแต่งกายเรียบง่าย กำลังนั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง โดยมีหญิงชรา ผู้เป็หัวหน้าสังกัดอัคคีของหออี้ผินอย่างติงรุ่ย ยืนถือไม้เท้าอยู่ด้านข้าง
ติงรุ่ยขมวดคิ้วแน่น พลางจ้องมองหญิงสาว
“ถังจู่ อย่าถ่วงเวลาเลย บอกข้ามาเถอะ ว่าชีพจรัอยู่ที่ใด?” หญิงชราถามอย่างใจเย็น
หลงหว่านชิงที่กำลังจะวางเม็ดหมาก ชะงักมือ เงยหน้ามองหญิงชราข้างกาย ก่อนที่ใบหน้าสวยจะค่อยๆ คลี่ยิ้มเยาะ “ติงรุ่ย ที่เ้าทำแบบนี้ เคยคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
“หากมันทำให้ข้าได้ชีพจรั และสามารถปลดผนึกตารางหมากยี่สิบเก้าเส้นได้... ถ้าท่านยอมมอบชีพจรัของท่านอดีตถังจู่ออกมา ทุกเื่ที่เคยทำให้ท่านโกรธเคือง ข้าจะยอมรับผิด และน้อมขอโทษทันที” หญิงชรากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“เช่นนั้น เ้ารู้ได้อย่างไร ว่าชีพจรัอยู่กับข้า” หญิงสาวจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ตอนที่ท่านแม่ของถังจู่สิ้นชีพ บนร่างของนางไม่มีหยกัแล้ว ดังนั้นไม่ท่านก็น้องสาว ต้องได้รับมันไปแน่ แต่น้องสาวของท่านไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวกับสำนักซ่งเจี่ย
จึงมีเพียงท่าน และกลุ่มคนที่น่ารำคาญของท่านเท่านั้น ฉะนั้น ถังจู่ได้โปรดบอกมาเถอะ” ติงรุ่ยอธิบาย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตอนที่ท่านแม่ของข้าสิ้นชีพอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาสวยหรี่ลง อย่างแปลกใจ
หลงหว่านชิงจ้องมองหญิงชรา ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เ้ารู้หรือ ว่าท่านแม่ของข้าตายอย่างไร? ท่านแม่ของข้าถูกลอบสังหาร...”
ติงรุ่ยเลิกคิ้ว พลางพูด “ถังจู่ ข้าไม่ได้เป็คนฆ่าแม่ของท่าน ทว่า ก็พอจะรู้อะไรมาบ้างเกี่ยวกับเื่นี้ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร ท่านมอบชีพจรัมาเถอะ อย่าให้ข้าต้องบังคับขู่เข็ญเลย”
“รู้หรือไม่… ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงไม่บอกเ้า?” หญิงสาวถามกลับอย่างเฉยเมย
หญิงชราเงียบไปชั่วขณะ
“หากเ้าบอกว่าท่านแม่ของข้าตายอย่างไร ข้าอาจจะยอมบอกที่ซ่อนของหยกัให้เ้ารู้ก็ได้” หลงหว่านชิงกล่าว น้ำเสียงเคร่งขรึม
ติงรุ่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ถังจู่ มิใช่ว่าท่านตั้งใจที่จะให้ข้าจับตัวท่านมาหรอกหรือ?”
“หือ?”
“ที่ท่านปล่อยให้ข้าจับตัวมา ยอมเสี่ยงเช่นนี้ มิใช่ว่า้าที่จะสืบหาสาเหตุการตายของแม่หรือไร?” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าชรา ทันทีที่เอ่ยจบ
หญิงสาวยิ้มเยาะเล็กน้อย พลางพูด “ติงรุ่ยมีคนเคยบอกข้าว่า เ้าคือจิ้งจอกเฒ่า... นี่เ้ากำลังคิดจะก่อฏต่อหออี้ผินใช่หรือไม่?”
“ก่อฏ? ถังจู่ก็พูดเกินไป ข้าไม่เคยคิดจะฏ แต่ท่านไม่เหมาะที่จะเป็ถังจู่แห่งหออี้ผินจริงๆ หลงหว่านชิง ท่านช่างฉลาดนัก แต่ฉลาดในเื่โง่ๆ!
เพื่อที่จะหาสาเหตุการตายของแม่ กลับยอมเสี่ยงให้ข้าจับตัวมา ระดับพลังของท่านในตอนนี้ ถูกผนึกโดยเืเจียวหลง ดังนั้นท่านก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้แล้ว จะมีปัญญาอะไรไปตามหาหยกั และนำมันมาให้ข้า” หญิงชราเอ่ยถามเสียงเรียบ
หญิงสาวยิ้มเยาะ แล้วจึงกล่าว “หากเ้าไม่บอก มีหรือข้าจะมอบมันให้เ้า?”
“ช่างดื้อดึงนัก!” ติงรุ่ยตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นจึงยื่นมือออกไป เพื่อทำการตรวจค้นตัวหลงหว่านชิง
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น โล่สีแดงก็ปรากฏขึ้นที่ข้างตัวหญิงสาว
ตูม!
หญิงชราดึงมือขวากลับทันที ที่เห็นโล่นั่น
“นี่มัน... หยกั?” ติงรุ่ยนิ่งงัน ดวงตาเอาแต่จับจ้องโล่สีแดง
หลงหว่านชิงค่อยๆ หันไปมอง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “แม้ว่าข้าจะถูกผนึกพลัง แต่ก็ยังมีหยกัคุ้มครองอยู่ ติงรุ่ย ข้าสามารถมอบมันให้ได้ หากเ้ายอมบอกสาเหตุการตายของท่านแม่ แล้วข้าจะพาเ้าไปเอาชีพจรัเอง”
หญิงชรามองดูอีกฝ่าย อย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก
“หืม... หลงหว่านชิง แม้ว่าท่านจะมีหยกัคอยคุ้มครอง แต่ก็ไม่อาจหนีไปไหนได้อยู่ดี” ติงรุ่ยเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“ติงรุ่ยอย่าทำผิดอีกเลย ถึงตอนนี้จะมีแค่ข้าที่รู้ แต่ในวันข้างหน้าท่านตาต้องรู้เื่แน่ เ้าคิดว่าถึงตอนนั้น ท่านตายังอยากจะเห็นหน้าเ้าอยู่อีกหรือ” หญิงสาวเตือนเสียงเย็น
ดวงตาทั้งสองของหญิงชราสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงคนผู้นั้น นิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังนึกไตร่ตรองบางอย่าง
“ฮึ่ม!” ติงรุ่ยหมุนตัว เดินออกจากห้องโถงไปในที่สุด
ฟึ่บ!
เพียงนางสะบัดแขนเสื้อ ประตูห้องโถงก็ปิดลง
“จับตาดูให้ดี ไม่ว่าใคร หากข้าไม่อนุญาต ห้ามเข้าออกทั้งสิ้น” หญิงชราร้องสั่งทหารยามที่เฝ้าประตู
“ขอรับ!” ทหารยามตอบกลับ
ไม่ไกลกันนัก เมื่อชายชราผมขาวคนหนึ่ง เห็นติงรุ่ยก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ด้วยแววตาสับสนเช่นนั้น จึงรีบเดินเข้าไปหาทันที
“เปี่ยวอี๋[1]” ชายชราผมขาวกล่าวอย่างนอบน้อม
“ติงตง?” ติงรุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เปี่ยวอี๋ ท่านจับตัวถังจู่แห่งหออี้ผินมาที่สำนักติงหลงเช่นนี้ ข้าเกรงว่า...” ชายชราเอ่ยอย่างหวาดกลัว
ติงตงไม่้าที่จะผิดใจกับหลงหว่านชิงแม้แต่น้อย แม้จะเป็ถึงหัวหน้าสำนักติงหลง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นั้น เขาก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลที่ไร้ตัวตน
ตนเองไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าพบท่านถังจู่เสียด้วยซ้ำ... แต่ตอนนี้นางกลับถูกกักขังอยู่ที่นี่?
เมื่อคิดถึงผลที่จะตามมาแล้ว ชายชราก็รู้สึกพรั่นพรึงยิ่ง
หญิงชราเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยสายตานิ่งเรียบ ก่อนบอก “ไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”
“แต่... แต่... หลงหว่านชิง นาง...” ติงตงยังคงนึกกังวล
“เ้ากลัวนาง แต่ไม่กลัวข้าอย่างนั้นหรือ?” ติงรุ่ยถามเสียงเย็น
ตอนนี้เขากำลังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ จึงฝืนยิ้ม “ก็ได้!”
“อย่าวิตกเลย นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเ้า แค่ทำเป็ลืมเื่เหล่านี้ไปเสีย” หญิงชรากล่าวเสียงต่ำ
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนผงกศีรษะ “ได้!”
“นี่คือพื้นที่ต้องห้าม บอกศิษย์สำนักติงหลงทุกคน ห้ามใครเข้าใกล้ที่นี่เด็ดขาด!”
“ข้าจะออกคำสั่งทันที!”
“นอกจากนี้แล้ว ข้างนอกนั่นเป็อย่างไรบ้าง?” ติงรุ่ยถามด้วยความสงสัย
“แก้หมากไปได้หนึ่งร้อยกระดานแล้ว แต่กว่าจะแก้แต่ละกระดานได้ ไม่ใช่เื่ง่ายเลย ทว่า เพราะรางวัลตอบแทนคือหินิญญาระดับสูงหนึ่งก้อน จึงทำให้ผู้ฝึกตนพากันเข้ามาร่วมแก้หมากมากขึ้นเรื่อยๆ” ติงตงอธิบาย
“ยังไม่พอ... เพิ่มรางวัลเป็สิบเท่า!”
“หืม? แก้หมากได้หนึ่งกระดาน ก็ได้รับหินิญญาระดับสูงถึงสิบก้อน? หากเป็เช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนและศิษย์สำนักติงหลง จะต้องแห่กันมาแก้หมากแน่” ชายชราเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“หมากสามพันกระดาน มีเพียงหนึ่งร้อยกระดานเท่านั้นที่แก้ได้ เหลืออีกตั้งสองพันเก้าร้อยกระดาน เช่นนี้แล้วต้องรอถึงเมื่อไร กว่าจะแก้หมากทั้งหมดได้ ข้า้าแก้หมากทุกกระดานให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะต้องใช้หินิญญามากเท่าใด ก็ไม่เกี่ยง” หญิงชรากล่าว
“เข้าใจแล้ว” ติงตงพยักหน้ารับ
...
บัดนี้ กู่ไห่ได้เดินทางไปยังทางใต้ของแคว้น เพื่อมุ่งหน้าสู่สำนักติงหลง ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้สำนักติงหลงนั้น ก็ได้พบกับฝูงชนที่ต่างก็กำลังเดินทางไปยังจุดหมายเดียวกัน และแน่นอนว่าผู้ฝึกตนเ่าั้ เริ่มที่จะจำเขาได้
“กู่ไห่หรือ? เขาคือกู่ไห่!” ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มคนก็ะโขึ้น
“ที่พรรคต้าเฟิง เขาคือคนที่สังหารผู้ฝึกตนกว่าสองหมื่นคน!”
“เขามีลูกท้อร้อยปี!”
ขณะนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบ ต่างมองกู่ไห่ด้วยสายตาแปลกๆ แม้พวกเขาจะ้าลูกท้อ แต่จากกิตติศัพท์ที่ได้ยินมา สิ่งที่อีกฝ่ายทำกับพรรคต้าเฟิงนั้น ช่างโหดร้ายนัก
กลุ่มคนโฉดทั้งสามพันคนได้ตามมาด้วยหรือไม่?
ผู้ฝึกตนหลายคนเดินตามชายหนุ่มไป จนถึงหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่รอช้า ฉวยโอกาสเข้ารุมล้อมเขาทันที
กู่ไห่ยืนอยู่ใจกลางหุบเขา พลางจ้องมองกลุ่มผู้ฝึกตนกว่าห้าสิบคนที่รายล้อมตนอยู่ ด้วยสายตาเย็นะเื
ผู้ฝึกฝนเ่าั้ พากันจ่อกระบี่ไปยังชายหนุ่ม
“กู่ไห่ ลูกท้อร้อยปีอยู่ที่ไหน?” ผู้นำชุดแดงเอ่ยถามอย่างเยียบเย็น
“ลูกท้อร้อยปี?” ชายหนุ่มย้ำคำ ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ใช่! เ้าไม่สมควรจะได้กินมัน เช่นนั้นแล้ว จงมอบมาให้พวกเราเสีย แล้วเราจะปล่อยเ้าไป ไม่อย่างนั้น...” ชายชุดแดงกล่าวเสียงเรียบ
“ส่งลูกท้อร้อยปีมา!” กลุ่มผู้ฝึกฝนตวาดเสียงดัง
กู่ไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมเอ่ย “เ้าเข้าใจถูกแล้ว! ลูกท้อร้อยปีอยู่ที่ข้า”
ดวงตาทุกคนเป็ประกายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ส่งมันมาเสีย!”
กู่ไห่ยิ้มเยาะ ก่อนพูด “เ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ ที่จะมัน!”
“เช่นนั้น ก็อย่าโทษว่าพวกข้าใจร้ายก็แล้วกัน!” ชายชุดแดงกล่าวเสียงเย็นเฉียบ
กล่าวจบ เหล่าผู้ฝึกตนจึงค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ชายหนุ่ม พร้อมกระชับกระบี่ในมือแน่น
ยามนี้ ใบหน้าของกู่ไห่ช่างราบเรียบ ยากคาดเดาความคิด รอบกายของเขาค่อยๆ แผ่จิตสังหารออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” จู่ๆ เสียงะโห้ามก็ดังมาแต่ไกล
เหล่าผู้ฝึกตนยั้งมือ ก่อนหันไปมองผู้ที่เอ่ยห้ามปราม ก็พบกับชายชุดเขียวคนหนึ่ง กำลังทะยานเข้ามายังที่ที่พวกเขายืนอยู่
“พี่ใหญ่?” ทุกคนต่างแสดงท่าทีประหลาดใจ
กู่ไห่เหลือบมองชายชุดเขียวด้วยสายตาเฉยชา ซึ่งอีกฝ่ายในตอนนี้ ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขณะเดินมาด้วยความหวาดหวั่น
ตุบ!
ชายชุดเขียวทรุดตัวลงต่อหน้าทุกคน
“พี่ใหญ่ พวกเราเจอกู่ไห่แล้ว ลองมองไปรอบๆ สิ ตอนนี้เขาไม่มีกลุ่มคนโฉดติดตามมา”
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ตอนนี้มีเขาแค่คนเดียว เช่นนี้แล้ว จะหนีไปไหนได้”
“ลุกท้อร้อยปีเป็ของพวกเราแล้ว วันนี้คือวันเกิดของอาจารย์ ดีจริงๆ จะได้นำลูกท้อร้อยปีไปมอบเป็ของขวัญ”
“พี่ใหญ่ เรามาร่วมมือกันจัดการกู่ไห่เถอะ”
ผู้ฝึกตนกว่าห้าสิบคน ต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“หุบปาก!” ชายชุดเขียวตวาดลั่น
“หา?” ผู้ฝึกตนทั้งห้าสิบคน พากันงุนงง เมื่อเห็นท่าทีของผู้ที่เป็ศิษย์พี่ใหญ่ของตน
“ท่านกู่ ศิษย์น้องของข้าเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยให้พวกเขาด้วย ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อขอโทษท่านแทนพวกเขา” ชายในชุดเขียวโค้งคำนับอีกฝ่ายทันทีที่เอ่ยจบ
“เอ๊ะ? พี่ใหญ่ ท่านกำลังทำอะไร?”
“พี่ใหญ่ ท่านเป็อะไรของท่าน...”
“หุบปาก... เ้าพวกบ้า!” จู่ๆ ชายผู้มีศักดิ์เหนือกว่า ปรามพวกศิษย์น้องอีกครั้ง
กลุ่มศิษย์น้องต่างเคลือบแคลงใจ... วันนี้พี่ใหญ่เป็อะไรไป?
กู่ไห่จ้องชายชุดเขียวนิ่ง ดวงตาคมมองหยาดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าของคนตรงหน้า ก็พอจะรู้ว่า ตอนนี้อีกฝ่ายรู้สึกหวั่นใจมากเพียงใด
“ช่างเถอะ!” ชายหนุ่มพยักหน้าให้
“ขอบคุณท่านกู่!” ชายตรงหน้ากล่าว พลางยกยิ้มอย่างโล่งอก
“สำนักติงหลงอยู่ข้างหน้า ใช่หรือไม่?” กู่ไห่ถามเสียงต่ำ
“ใช่ขอรับ! หลังจากผ่านูเานี้ไปราวยี่สิบลี้ ก็จะถึงสำนักติงหลง” ชายตรงหน้ากล่าวด้วยความนอบน้อม
ชายหนุ่มผงกศีรษะ ก่อนเดินจากไป
“พี่ใหญ่...” กลุ่มศิษย์น้องต่างท้วงติง ด้วยความไม่เข้าใจ
“หุบปาก!”
พวกเขาต่างรู้สึกเคืองเล็กน้อย แต่เพราะพี่ใหญ่มีความดีอยู่มาก จึงไม่มีใครนึกโกรธในการกระทำของเขา จนกระทั่งกู่ไห่เดินหายลับไปจากสายตา จึงเอ่ยถามทันที
“พี่ใหญ่ ทำไมถึงปล่อยเขาไป?”
“ใช่! พี่ใหญ่ พวกเราห้าสิบคน กับเขาแค่คนเดียว ยังจะต้องกลัวอะไรอีก”
“เรามาที่เกาะจิ๋วหวู่ ก็เพื่อแย่งชิงลูกท้อร้อยปีมิใช่หรือ? ตอนนี้กู่ไห่กำลังอยู่เพียงลำพัง ส่วนพวกเรามีถึงห้าสิบคน โอกาสดีเช่นนี้ เหตุใดถึงปล่อยเขาไป?”
“เขาเอาชนะพวกเราไม่ได้แน่”
ทุกคนต่างมองพี่ใหญ่เป็ตาเดียว
ชายชุดเขียวมองตามทางที่กู่ไห่เดินหายไป อย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง ก่อนหันมามองกลุ่มศิษย์น้องของตน
“ห้าสิบต่อหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” ชายผู้มีศักดิ์สูงกว่า กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ใช่! พวกเราห้าสิบคน เขาคนเดียวเอาชนะไม่ได้หรอก” หนึ่งในกลุ่มศิษย์น้องเอ่ยขึ้น
“ครึ่งเดือนที่ผ่านมา กู่ไห่สังหารศิษย์สำนักซ่งเจี่ยไปทั้งหมดห้าพันคน พวกเ้ารู้เื่นี้หรือไม่?” ศิษย์ผู้พี่เอ่ยเสียงเย็น
“หา? เป็ไปไม่ได้!” ท่าทีของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
“พี่ใหญ่ของพวกเ้าอยู่ที่นั่นในตอนนั้น คิดว่าข้าโกหกหรืออย่างไร?” ชายชุดเขียวพูด
ทุกคนในที่นี้ ต่างรู้ดีว่าพี่ใหญ่ไม่มีวันโกหกพวกตน แต่ว่า...
“เขาเพียงคนเดียว สังหารศิษย์สำนักซ่งเจี่ยไปห้าพันคน?” ร่างพวกเขาชาวาบทันที
เมื่อมองไปยังทิศทางที่กู่ไห่เดินจากไป พลันใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“พวกเ้าไม่สังเกตหรือ ว่าระหว่างการเดินทาง กู่ไห่มิได้ปลอมตัวแต่อย่างใด และทันทีที่เห็น พวกเ้าก็พุ่งเป้าไปที่เขาทันที ในขณะที่คนอื่นๆ กลับก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปวุ่นวายกับเขา?” ผู้าุโกว่าพูดอย่างเ็า
“ใช่! ทำไมหรือ?”
“ข้าเดาว่า ทุกคนคงรู้เื่ที่เกิดขึ้นกับสำนักซ่งเจี่ยแล้ว มิเช่นนั้น ทุกคนคงจะพุ่งเข้าใส่เขา เช่นเดียวกับที่พวกเ้าทำ” ชายชุดเขียวเอ่ย
ทุกคนพากันเงียบกริบ
ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนบางคนที่อยู่ไม่ไกลนัก ก็เดินตามกู่ไห่ไปอย่างเงียบๆ
“เห็นกู่ไห่หรือไม่?” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พวกไม่มีตากลุ่มนี้นี่ โชคดีจริงๆ ที่เลิกไล่ตามเขา... เอาละ! เราไปตามดูกู่ไห่กันดีกว่า ว่าเขาคิดที่จะทำอะไรกับสำนักติงหลงกันแน่” หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังสำนักติงหลงอย่างรวดเร็ว
แม้ในใจของเหล่าศิษย์น้อง จะยังไม่เข้าใจถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก แต่ก็มิได้เอ่ยอะไร เพียงมองพี่ใหญ่ของตน พร้อมเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
-----------------------------------------
[1] เปี่ยวอี๋ เป็สรรพนาม ที่ใช้เรียกลูกพี่ลูกน้อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้