หวังต้าเฉิงเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเด็กสาวคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสอง แม้จะห่างออกไปสองสามจั้งก็ยังมองเห็นว่าสตรีผู้นี้ทาแป้งหนา ริมฝีปากทาชาดที่แดงยิ่งกว่าเืเสียอีก
เด็กสาวสะอื้นบอกว่า “ท่านอาต้าเฉิง ข้าซานนิวอย่างไรเล่า”
นางคือหวังซานนิวหรือนี่!
หวังต้าเฉิงใ นึกไม่ถึงว่าหวังซานนิวจะถูกขายมาที่หอคณิกาจริงๆ
หวังซานนิวร้องไห้วิงวอนว่า “ท่านอาต้าเฉิง ท่านขึ้นมา ข้ามีคำจะฝากท่านไปบอกท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ก่อนนี้ข้าผิดไปแล้ว ท่านให้ท่านปู่มาซื้อข้ากลับไปที ข้าไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว ขอร้องท่านล่ะเ้าค่ะ”
หวังต้าเฉิงกำลังอยู่ในอาการตื่นใ พอตั้งสติได้ก็มองไปยังชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าดูแคลนคราวหนึ่ง จึงหันไปส่ายหน้าให้หวังซานนิวแล้วเดินออกไป พร้อมกับเสียงร่ำไห้อย่างสิ้นหวังของหวังซานนิวที่ดังมาจากข้างหลัง
หวังต้าเฉิงเดินออกจากตัวอำเภอด้วยจิตใจที่ล่องลอย พร้อมกับสาปแช่งจางซื่ออยู่ในใจว่า ให้นางได้มาอยู่ในหอคณิกาเช่นเดียวกับหวังซานนิว
อีกฟากหนึ่ง เด็กชายบ้านหลี่ทั้งสี่คนกลับมาจากจวนเจียงแล้ว ยังเอาของกำนัลตอบแทนของเจียงชิงอวิ๋นกลับมาด้วย มีทั้งสาหร่ายเส้นผม ผลไม้แห้ง และผลไม้ต่างๆ ไม่มีของใดที่ไม่ใช่ของชั้นเลิศ กระทั่งของบางอย่างยังหาซื้อในตลาดทั่วไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จ้าวซื่อกับหลี่หรูอี้กำลังเลือกดูของกำนัลกันอยู่ หลี่ซานก็เล่าเื่ของหวังฝูจื้อให้บุตรชายทั้งสี่ฟัง
“อะไรนะ หวังฝูจื้อผูกคอตายแล้วหรือ”
“วานนี้ข้ายังเห็นเขาอยู่เลย”
หลี่ซานเห็นจ้าวซื่อส่งสายตามาจึงรีบโบกมือ “เื่นี้ไม่เกี่ยวกับบ้านเรา ออกไปข้างนอกก็อย่าไปพูดถึงเล่า”
เด็กชายทั้งสี่คนพากันตอบรับเป็เสียงเดียวว่า “ขอรับ”
หลี่หรูอี้ถามว่า “สุขภาพของพี่เจียงเป็เช่นไรบ้าง”
หลี่ฝูคังยิ้มตอบว่า “ดีอย่างยิ่ง”
หลี่อิงฮว๋าบอกว่า “ตอนนี้เขาเดินวันละหนึ่งชั่วยามทุกวัน แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว”
หลี่ฝูคังดึงหลี่หรูอี้มาข้างๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “รัฐทายาทเยี่ยนอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ทหารประจำเมืองเยี่ยนกินยาขับหนอนด้วย”
“เื่นี้ข้ารู้แล้ว มิใช่ว่าท่านเคยบอกแล้วหรอกหรือ” หลี่หรูอี้คิดในใจ รัฐทายาทเยี่ยนอ๋องเชื่อถือข้าเช่นนี้ นับเป็เกียรติของข้าจริงๆ
หลี่ฝูคังพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว คราก่อนข้าเคยบอกเ้า ครั้งนั้นในกองทัพมีทหารเก้าในสิบคนที่ไม่เชื่อว่าในท้องตนมีหนอนอยู่จึงไม่ยอมกินยาขับหนอน ภายหลังท่านชายไปบอกเล่าเื่ที่พระองค์ประสบกับตนเองกับทหารหลายสิบคนนั้นที่ค่ายทหาร พวกทหารเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังยอมกินยา”
“จากนั้นเล่า?”
หลี่ฝูคังอดหัวเราะไม่ได้ “แทบทุกคนล้วนถ่ายหนอนออกมา มีหลายคนใจนถึงกับร้องไห้ทีเดียว”
“หากพวกเขาไม่เชื่อข้า ก็ควรจะเชื่อรัฐทายาทเยี่ยนอ๋องบ้าง พวกเขาใจนร้องไห้เลยหรือ”
“รัฐทายาทเยี่ยนอ๋องทรงให้พี่เจียงมาขอบคุณเ้าแทนพระองค์”
หลี่หรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าเต็มใจทำเื่เล็กๆ น้อยๆ เพื่อกองทัพเยี่ยนที่คอยปกปักพื้นที่ทางเหนือนี้”
“นี่เป็ตั๋วเงินที่พี่เจียงมอบให้เ้า” หลี่ฝูคังหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อมอบให้หลี่หรูอี้ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “รัฐทายาทเยี่ยนอ๋องทรงกำนัลให้”
หลี่หรูอี้มองตัวเลขบนตั๋วเงินแวบหนึ่งพลันยิ้มหน้าชื่น “หนึ่งร้อยตำลึง นี่เป็เงินแต๊ะเอียที่รัฐทายาทประทานให้ข้ากระมัง”
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเ้าดูสิน้องสาวดีใจขนาดนี้เชียว”
หลี่หรูอี้ชูตั๋วเงินในมือขึ้นสูง พูดอย่างดีใจว่า “ใช่แล้ว ข้าเอาไปซื้อคฤหาสน์หลังน้อยๆ ในตัวอำเภอได้ทีเดียว”
จ้าวซื่อยิ้มบางๆ “เ้าตัวเล็กหลงเงิน”
หลี่ฝูคังพูดอย่างตื่นเต้นว่า “น้องสาว พี่เจียงได้ยินว่าบ้านเราไม่มีญาติพี่น้อง จึงให้พวกเราไปที่จวนเจียงทุกวัน ั้แ่วันที่ห้าเดือนหนึ่ง เขาจะสอนพวกเราเขียนข้อราชการ จะได้ช่วยเร่งเวลาให้พวกเราสอบเข้าสำนักศึกษาได้ภายในครึ่งปี”
“ดีเหลือเกิน” หลี่หรูอี้ได้ยินข่าวนี้กลับดีใจยิ่งกว่าได้ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงเสียอีก
ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ดีใจที่สุดในนั้นก็คือจ้าวซื่อ คำว่า หวังบุตรผงาดดั่งั ก็เอาไว้อธิบายคนเช่นนางนี่เอง
ตะวันคล้อยลงประจิมทิศ พ่อลูกสกุลหลี่และพ่อลูกสกุลอู่ยืนจุดประทัดกันอยู่นอกรั้ว ปีนี้สกุลหลี่มีเื่น่ายินดีเข้ามาหลายเื่ เพื่อให้ปีหน้ามีการเริ่มต้นที่ดี จึงจุดประทัดถึงหกแถว
เสียงประทัดดังเกินไปทำให้ทารกทั้งสองใจนร้องไห้ ดีที่จ้าวซื่อกับนางจางล้วนเป็คนเลี้ยงเด็กมือฉมัง จึงกล่อมพวกเขาหลับได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากจุดประทัดกันแล้วก็มาไหว้บรรพบุรุษ
หลี่ซานจัดห้องนอนห้องหนึ่งเป็ที่สำหรับกราบไหว้ไว้ก่อนหน้าแล้ว ป้ายิญญาบรรพบุรุษสกุลหลี่ ตั้งอยู่ข้างหน้าตรงกลางโต๊ะ บนโต๊ะจัดวางธูปเทียน ผลไม้ และขนม
หลี่ซานพี่น้อง หลี่เจี้ยนอันพี่น้อง ยกเนื้อถ้วยหนึ่ง ปลาอีกถ้วยหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ
หลังจากจุดธูปเทียน เหล่าบุรุษสกุลหลี่ก็คุกเข่าลงโขกหัวให้ป้ายิญญาบรรพชน หลี่ซานเป็หัวหน้าครอบครัวก็พึมพำบอกว่า ปีนี้ทั้งปีมีเื่ดีๆ หลายเื่เกิดขึ้นในครอบครัว ทั้งได้บุตรชายเพิ่ม ได้ทำการค้า บุตรชายทั้งสี่คนได้เรียนที่สำนักเล่าเรียน ได้ซ่อมแซมเรือน ได้ซื้อที่ดิน และมีบ่าวเพิ่มขึ้น
จ้าวซื่อและหลี่หรูอี้ซึ่งเป็สตรีไม่มีสิทธิ์ร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษ แต่ก็มิใช่แค่ในบ้านสกุลหลี่เท่านั้น ธรรมเนียมในผืนดินกว้างใหญ่แห่งนี้เป็ดังนี้มานับพันปีแล้ว
จ้าวซื่อและหลี่หรูอี้ก็เข้าใจในธรรมเนียม จึงไปช่วยกันดูแลให้พวกบ่าวจัดอาหารส่งท้ายปี
วันนี้เป็วันสุดท้ายของปี อาหารส่งท้ายปีจึงต้องพรั่งพร้อมกว่าอาหารในวันปกติอย่างมาก
หลี่สือเฝ้าคอยอาหารส่งท้ายปีมานานแล้ว หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษ เขาจึงเป็คนแรกที่พุ่งออกจากประตูและวิ่งเข้าไปในโถงใหญ่ เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะก็ะโด้วยความตื่นเต้นว่า “กินอาหารส่งท้ายปีกัน!”
อาหารเย็นมียำถั่วงอก ขนมดอกกุ้ยฮวา เครื่องในวัวราดพริก[1] ลูกชิ้นทอด อาหารร้อนมีตุ๋นไก่ทั้งตัวใส่ตั่งเซิน[2]กับหวงฉี[3] ขาหมูตุ๋นน้ำแดง ซี่โครงหมูนึ่งข้าวคั่ว[4] ปลาไนทรงเครื่อง เนื้อแพะผัดพริก เต้าหู้ทรงเครื่อง เห็ดหูหนูผัดต้นหอม นอกจากนี้ยังมีน้ำแกงสาหร่ายเส้นผมใส่เห็ดหอม อาหารจานหลักคือ บะหมี่ฮุ่ยเมี่ยนแผ่นใหญ่ในน้ำแกงคาตั๊ง[5] หมั่นโถว และข้าวสวย
ทำงานลำบากวุ่นวายกันมาทั้งปี ในที่สุดก็ถึงวันสิ้นปีแล้ว จึงทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเลิศรสครบครัน ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงกัน ต่างมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม
“ขอให้นายท่าน ฮูหยิน นายท่านรอง คุณหนู และนายน้อย อายุมั่นขวัญยืนขอรับ”
“สุขภาพแข็งแรงขอรับ”
“เงินทองไหลมาเทมา”
“มีสุขไม่รู้จบ”
พอคนสกุลอู่เข้ามาก็โขกหัวอย่างนอบน้อมเอ่ยคำสิริมงคลและมีความซาบซึ้งอยู่ในน้ำเสียง โดยเฉพาะกับหลี่หรูอี้ที่ซื้อพวกเขาทั้งครอบครัวมาในครั้งนั้น บุญคุณนี้ยากที่จะลืมชั่วนิรันดร์
จ้าวซื่อหยิบถุงผ้าสีแดงสี่ใบที่มีด้ายปักคำว่า ความสุข วาสนา อายุยืน สิริมงคล เอาไว้มอบให้คนทั้งสี่ พร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเ้าทำงานดีมาก นี่เป็เงินรางวัลของพวกเ้า
นางจางเห็นถุงเงิน นี่ไม่ใช่ถุงเงินที่หลี่หรูอี้ให้ตนทำเมื่อหลายวันก่อนหรอกหรือ ที่แท้เป็ถุงอั่งเปาสำหรับครอบครัวของนางนี่เอง เมื่อกะน้ำหนักด้วยมือก็รู้สึกว่าถุงอั่งเปานี้กลับเบานัก ไม่รู้ว่ามีเงินอยู่กี่มากน้อย จากนั้นก็โขกหัวขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับสามีและบุตรชาย
คนสกุลอู่กลับมาที่ห้องของตน อู่เอ้อร์ถึงกับไม่สนใจจะกินอาหารส่งท้ายปี เขารีบเปิดถุงอั่งเปาออกดู ซึ่งในนั้นเป็ก้อนเงินเล็กก้อนหนึ่งทีเดียว เขาหยิบมาดูตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านดูสิ ฮูหยินให้เงินข้า”
นางจางพูดด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “นี่ต้องหนักถึงสองเฉียน เท่ากับสองร้อยอีแปะเชียวนะ!”
อู่ต้าเปิดถุงอั่งเปาของตน ข้างในก็มีก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เมื่อเอาออกมาเทียบกับก้อนเงินของอู่เอ้อร์ปรากฏว่า ก้อนโตกว่าเล็กน้อย
นางจางยิ้มบอกว่า “ของเ้านั้นหนักสองเฉียนห้าเฟิน ซึ่งก็คือสองร้อยห้าสิบอีแปะ” จากนั้นจึงเปิดอั่งเปาของตนออกดูบ้าง ข้างในมีเงินก้อนเล็กสามเฉียน ซึ่งเหมือนกับอู่อวี๋เหนียนสามีของตน นางจึงเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “บ้านนายท่านใจกว้างจริงๆ กำนัลเงินให้บ้านเราทั้งบ้านคราวเดียวตั้งหนึ่งตำลึงกว่า”
“พวกเราตั้งใจทำงานให้ดีๆ เถิด” อู่อวี๋เหนียนกำชับคนในครอบครัว “วันนี้เป็วันสิ้นปี บ้านนายท่านกำนัลสุรามาด้วย พวกเราก็อย่าดื่มมากเกินไปเล่า”
บุตรชายทั้งสองคนต่างรับคำว่า “ขอรับ”
เมื่อเทียบกับการเฉลิมฉลองอย่างครึกครื้นในบ้านสกุลหลี่ ที่จวนเจียงกลับเงียบเชียบยิ่งนัก
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เครื่องในวัวราดพริก (夫妻肺片) แปลตรงตัวว่า “แผ่นปอดสามีภรรยา” ใช้คำว่า “ปอด” ที่ออกเสียงเหมือนคำว่า “ไม่เอา ทิ้งแล้ว” ซึ่งหมายถึงเครื่องในที่คนมักไม่กิน นำมาตุ๋นใส่เครื่องหอม หั่นชิ้นบาง คลุกด้วยน้ำราดที่มีพริก ต้นหอม เครื่องเทศ น้ำมัน งา และอื่นๆ
[2] ตั่งเซิน จีนแต้จิ๋วเรียก ตังเซียม
[3] หวงฉี จีนแต้จิ๋วเรียก อึ่งคี้ หรือปักคี้
[4] ซี่โครงหมูนึ่งข้าวคั่ว คือ ซี่โครงหมูผัดกับข้าวเหนียวคั่วใส่เครื่องที่ตำหยาบๆ (ข้าวคั่ว) แล้วนำไปนึ่ง
[5] คาตั๊ง คือ กระดูกขาท่อนใหญ่ นิยมนำมาต้มน้ำซุป เพราะจะได้รสหวานน้ำต้มกระดูกอย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้