“ลู่ซิน ช่วยข้าลุกที…” ฮวาชีเยว่พูดเสียงอ่อน ลู่ซินเข้ามาช่วยนางในทันที โหย่วชุ่ยรู้สึกไม่ดีแทนฮวาชีเยว่ นางรีบเดินออกไปด้านนอกเพื่อหาน้ำอุ่นมาช่วยเ้านายล้างหน้าล้างตา
ลู่ซินช่วยจับข้อมือฮวาชีเยว่อย่างระมัดระวัง ทว่าฮวาชีเยว่กลับโอนเอนไปมา ลู่ซินเพิ่งจะอายุสิบสองสิบสาม นางจะช่วยประคองฮวาชีเยว่ที่อายุสิบแปดปีไหวได้อย่างไร?
“น้องหญิง ข้าขอยืมแรงหลานจูสักหน่อย…” ฮวาชีเยว่มองฮวาเมิ่งซือ สตรีผู้นี้วางท่าเป็คุณหนูสูงส่งต่อหน้าทุกคน ย่อมไม่อาจปฏิเสธ
“หลานจู รีบออกมาช่วยคุณหนูเร็วเข้า!”
ฮวาเมิ่งซือรีบพูด ไม่ว่าหลานจูจะไม่พอใจฮวาชีเยว่อย่างไรหรือจะรำคาญอีกฝ่ายมากเพียงใด คนก็ไม่อาจไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นาย อีกประการ ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจทำให้ผู้เป็นายเสียหน้า
หลานจูรีบก้าวออกมาจับมืออีกข้างของฮวาชีเยว่ จนฮวาชีเยว่ยืนได้มั่นคงแล้ว คนจึงจากไปพร้อมด้วยสายตาไม่ชอบใจ
“ใครส่งเสียงเอะอะอะไรกัน?”
เสียงทรงอำนาจแก่ชราดังมาจากนอกประตู ผู้คนที่มุงอยู่ล้วนแต่หลีกทาง หลวงจีนชราผอมบางผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง
นี่คือไต้ซือหานิ เ้าอาวาสวัดหานเยว่
เมื่อไต้ซือหานิทราบรายงานจากพระรูปอื่นว่าทางปีกตะวันตกมีคนก่อเื่ จึงได้นำสานุศิษย์เดินทางมาทันที
มองเพียงแวบเดียว ไต้ซือหานิก็เห็นพระรูปงามหน้าใหม่ยืนอยู่ด้านในชุดหลุดลุ่ย ดูหวาดกลัวเป็อย่างมากทั้งยังตัวสั่นสะท้าน บนกระดูกไหปลาร้ายังมีรอยจุมพิตประทับอย่างิ่เหม่
“เกิดอะไรขึ้น?”
การมาถึงของไต้ซือหานิทำให้ทุกคนเงียบกริบ อี้หานคุกเข่าลงเบื้องหน้าเ้าอาวาสแล้วร้องไห้ “เ้าอาวาส ท่านช่วยอาตมาด้วย! สีกาท่านนั้น... นางจู่โจมอาตมา... แต่ตอนนี้กลับบอกว่าอาตมาเป็ผู้ลงมือ…”
หยาดน้ำตาไหลหยด ดึงเอาความสงสารจากฝูงชนได้ในพริบตา
สายตานับไม่ถ้วนหันมาจดจ้องฮวาชีเยว่
ในใจฮวาเมิ่งซือยินดีล้นเหลือ “ดูเอาเถิด ว่านางยังจะพูดอะไรได้อีก ฮวาชีเยว่ถึงจุดจบแน่!”
“ไต้ซือหานิ! ข้า! ฮวาชีเยว่ถูกใส่ร้าย ขอความเป็ธรรมให้ข้าด้วยเ้าค่ะ!”
ฮวาชีเยว่คุกเข่าลงเบื้องหน้าเ้าอาวาส ใบหน้างดงามเย็นเฉียบ คิ้วราวภาพวาด เครื่องหน้าดังเทพธิดา
ดวงตาไต้ซือหานิราวสายฟ้ายามจับจ้องพระอี้หาน มิคาดพระใหม่รูปนี้จะสร้างปัญหารวดเร็วเพียงนี้ เร็วเกินกว่าจะมองว่าเป็เหตุบังเอิญ “อี้หาน เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น!”
“ขอรับท่านเ้าอาวาส! ศิษย์พี่ชิงหยวนวานให้อาตมาไปจุดโคมที่ปีกตะวันออกเพราะยังมีผู้แสวงบุญอยู่ วัดหานเยว่ของเราอยู่ไกลจากเมืองหลวงยิ่ง จึงอนุญาตให้ผู้แสวงบุญค้างคืนได้ ใครจะคิด... พอถือโคมมาถึง สีกาท่านนี้ก็จู่โจมอาตมา พยายามกระชากเข็มขัดและถอดเสื้อผ้าอาตมาออก…”
ถ้อยคำของพระอี้หานน่าสงสารนัก ทำให้ผู้แสวงบุญคนอื่นต่างก็ต่อว่าฮวาชีเยว่ว่าเลวทรามลุ่มหลงในตัณหา
ดวงตาของฮวาชีเยว่กลับแดงขึ้น ใบหน้าเศร้าสร้อย “ไต้ซือหานิเ้าคะ วันนี้เป็วันซีซี เมื่อสองวันก่อนข้าได้รับเทียบเชิญจากน้องหญิงทั้งสองให้มาวัดหานเยว่เพื่อสวดมนตร์ให้ท่านแม่ที่จากไปไว แต่ขณะที่กำลังคุกเข่าสวดมนตร์ อยู่ๆ ก็มีคนมาแย่งปิ่นเฟิ่งหวงหยกเขียวไปจากศีรษะข้า ปิ่นนั้นเป็ของที่ท่านแม่ให้มา…”
นางสูดหายใจเข้าลึก ดวงตายังคงแดงก่ำ ดูจริงใจซื่อสัตย์ไม่เหมือนคนโกหก
“เช่นนั้นข้าจึงไล่ตามหัวขโมยไป แต่มิคาดขโมยกลับวิ่งเข้ามาในห้องนี้ ข้าผลักประตูเข้ามา ทว่ากลับเป็ข้าที่ล้มลง มีใครบางคนฟาดหัวข้าจากด้านหลัง... ข้าไม่ทราบว่าหลังจากหมดสติไปแล้วเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา พระอี้หานก็รังแกข้าอยู่ ดังนั้นขอความยุติธรรมให้ข้าด้วยเ้าค่ะ!”
เมื่อไต้ซือหานิได้ฟังเื่นี้ ก็ทราบได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พระอี้หานเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน แม้จะทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ทว่าหากคนมีจุดประสงค์อื่นปิดบังไว้ เช่นนั้นก็เป็อีกเื่หนึ่งแล้ว