หลี่ซานได้โฉนดที่ดินมาก็ดีอกดีใจยิ่งนัก
จ้าวตงเฉวียนเดินตามเขาออกมาจากที่ว่าการอำเภอ “นายท่านหลี่ ที่ดินของจวนเราก่อนนี้ข้าล้วนเป็คนซื้อมาเองทั้งสิ้น ที่นาดีนั้นล้วนเป็ที่นาชั้นเลิศ ให้ผลเก็บเกี่ยวสูง ไม่ว่าจะปลูกข้าวฟ่างหรือข้าวโพดล้วนดีทั้งสิ้น ท่านใช้เงินจำนวนเพียงเท่านี้ก็ซื้อที่ดินได้ตั้งมากมาย เรียกว่าได้กำไรจริงๆ”
หลี่ซานยิ้มอย่างดีใจ แต่กลับเห็นความกลัดกลุ้มจางๆ บนสีหน้าของจ้าวตงเฉวียน ดูว่าไม่ใคร่พอใจนัก ก็ที่ดินขายราคาถูกเช่นนี้ไม่ว่าเป็ผู้ใดก็ย่อมไม่มีทางดีใจไปได้
หลี่ซานรีบหุบยิ้มพลางกล่าวไปว่า “ข้าซื้อที่ดินเพราะมีวาสนา มีวาสนากับบ้านท่านอย่างไรเล่า”
“นายท่านหลี่ซื้อที่ดินตั้งมากมายเช่นนี้ จะจ้างคนมาเพาะปลูกหรือจะให้เช่าขอรับ”
หลี่ซานตอบไปอย่างตรงไปตรงมา “จะให้เช่า การค้าที่เรือนข้ายุ่งนัก ข้าไม่มีเวลาทำเพาะปลูก”
“ท่านทำการค้าใดหรือขอรับ”
“บ้านข้าอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ ขายเต้าหู้” หลี่ซานบอกอย่างภูมิใจว่า “เต้าหู้ที่ทุกคนกินล้วนเป็ตระกูลหลี่ของข้าทำทั้งสิ้น”
จ้าวตงเฉวียนเอ่ยด้วยท่าทีค่อนข้างใว่า “ที่แท้เต้าหู้ตระกูลหลี่แห่งหมู่บ้านหลี่ ก็มาจากเรือนท่านนี่เอง”
หลี่ซานอดฉีกยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ใช่แล้ว บ้านข้ายังขายเต้าหู้เส้น ฟองเต้าหู้ เต้าหู้แห้ง อ้อ... ใช่แล้ว ยังขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอีกด้วย”
“นายท่านหลี่ ข้าจะขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อเป็อย่างไรขอรับ”
หลี่ซานไม่กล้าเอากำไรจากจ้าวตงเฉวียนอีก จึงชี้ไปที่ร้านสุราค่อนข้างเล็กร้านหนึ่ง บอกว่า “ให้ข้าเลี้ยงท่านเถิด”
ทั้งสองคนเข้าไปในร้านสุรา หลี่ซานต้อนรับขับสู้จ้าวตงเฉวียนอย่างดี โดยตั้งใจสั่งอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์[1] ให้เขา
ทั้งสองคนดื่มน้ำชาแทนสุรา หลังจากดื่มไปสองถ้วยก็เริ่มสนทนากัน
พอจ้าวตงเฉวียนรู้ว่าหลี่ซานมีบุตรชายหกคนและบุตรสาวหนึ่งคน เวลานี้บุตรชายที่อายุมากกว่าสิบปีล้วนกำลังเรียนหนังสือ การค้าในเรือนกลับเป็บุตรสาวช่วยดูแล จึงเตือนไปด้วยความหวังดีว่า “นายผู้เฒ่าเรือนข้า ก็มีบุตรชายหกคน บุตรสาวหนึ่งคน ก่อนนี้นายท่านล้วนให้บุตรชายไปร่ำเรียนและให้บุตรสาวอยู่ที่เรือนกับท่านเช่นกัน”
หลี่ซานไม่เคยรู้เื่หลังจากที่นายผู้เฒ่าเสียไป บุตรชายทั้งหกคนของเขาก็ทะเลาะกันเื่แบ่งสมบัติ จึงไม่ได้คิดมากอันใด
จ้าวตงเฉวียนไม่ได้มีท่าทีตอบรับใดๆ คิดว่าอย่างไรเสียเขาก็จะไปจากเมืองเยี่ยนในทันทีอยู่แล้ว ก่อนไปก็ควรเตือนหลี่ซานไว้สักหน่อยเป็ดี “ท่านมีบุตรชายหลายคน เมื่อซื้อที่ดินนี้ไป บางคราวันหน้าบุตรชายของท่านอาจเกิดความขัดแย้งกันเื่กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน”
หลี่ซานเริ่มสงสัย จึงถามว่า “หมายความว่าอย่างไร”
จ้าวตงเฉวียนจึงเล่าเื่ของบุตรชายนายผู้เฒ่าให้เขาฟัง “ผู้คนมากมายในเมืองเยี่ยนต่างก็รู้เื่นี้ ในตัวอำเภอฉางผิงก็มีคนรู้ ท่านไปสอบถามดูก็จะรู้ว่าเื่ที่ข้าพูดเป็จริงหรือเท็จ”
หลี่ซานเริ่มมีความคิดบางอย่างในใจ
จ้าวตงเฉวียนเอ่ยอย่างมีความนัยว่า “นายท่านหลี่ เรือนของท่านมีบุตรชายหกคน ต้องสอนสั่งให้ดีๆ นะขอรับ”
หลี่ซานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยักหน้าบอกว่า “จริงดังว่า”
หลังจากหลี่ซานแยกจากจ้าวตงเฉวียน ก็ตรงกลับหมู่บ้านหลี่ทันที เขาซื้อที่ดินได้ตั้งมากมาย เดิมทีก็ดีอกดีใจยิ่งนัก แต่เมื่อคิดว่าวันหน้าบุตรชายทั้งหกอาจจะทะเลาะกันเพราะที่ดินมากมายเหล่านี้ ก็กลับรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ยามยากจนมีทุกข์ ยามมั่งมีเหตุใดก็ยังมีทุกข์อีกเล่า?
เหล่าสตรีในหมู่บ้านหลี่ไปซื้อหาของสำหรับปีใหม่กันยกใหญ่และกำลังกลับบ้านมา เมื่อได้พบกับหลี่ซานจึงพากันทักทายเขา
“นายท่านหลี่ไปที่ใดมาหรือ”
“ข้าไปทำธุระเล็กน้อยในตัวอำเภอมา” หลี่ซานสงวนท่าทีอย่างมาก ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ผู้ใดก็มองไม่ออกว่าเขาเพิ่งซื้อที่ดินมาแปดสิบหมู่
แค่ผ่านมาไม่เท่าไร หลี่ซานก็ปรับตัวรับกับวิธีที่คนในหมู่บ้านเรียกขานเขาได้แล้ว
หลี่ซานกลับมาถึงเรือน แต่กลับไม่มีท่าทีลิงโลดตื่นเต้นเช่นคราก่อนที่เขาซื้อที่ดินมา ทำเอาหลี่หรูอี้นึกว่าเขาซื้อที่ดินไม่ได้เสียอีก
จ้าวซื่อถามว่า “พี่ซาน เป็อย่างไรบ้าง”
“ได้พบกับผู้ขายรายใหญ่ผู้หนึ่ง ข้าใช้เงินสองร้อยตำลึงเงินซื้อที่ดินแปดสิบหมู่มา” หลี่ซานถอดเสื้อนวมออกแล้วขึ้นไปบนเตียงเตา ได้นั่งบนเตียงเตาแล้วก็อบอุ่นขึ้นมาเสียจริงๆ พอรับน้ำร้อนผสมน้ำผึ้งที่บุตรสาวรินมาให้ เขาก็ดื่มด้วยความกระหายจนเกลี้ยงโดยไม่กลัวลวกปากแต่อย่างใด
จ้าวซื่อร้องอย่างใว่า “ที่ดินแปดสิบหมู่ ข้าคงไม่ได้ฟังผิดไปหรอกกระมัง?”
“เ้าไม่ได้ฟังผิด”
“พี่ซานที่ดินที่ท่านซื้อมาคงมิใช่ที่ดินที่อยู่ในูเาหรือป่าลึกห่างไกลความเจริญหรอกนะ!”
“นี่อย่างไรโฉนดที่ดิน เ้าดูเอาเถิด”
หลี่หรูอี้รีบขยับเข้ามาใกล้ “ท่านพ่อ ท่านเก่งกาจจริงๆ ถึงกับซื้อที่นาดีตั้งแปดสิบหมู่มาได้ ซ้ำยังเป็ที่นาดีที่อยู่ใกล้กับอำเภอฉางผิงเสียด้วย เื่ซื้อที่นา ข้านับถือท่านจริงๆ”
“พี่ซาน เื่น่ายินดีมากมายเพียงนี้ เหตุใดท่านกลับมาแล้วกลับไม่พูดไม่จาเล่า?” จ้าวซื่อดีใจจนน้ำตาไหล
นี่หากเป็ฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วง ที่นาดีแปดสิบหมู่ที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอเช่นนี้ ต้องขายในราคาสามร้อยยี่สิบตำลึงเงิน หรือต่อให้เป็ในฤดูหนาวก็ต้องขายถึงสองร้อยสี่สิบตำลึง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ที่บ้านหลี่ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา และในนั้นยังมีเสียงหัวเราะของหลี่ซานด้วย เมื่อเขาเห็นใบหน้าแสนซื่อและแววตาแสนบริสุทธิ์ของบุตรชายทั้งสี่ ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ตนเองคิดมากเกินไป พอละวางเื่กลุ้มใจนั้นลงได้ ก็ย่อมดีอกดีใจขึ้นมาโดยพลัน
แต่เื่ที่ควรเตือนหลี่ซานก็ยังต้องพูดออกมา เขาไม่อยากเป็เหมือนนายผู้เฒ่าที่ศพยังไม่ทันเย็น พวกบุตรชายก็มาแย่งสมบัติกันจนหัวร้างข้างแตก เสียทั้งชื่อเสียงและยังน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ หลังอาหารค่ำ หลี่ซานจึงเรียกบุตรชายทั้งสี่เข้ามาหา จากนั้นก็เล่าเื่ของนายผู้เฒ่าให้พวกเขาฟังและอบรมสอนสั่งไปอีกขนานใหญ่
จ้าวซื่อนั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วยและรู้สึกว่าสามีกล่าวมีเหตุผล จึงเอ่ยสำทับไปอีกสองสามประโยค
หลี่เจี้ยนอันผู้เป็บุตรชายคนโตกล่าวว่า “ตั๋วเงินที่ซื้อที่ดินนั้นน้องสาวเป็คนออก ที่นาดีทั้งหมดนี้จึงสมควรเป็สินติดตัวยามน้องสาวออกเรือนขอรับ”
“ใช่แล้ว ที่นาดีเหล่านี้ควรเป็ของน้องสาวจึงจะถูก”
“ท่านพ่อ เงินที่ซื้อที่นาเป็ของน้องสาว ที่ดินก็ย่อมต้องเป็ของน้องสาว วันหน้าเมื่อข้าสอบได้ตำแหน่งขุนนางและมีเงินทองแล้วก็จะไปซื้อที่นาเองขอรับ”
“ครอบครัวส่งเสียข้าร่ำเรียนต้องใช้เงินมากมาย ข้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่งแล้ว จะอยากได้ที่ดินของน้องสาวได้อย่างไรกัน”
เมื่อบิดามารดาเห็นว่าบุตรชายทั้งสี่ต่างบอกว่าที่นาดีผืนนี้ควรเป็ของหลี่หรูอี้ทั้งหมด ก็รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่คอยสอนสั่งพวกเขามาตลอดหลายปีนี้
จ้าวซื่อเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “พวกเขาพูดถูก ข้าเห็นว่าที่นาดีที่ท่านซื้อมาครานี้ วันหน้าควรยกให้เป็สินติดตัวของหรูอี้”
หลี่ซานกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะยกโฉนดที่ดินนี้ให้น้องสาวของพวกเ้า”
หลี่หรูอี้ฟังอยู่ข้างนอกมาพักหนึ่ง จึงผลักประตูเข้ามา พูดอย่างหัวเสียว่า “ทำสิ่งใดกัน พวกท่านร้อนใจอยากให้ข้าแต่งออก อยากให้ข้าออกไปเพียงนั้นเชียวหรือ”
จ้าวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรูอี้ พวกเราหมายความเช่นนั้นที่ไหนกัน?”
หลี่หรูอี้ปรายตาไปยังโฉนดที่ดินสองสามแผ่นบนโต๊ะ จากนั้นก็แบ่งพวกมันออกเป็สองส่วน แล้วยัดใส่ในมือจ้าวซื่อกับหลี่ซาน “ที่นาดีเหล่านี้ถือว่าข้าแสดงความกตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่ มอบให้ท่านพ่อท่านแม่คนละสี่สิบหมู่เ้าค่ะ”
จ้าวซื่อดึงตัวหลี่หรูอี้เข้ามากอด เอ่ยด้วยความตื้นตันใจว่า “แม่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่เห็นแก่ทรัพย์สินเช่นเ้ามาก่อนเลย”
หลี่ซานรับโฉนดไว้ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีอยู่ในใจ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “หรูอี้ กตัญญูจริงๆ พ่อขอบใจเ้า”
หลี่หรูอี้เอ่ยเตือนว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ข้าต้องตกลงไว้ให้เสร็จสรรพก่อน ที่ดินนี้ท่านต้องให้เช่า ห้ามเพาะปลูกเองนะเ้าคะ”
“แน่นอน พ่อต้องทำเต้าหู้ ที่ดินบ้านเราล้วนต้องให้เช่า” หลี่ซานเอ่ยขึ้นอีกว่า “ที่ดินที่ข้าซื้อมาคราวนี้อยู่ติดแม่น้ำ อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าที่ดินที่ซื้อมาคราวก่อน ต้องมีคนอยากเช่าแน่นอน”
นอกตัวเมืองของอำเภอฉางผิง มีแม่น้ำไป๋อยู่สายหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำมาก ต่อให้เป็ฤดูหนาวใน่ที่แม่น้ำแคบที่สุดก็ยังกว้างถึงสองจั้ง
ต้นแม่น้ำไป๋คือูเาสูงที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอฉางผิงไปสิบลี้ แม่น้ำแห่งนี้ไหลผ่านตัวอำเภอฉางผิงและเมืองเยี่ยน จากนั้นแม่น้ำหลายสายก็มารวมกันเป็แม่น้ำสายใหญ่ และไหลลงสู่ทะเลในที่สุด
ที่ดินสองฝั่งแม่น้ำไป๋ทดน้ำเข้าที่ดินได้ง่าย จึงทำให้ได้ผลผลิตสูง ซึ่งก็คือยอดที่นาในที่นาดี ตอนที่จ้าวตงเฉวียนเลือกซื้อที่ดินให้นายผู้เฒ่า เขาจึงพยายามเลือกอย่างสุดกำลังให้ที่ดินส่วนใหญ่ที่ซื้อล้วนอยู่สองฝั่งแม่น้ำไป๋ ยามนี้จึงทำให้หลี่ซานได้กำไรมาก
หลี่หรูอี้เอ่ยชมว่า “ท่านพ่อมีความสามารถจริงๆ”
ณ ตำบลจินจี ที่ห่างออกไปหลายลี้ มีเสียงของบุรุษกล่าวตำหนิด้วยความกราดเกรี้ยวดังออกมาจากเรือนแห่งหนึ่ง
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ เพราะจ้าวตงเฉวียนกำลังไว้ทุกข์อยู่ จึงต้องทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้