แววตาของเป่ยเหลียนโม่เรียบนิ่ง หากมองเพียงท่าทีสงบนิ่งของเขา ย่อมคาดเดาสิ่งที่เขาคิดอยู่ภายในใจไม่ได้อย่างแน่นอน
เล่าลือว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลเหยาหลงรักองค์ชายสามมาเนิ่นนาน ประกอบกับนางเป็คนเฉลียวฉลาดและรอบคอบ ดังนั้นความจริงใจที่องค์ชายสามมีต่อนางนั้นลึกซึ้งยากจะเปลี่ยนแปลง ผู้คนล้วนคิดว่าทั้งคู่จะได้ลงเอยกันด้วยดี
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าอยู่ๆ ชิงผิงอ๋องจะโผล่มา
“อาหารบำรุง” เขายิ้มและมองไปที่เหยาเชียนเชียน “ถ้าเช่นนั้นหวังเฟยมอบแด่อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงไปเสียเถิด เก็บไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์ใดแล้ว”
ในอดีตครั้งที่ทั้งคู่รักกันยังอาศัยอาหารบำรุงในการแสดงความรู้สึกต่อกันได้ แต่ยามนี้นางเป็ชายาของชิงผิงอ๋องแล้ว จึงไม่จำเป็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
เหยาเชียนเชียนพยักหน้าเห็นด้วย นางััได้ถึงไอเย็นเจือจางจากรอยยิ้มมุมปากของเป่ยเหลียนโม่ หากนางยังพัวพันกับองค์ชายสามต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ เกรงว่านางคงหนีไม่พ้นต้องถูกเป่ยเหลียนโม่สังหารก่อนเป็แน่
“เดิมทีหม่อมฉันก็ตั้งใจจะมอบแด่อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงอยู่แล้วเพคะ” นางลุกขึ้นแสดงความเคารพ “ทว่าเทียบยานี้เป็สิ่งที่หม่อมฉันได้รับมาโดยบังเอิญ ในคราแรกที่ท่านอาจารย์มอบแก่หม่อมฉันได้กำชับไว้ว่าเทียบยานี้มีระยะเวลาจำกัด และมีสมุนไพรกระตุ้นฤทธิ์ยา [1] ชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ยาก ยามนี้เทียบยาใกล้ถึงกำหนดเวลาแล้ว หากยังเสาะหาสมุนไพรกระตุ้นฤทธิ์ยาไม่พบ เทียบยานี้ก็ไม่อาจใช้ได้อีกแล้วเพคะ”
เหยาเชียนเชียนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าน่ามอง ใบหน้าฉายแววเสียดายและทอดถอนใจหลายส่วน ทว่าแท้จริงแล้วในใจกังวลแทบตาย
เหตุผลนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างถูไถ ทว่านอกเหนือจากนี้นางก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ จะให้เขียนเทียบยาขึ้นมาส่งเดชมอบให้พวกเขาหรือ คงไม่ต้องพูดว่าได้ผลหรือไม่ หากเสวยไปแล้วเกิดอันตรายขึ้นมา ชีวิตของนางก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“ที่แท้ก็มีเื่เช่นนี้ด้วย” อวี๋เฟยเปรยเสียงเบา ไม่อาจเข้าใจความนัยในน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นได้“สมุนไพรกระตุ้นฤทธิ์ยานั้นคือสิ่งใดเล่า บางทีถ้าเปิ่นกงส่งคนไปเสาะหามา ก็ยังพอจะมีความหวังอยู่บ้าง”
เหยาเชียนเชียนกล่าวอย่างหนักแน่น “สมุนไพรกระตุ้นฤทธิ์ยามีชื่อว่าหญ้าหานจือเพคะ ลำต้นสีแดงโลหิต กลิ่นหอมฉุน โดยทั่วไปจะเติบโตบริเวณสันเขาสูงชัน และจะสามารถมองเห็นแสงสว่างสีแดงจางๆ ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่างที่สุด เชียนเชียนโชคดีจึงเก็บมาได้เพียงไม่กี่ต้นเพคะ”
อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยักหน้าเนิบช้า
“ไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อนเลย”
แน่นอนสิ เหยาเชียนเชียนถอนใจสองครั้ง นางก็เพิ่งแต่งเื่ขึ้นมานี่แหละ
เป่ยเหลียนโม่พินิจมองนางอย่างสนใจ เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้กำลังโกหก เหตุใดนางจึงไม่ยอมมอบเทียบยาให้แก่อวี๋เฟย แม้ไม่อาจพบเจอเป่ยเซวียนเฉิงได้ทุกเวลา ทว่าเทียบยานี้ก็สามารถทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นได้ นางจึงไม่ควรปฏิเสธ
'ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่หม่อมฉันกล่าวเป็ความจริง'
วันนั้นนางกล่าวคำสาบานอย่างจริงใจต่อเขาเพื่อเป็การรับรอง หรือว่าในคำกล่าวนั้นจะมีความจริงใจอยู่ข้างในบ้างจริงๆ?
น่าสนใจ
“แม้จะพบได้ยาก แต่ในเมื่อเชียนเชียนสามารถเสาะหามาได้ เช่นนั้นก็พูดได้เพียงว่าบนโลกใบนี้ยังมีอยู่น้อย มิใช่ไม่มีอยู่เลย เปิ่นกงจะส่งคนไปเสาะหามา เ้าเขียนเทียบยานั้นมาก่อนสิ”
เหตุใดถึงยังต้องเขียนอีกเล่า?
เหยาเชียนเชียนน้ำตาอาบแก้มในใจ นางคุกเข่าลงเสียงดัง ‘ตุบ’ อย่างแรง และหมอบศีรษะแนบกับพื้น
“เหนียงเหนี่ยง มิใช่เชียนเชียนไม่ยินดีมอบแด่ท่านนะเพคะ ทว่าหากนำเทียบยานี้ไปใช้หลังจากเกินกำหนดอายุไปแล้ว ยาวิเศษก็อาจกลายเป็ยาพิษได้จริงๆ เพคะ เชียนเชียนรู้ว่าเหนียงเหนี่ยงทรงเป็ห่วงองค์ชายสาม คาดว่าพระองค์จะต้องให้องค์ชายสามใช้ยานั้นอีกครั้งเป็แน่ เชียนเชียนขอบังอาจไม่มอบเทียบยาแด่พระองค์เพคะ”
ความคิดเช่นนี้คล้ายกับว่าต้องเจอกับอาหารหรืออาหารเสริมที่หมดอายุ แม้รู้ว่ามันหมดอายุไปแล้ว แต่ก็ยังอยากกินให้หมดด้วยถือคติเคราะห์ดีและหยั่งเชิง
เหยาเชียนเชียนเพิ่มความรู้สึกในความเป็มารดาผู้เมตตาของอวี๋เฟยมากขึ้น แม้ว่าสองประโยคนี้จะดูไม่เคารพไปบ้าง แต่ในด้านของเหตุผลกลับไม่พบจุดผิดพลาด
นางลอบมองไปยังเป่ยเหลียนโม่ซึ่งนั่งตัวตรงอยู่อีกด้าน สายตาเผยแววอ้อนวอน
พี่ชาย ไหนบอกว่าจะจับมือไปด้วยกันไงเล่า
เป่ยเหลียนโม่อารมณ์ดีเมื่อสังเกตเห็นสายตาขอความช่วยเหลือของนาง แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่ยอมมอบเทียบยาแด่อวี๋เฟย ทว่าเื่นี้สามารถเพิ่มความยุ่งยากให้เป่ยเซวียนเฉิงได้ เขาจึงเต็มใจมอบความช่วยเหลือด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
“เหนียงเหนี่ยง เชียนเชียนรู้ว่าพระองค์รักพระโอรสยิ่งนัก ฉะนั้นถึงได้พยายามโน้มน้าวอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะเอ่ยถ้อยคำไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ทว่านางมีเจตนาดี หากเหนียงเหนี่ยงได้รับเทียบยาไปแล้วจะต้องมอบให้พี่สามใช้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากเกิดเื่ขึ้นมา จะเสียใจก็สายเกินแก้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋เฟยถอนใจพลางกล่าวว่าเป็เช่นนั้นจริง นางใจร้อนเกินไป ซึ่งบางครั้งมักเป็การได้ที่ไม่คุ้มเสีย อีกทั้งยังนำไปสู่หายนะอีกด้วย
นางยิ้มให้เหยาเชียนเชียนพลางโบกมือเรียก “เชียนเชียน มาข้างๆ ข้าสิ”
เหยาเชียนเชียนเหลือบมองเป่ยเหลียนโม่ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าและคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ของอวี๋เฟย
“ปิ่นเล่มนี้เป็ปิ่นที่เปิ่นกงโปรดปรานที่สุด แม้เ้าและเฉิงเอ๋อร์จะสิ้นวาสนาต่อกันแล้ว แต่เปิ่นกงก็ต้องขอบใจเ้าที่ดูแลเขามาตลอดหลายปี หากมีเวลาว่างก็มาสนทนากับเปิ่นกงได้ เข้าใจหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนไม่ขยับเขยื้อน รอจนอวี๋เฟยปักปิ่นให้นางเรียบร้อยแล้วจึงค้อมกายแสดงความเคารพ
เมื่อกลับไปอยู่ข้างกายเป่ยเหลียนโม่แล้ว เหยาเชียนเชียนจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ อยู่ตรงนี้ยังสบายใจมากกว่า
เป่ยเหลียนโม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนข้างกาย เขายกมุมปากขึ้นโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และยกจอกชาส่งให้นาง
พระพักตร์ของอวี๋เฟยประดับรอยยิ้ม มองพวกเขาอย่างเมตตา
“ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีงานมงคลมานานมากแล้ว เปิ่นกงจึงทูลขอฝ่าาให้รับพวกเ้าทั้งสองมาที่นี่ และถือว่าเป็การร่วมยินดีกับพวกเ้าไปด้วย”
นางตบมือเบาๆ ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ วันก่อนเปิ่นกงได้รับพระราชทานม้าดีตัวหนึ่งจากฝ่าา ม้าเป็ม้าดี แต่น่าเสียดายที่เปิ่นกงทำได้เพียงเลี้ยงมันไว้ในคอกม้า ความชำนาญในการขี่ม้านั้นก็ธรรมดา มิสู้มอบมันแก่ท่านอ๋องเสียยังดีกว่า”
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ แต่กลับได้ยินอวี๋เฟยกล่าวต่อว่าม้าตัวนั้นมีนิสัยดุร้าย ฝึกให้เชื่องยาก และอนุญาตให้เป่ยเหลียนโม่ไปดูก่อนได้ หากไม่ชอบก็จะไม่ส่งไปให้ที่จวนอ๋อง ถ้าเขายังไม่สามารถกำราบมันได้ เช่นนั้นมิสู้ส่งมันไปเชือดที่ห้องเครื่องดีกว่า
“เปิ่นกงก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสัตว์ตัวนั้นดี” อวี๋เฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันทำคนฝึกตกจากหลังม้าได้รับาเ็ไปหลายคนแล้ว เปิ่นกงอยากมอบแก่ท่านอ๋องเป็ของกำนัล แต่ก็กลัวจะทำให้ท่านอ๋องได้รับาเ็ไปอีกคน”
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองเหยาเชียนเชียน ก่อนจะกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะว่าไม่เป็ไร เขาจะไปดูสักหน่อย
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนร้องเรียกเขาอย่างร้อนรน ข้างหลังคือแววตาขบขันของอวี๋เฟย นางจึงไม่กล่าวมากความ ทำเพียงกำชับว่า “ท่านอ๋องโปรดระวังด้วย รีบไปรีบกลับ”
สี่คำสุดท้ายคือใจความสำคัญ หวังว่าเขาจะฟังได้เข้าใจ!
เป่ยเหลียนโม่กุมมือนางแ่เบา อวี๋เฟยจงใจบีบเขาออกไปและรั้งเหยาเชียนเชียนไว้ นางมีอุบายใดเขารู้แจ้งเห็นชัด เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังเฟยของเขาคิดเห็นอย่างไร เขามองเห็นความกังวลในแววตาของนาง จะทิ้งนางไว้ที่นี่จริงๆ หรือ?
“เชียนเชียน เราคุยกันอีกสักหน่อยสิ”
อวี๋เฟยแย้มยิ้มพลางกวักมือเรียกเหยาเชียนเชียน นางจำต้องหลบสายตา ในใจไม่เคยนึกอาลัยอาวรณ์เป่ยเหลียนโม่ดังเช่นในเวลานี้มาก่อน
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง อวี๋เฟยรับชาที่มามายื่นให้และจิบไปอึกหนึ่ง สายตากวาดมองไปยังเหยาเชียนเชียนที่อยู่เบื้องล่าง
เมื่อครู่นางใช้อาหารบำรุงในการหยั่งเชิงอย่างคร่าวๆ ทว่าเหยาเชียนเชียนพยายามบอกปัดทุกวิถีทาง หรือจะเป็จริงดังที่เฉิงเอ๋อร์บอก นางไม่ได้เป็เหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว
“เชียนเชียน” อวี๋เฟยวางจอกชาลงและกล่าวเสียงเบา “เดิมทีข้าไม่ควรดื่มชานี้ร่วมกับเ้าและชิงผิงอ๋อง รอมาเนิ่นนานเพียงนี้ สุดท้ายก็รอไม่ถึงคราวของเ้าและเฉิงเอ๋อร์ กล่าวได้เพียงว่าโชคชะตากลั่นแกล้งมนุษย์”
เหยาเชียนเชียนยกมุมปากขึ้นอย่างเกร็งๆ อย่าได้พูดเื่เหล่านี้ยามที่สามีของนางไม่อยู่สิ นางสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
“เื่บุพเพสันนิวาสก็เป็เช่นนี้มาั้แ่ไหนแต่ไร องค์ชายสามเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถ ต้องได้พบเจอคนดีแน่นอนเพคะ เป็เชียนเชียนเองที่ไม่มีวาสนานั้น”
อวี๋เฟยหัวเราะเบาๆ สายตาที่มองไปยังเหยาเชียนเชียนเจือแววพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายส่วน
“ชิงผิงอ๋องเป็คนที่ได้รับการอวยยศเป็อ๋องเร็วที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด แม้เฉิงเอ๋อร์จะเป็พี่สามของเขา ทว่าบัดนี้กลับยังพำนักอยู่ในวังหลวง เสียงเล่าลือภายนอกไม่น่าฟังนัก แม้เปิ่นกงจะสบายใจอยู่เสมอ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถรักษาไข้ใจของเขาได้ เชียนเชียน มีเพียงเ้าเท่านั้นที่สามารถรักษาไข้ใจของเขาได้”
มีแต่ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็อ๋อง และได้รับบรรดาศักดิ์แล้วจึงจะสามารถขอราชโองการออกจากวังหลวงเพื่อสร้างจวนของตัวเองได้ หากไม่เป็เช่นนั้น ก็เป็ได้เพียงองค์ชายไร้บรรดาศักดิ์ผู้หนึ่งที่ยังคงพำนักอยู่ในวังหลวงร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆ
เป่ยเซวียนเฉิงเป็องค์ชายลำดับที่สาม พี่ชายสองคนที่มีลำดับก่อนหน้าเขาก็ได้รับบรรดาศักดิ์ออกจากวังหลวงไปแล้วเช่นกัน มีเพียงเขาที่อยู่ระหว่างกลาง ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธการแต่งตั้งยศด้วยอ้างเหตุผลว่าเขามีร่างกายอ่อนแอไม่เหมาะสมที่จะออกจากวังหลวง
ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่แท้จริงของเื่นี้ การคาดคะเนอย่างระมัดระวังของผู้คนนั้นยากจะหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่ไม่เข้าหู องค์ชายสามผู้นี้เป็องค์ชายที่มีพระชนมายุมากที่สุดในวังหลวง เมื่อมีข่าวลือแพร่สะพัดขึ้นมา จึงทำให้จิตใจของเขาไม่สงบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อกล่าวมาขนาดนี้แล้ว เหยาเชียนเชียนรู้ตัวดีว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก นางทำได้เพียงยืนขึ้นและคำนับเล็กน้อย
“ฝ่าาทรงเอ็นดูองค์ชายสาม ดังนั้นจึงได้เก็บเขาไว้ข้างกายเพื่อเลี้ยงดูด้วยพระองค์เองเพคะ นี่เป็โชคดีที่ผู้อื่นต่าง้าแต่มิอาจได้มา เหนียงเหนี่ยงอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ โชคดีขององค์ชายสามยังมีอยู่ในอนาคตข้างหน้าเพคะ”
สิ่งที่กล่าวล้วนเป็เื่ไร้สาระ ซึ่งหากมองเพียงผิวเผินก็เป็เช่นนั้นจริง การได้รับการอบรมสั่งสอนจากฮ่องเต้เป็บารมีและเป็ความรักอย่างยิ่ง อวี๋เฟยก็คิดแบบนั้นในคราแรกเช่นกัน
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป องค์ชายใหญ่และองค์ชายสองต่างก็ได้รับบรรดาศักดิ์และออกจากวังตามกันไป องค์ชายสี่อยู่ลำดับแรกสุดก็เพียงพอให้นางรู้สึกอึดอัดใจแล้ว แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมแต่งตั้งยศให้แก่บุตรชายของนางเสียที เกียรติยศในคราแรกนั้น เมื่อมองย้อนไปอีกครั้งก็เป็เพียงพันธนาการชนิดหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ
บุตรชายของนางติดอยู่ในส่วนลึกของวังหลวงอย่างแ่า จำต้องเก็บปีกและระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา คอยระวังตนจากสายตาที่พุ่งเข้ามาจากรอบด้าน หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะไม่มีทางหวนกลับ
ส่วนสตรีตรงหน้านี้คอยพร่ำบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเฉิงเอ๋อร์ไปชั่วชีวิต แต่เพียงพริบตาเดียวกลับโผเข้าสู่อ้อมกอดของชิงผิงอ๋องไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
เหยาเชียนเชียนเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล สายตาจึงได้ปะทะกับแววตาเย็นะเืของอวี๋เฟยเข้าพอดี หัวใจของนางสั่นสะท้าน สิ่งที่นางพูดเมื่อครู่มีสิ่งใดผิดหรือ เหตุใดท่าทางของอวี๋เฟยถึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“เชียนเชียน เ้าเป็คนที่มีจุดยืนั้แ่ยังเล็ก รู้จักแยกแยะ และรู้รุกรู้รับ แต่เปิ่นกงไม่คิดเลยว่าสุดท้ายเ้าจะใช้ความคิดที่ใช้จัดการกับผู้อื่นมาใช้กับเปิ่นกง”
เหยาเชียนเชียนรีบคุกเข่าอย่างลนลาน กล่าวคำว่ามิกล้ารัวๆ คิดในใจว่าอวี๋เฟยกำลังเตรียมจะฉีกหน้ากันใช่หรือไม่ หรือว่าในสายตาของนาง ครั้งนี้เป็เพียงคำเตือนเล็กน้อยเท่านั้น?
“เปิ่นกงเรียกตัวเ้ามาแต่เช้าตรู่ ทว่ายามนี้ยังมิได้ดื่มน้ำชาสมรสสักจิบ” อวี๋เฟยยิ้มอ่อนโยน “ชิงผิงอ๋องไม่อยู่ เช่นนั้นเชียนเชียนถวายน้ำชาแด่เปิ่นกงสักจอกก่อนสิ”
แม้จะรู้ว่าถูกหลอก แต่นางในยามนี้กลายเป็เนื้อบนเขียงไปเสียแล้ว จำต้องยอมให้อีกฝ่ายปั้นเป็ก้อนกลมและบี้จนแบนราบ
เหยาเชียนเชียนรับจอกชาเปล่ามาจากมือของมามา พลางดึงจานรองจอกชาออก และประคองขึ้นด้วยสองมือ จากนั้นมามาจึงไปหยิบกาน้ำชากาหนึ่งมา และค่อยๆ เทลงไปในจอกชา
กลิ่นหอมสดชื่นเตะจมูก เหยาเชียนเชียนแยกไม่ออกว่าเป็ใบชาชนิดใด และไม่มีแก่ใจจะแยกแยะ นางกัดฟันยกจอกชาให้มั่น น้ำร้อนเทลงมาไม่ขาดสาย ส่งผลให้ปลายนิ้วอ่อนนุ่มแทบจะทนไม่ไหวในเวลาเพียงไม่นาน
ร้อน! ร้อนเหลือเกิน!
“ดีมาก” อวี๋เฟยเอ่ยเสียงเรียบ “หลี่มามา สอนระเบียบการถวายน้ำชาให้นางเสียสิ”
เชิงอรรถ
[1] สมุนไพรกระตุ้นฤทธิ์ยา ในศาสตร์ยาจีน ตัวกระตุ้นฤทธิ์ยาจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของยาชนิดอื่นๆ และช่วยให้รักษาโรคได้ตรงจุดกำเนิดโรค มีหน้าที่เสริมประสิทธิภาพการรักษา ล้างพิษ แต่งกลิ่น และปกป้องระบบทางเดินอาหาร เป็ต้น
