การนอนกลางวันที่ทั้งเกียจคร้านและสุขสบายทำให้โม่จ้านผ่อนคลายโดยสมบูรณ์
กระนั้นโม่จ้านที่รู้สึกตัวตื่นแล้วกลับมิได้ลืมตา ลมหายใจร้อนระอุที่ส่งผ่านมาบอกตนว่ามีผู้กำลังจ้องมองตนนอนหลับในระยะประชิดใบหน้า
ในเวลาเช่นนี้ ฉิวอินคงกำลังเข้าเรียน ทั้งยามตนปีนขึ้นมาบนหลังคาได้บอกปาอินล่วงหน้าแล้ว อีกฝ่ายคงจะมิทำอันใดรบกวนอย่างบุ่มบ่าม หรือว่าปาอินมีเื่จะขอร้องตนแต่มิกล้ารบกวนเวลาพักผ่อน ดังนั้นจึงพยายามใช้ความเคลื่อนไหวที่แ่เบาที่สุดทำให้ตนค่อยๆ รู้สึกตัว?
เป็เด็กที่น่ารักเสียจริง โม่จ้านยกยิ้มร้ายในใจ มือทั้งสองข้างที่รองอยู่หลังศีรษะถูกชักออกมากะทันหัน อ้าแขนกว้างพุ่งไปด้านหน้า ประทับหนึ่งจูบแแ่ให้แก่คนตรงหน้าที่ยังมิได้สติรู้ตัว
---หลังจากนั้นพลันพบกับั์ตาสีเข้มคู่หนึ่งที่เล็กหรี่ลงเทียบเท่าปลายเข็มและเปี่ยมด้วยความตื่นตระหนกใ
แรงโจมตีจากภาพนั้นรุนแรงเหลือเกิน ถึงขั้นทำให้สมองของคนทั้งสองที่ริมฝีปากแนบชิดขาวโพลน นึกมิถึงว่าจะไม่มีสติ ‘กลับเข้าลู่เข้าทาง’ ในทันที ท้ายที่สุดยังคงเป็โม่จ้านที่ได้สติกลับมากะทันหันและผลักเจียนั่วที่กลายเป็หินโดยสิ้นเชิงออก
“สะ สวัสดียามบ่ายท่านอัศวิน ฮ่าๆๆๆๆ...” น้ำเสียงของโม่จ้านสั่นสะท้านก่อนจะยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปาก
เจียนั่วที่ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอยเลียริมฝีปากโดยมิรู้ตัว ครั้นเห็นสีหน้ามิต่างกับเห็นผีของโม่จ้าน ทันใดนั้นเพิ่งรู้ตัวว่าตนทำเื่ชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จากนั้นจึงใช้ชายแขนเสื้อหยาบๆ พยายามเช็ดริมฝีปากอย่างแรงโดยที่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด
คนทั้งสองนั่งเช็ดริมฝีปากอยู่บนหลังคาครึ่งค่อนวัน ยังหลงเหลือััทางกายหรือไม่มิอาจล่วงรู้ ทว่าความคันยุบยิบในใจพอทุเลาลงบ้างเป็การชั่วคราว ส่วนเื่ ‘ัั’ เป็อย่างไร โม่จ้านกับเจียนั่วต่างพากันเลือกที่จะลืมมันไปทั้งๆ ที่รู้ดี
“ข้า้าหนึ่งคำอธิบาย” คนทั้งสองเอ่ยเป็เสียงเดียวกัน
“เ้าพูดก่อน” ยังคงพร้อมเพรียงเป็หนึ่งเดียว
“...ช่างเถิด ข้าถามเ้าก่อนก็แล้วกัน เ้ากลับไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่หอพักนักเรียนของฉิวอินกับปาอิน? อีกอย่าง เหตุใดจู่ๆ เ้าจึงวิ่งมาบนหลังคา? เ้าทำอันใดพวกเขา?”
หลังยิงคำถามหนึ่งชุดด้วยความใจนทำอันใดมิถูก โม่จ้านที่สงบสติอารมณ์ลงตั้งท่าเตรียมป้องกัน ในตึกหลังนี้มีผนึกของสองพี่น้องปีศาจแฝงฝัน หากเจียนั่วทำลายผนึกเพื่อมาหาตน เช่นนั้นจะต้องมีกระบวนการต่อจากนั้นอย่างแน่นอน
เจียนั่วขมวดคิ้ว “เ้าให้นักเรียนผู้นั้นนำข่าวไปแจ้งแก่ข้า หลังข้าช่วยเ้าเสร็จจึงกลับเมือง ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ยังมิเห็นเ้าจะมา”
โม่จ้านถึงกับหนาวสั่น เหตุใดประโยคนี้จึงฟังดูคล้ายภรรยากำลังตำหนิที่สามีมิยอมกลับบ้าน?
“ข้าขอลาเพื่อมาหาเ้าโดยเฉพาะ แต่มิรู้ว่าเ้าอยู่ที่ใด ข้าทำได้เพียงไปค้นดูแผนการเตรียมการในวันนั้นเพื่อหานักเรียกที่ชื่อฉิวอินแล้วสอบถามที่อยู่ของเ้าจากเขา”
โม่จ้านได้ยินเช่นนั้นสีหน้าถึงกับเปลี่ยนไปโดยพลัน ตนดีดตัวลุกขึ้นพลางถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ตามด้วยล้วงหยิบกริชที่อยู่ข้างเอวออกมากำไว้ในมือ
“เ้าทำอันใดเขา?” ด้วยความภักดีของฉิวอิน เขาไม่มีทางยอมเผยที่ซ่อนของตนแก่คนนอกอย่างแน่นอน
“ข้าบอกเขาว่าเ้านัดพบข้า ทว่ามิได้มาตามนัดหมาย ข้าจึงมาหาด้วยตนเอง ข้ายังให้เขาอ่านกระดาษแผ่นนั้น เขียนเอาไว้เช่นนั้นไม่มีผิด”
เจียนั่วมองโม่จ้านที่ตั้งท่าป้องกันตัวขั้นสูงสุด ใบหน้าเ็าฉายแววงุนงงออกมา
“นอกจากนั้นเขายังทำราวกับรู้อยู่แล้วและบอกข้าว่าเ้าอยู่ที่นี่ ข้ายังนึกว่าเ้ากำชับเขาเอาไว้เสียอีก”
โม่จ้านเกือบจะนำกริชเสียบซี่โครงตนเอง ตนติดนิสัยใช้คำกำกวม กระนั้นด้วยระดับสมองอันน้อยนิดของเ้าเบื๊อกฉิวอินจะต้องเข้าใจผิดไปแล้วเป็แน่
มีบทพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่าอย่างไรนะ? ‘ข้าเชื่อในความภักดีของเ้า หากแต่มิเชื่อในสมองของเ้า!’
“ถามจบแล้ว? เช่นนั้นถึงคราวข้าถามบ้าง” เจียนั่วชี้ไปยังรั้วประกาศฝั่งตรงข้ามที่ตั้งอยู่ไกลๆ “เหตุใดจึงมีประกาศจับเ้าทั่วเมือง? เ้าทำอันใดลงไป?”
โม่จ้านรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน “ช่วยส่งภารกิจแทนสหาย กลับโดนศัตรูของสหายไล่ฆ่า มือเบาเกินไปจึงเพียงตีคนไม่กี่คนนั้นให้สลบ ผลสุดท้ายคนชั่วชิงฟ้องเสียก่อน อาศัยเส้นสายจนทำให้ข้ากลายเป็นักโทษโดนประกาศจับ เ้ามิเห็นว่าสาเหตุในใบประกาศจับเขียนว่า ‘มีแนวโน้มจะสังหารคน’ งั้นหรือ?”
“หากเป็เพียงการชกต่อยมิเพียงพอให้ถูกประกาศจับ ข้าเชื่อว่าเ้ามิได้ฆ่าคน” เจียนั่วพยักหน้า
ต่อให้เ้ามิเชื่อข้าก็มิได้ฆ่าคน ขอบคุณท่านแล้วกัน
โม่จ้านคร้านจะเอ่ยวาจาไร้สาระต่อไป ตนคว้าขอบหน้าต่างเตรียมจะะโกลับเข้าไปในห้อง กลับถูกเจียนั่วดึงด้านหลังเสื้อเอาไว้
“ยังถามมิจบ เ้าเตรียมจะประลองกับข้าเมื่อใด?”
ท่านอัศวินดึงดันอยากจะจัดการข้าเสียเหลือเกิน โม่จ้านกลอกตาขาวพลางดิ้นให้หลุดจากมือของเจียนั่ว
“หากเ้าไม่ใช้พลังเวท ข้าจะประลองกับเ้าเดี๋ยวนี้”
“ได้!” เจียนั่วขานรับ “พวกเราจะไปที่ใด?”
โม่จ้านนิ่งงันเสียแล้ว “...เ้าพูดจริง?”
เจียนั่วพยักหน้าก่อนจะดึงคอเสื้อของตน โม่จ้านเพิ่งจะสังเกตว่านี่เป็ครั้งแรกที่ท่านอัศวินปรากฏตัวต่อหน้าตนในสภาพที่มิใช่ชุดเกราะเหล็กเต็มยศ
อาภรณ์สองชั้นสีเทาเย็บขอบประณีต ชายแขนเสื้อเข้ารูปมิเกะกะ กระดุมสีเงินติดเป็ระเบียบเรียบร้อย ผ้าคลุมครึ่งวงกลมสีเหลืองเมล็ดข้าวพลิ้วไหวอยู่บนไหล่ซ้าย ผนวกกับรูปร่างค่อนข้างผอมของเจียนั่ว มองปราดแรกยังนึกว่าเป็คุณชายผู้สุภาพงดงามตระกูลสูงศักดิ์
โม่จ้านมองพิจารณาเจียนั่วพลางใคร่ครวญถึงระดับความน่าเชื่อถือในคำพูดของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดยังคงพ่ายแพ้ให้กับแววตากระตือรือร้น
“มิใช่ว่าข้าจงใจถ่วงเวลา เพียงแต่เ้าก็เห็นสถานการณ์ในยามนี้ ข้ายังจะกล้าออกไปอีกหรือ?” โม่จ้านกระทำการดิ้นรนครั้งสุดท้าย
“ท่านทั้งสอง ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่จะมิถูกผู้คนพบเข้าเ้าค่ะ” ปาอินที่ลอบฟังอยู่ครึ่งค่อนวันเงยหน้าอยู่ด้านล่างหน้าต่าง มือทั้งสองป้องปากพลางร้องะโขึ้นมา้า
เจียนั่วพยักหน้าแสดงความขอบคุณไปทางปาอิน จากนั้นลากโม่จ้านะโลงจากหน้าต่าง “ข้านำหีบชุดเกราะมาด้วย เ้าสวมที่กำบังใบหน้านั่น”
“....อืม”
ใจของโม่จ้านมิต่างกับเถ้าถ่านที่ดับมอด ที่แท้ปีศาจแฝงฝันมิได้เพียงไม่มีพลังด้านการต่อสู้ กลับยังเป็พวกไม่มีสมองขั้นสุด
ปาอินะโโลดเต้นนำทางอยู่ด้านหน้า เจียนั่วที่สีหน้าแลดูเปล่งปลั่งเดินอยู่ตรงกลาง โม่จ้านสวมเกราะหนัก เดินปิดท้ายอยู่ด้านหลังด้วยฝีเท้าหนักอึ้งอย่างยิ่ง สองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินไปสิบกว่านาที จากนั้นจึงหยุดลงหน้าห้องที่ถูกทิ้งไว้ในตึกหลังหนึ่ง
“เดิมทีที่นี่ใช้เป็ห้องเก็บของโรงงานผลิตตะเกียงเวทมนตร์ ภายหลังย้ายออกไป ยามถูกข้ากับท่านพี่พบเข้า ผนึกเพิ่งจะเสื่อมลงเ้าค่ะ พวกเราตกแต่งใหม่และยังตั้งชื่อให้มันว่า ‘์ที่หายไป’ ”
ปาอินชี้ป้ายที่แขวนไว้บนสุด อักษรที่อยู่้าเลือนรางเสียจนอ่านมิออกแม้แต่น้อย
“หากมาตากอากาศในคืนหน้าร้อนที่นี่จะสบายมากเ้าค่ะ พวกเราย้ายกระทั่งฟูกนอนมาด้วย หาก้าสิ่งใด พวกท่านสามารถนำมาใช้ได้ตาม้าเ้าค่ะ”
เจียนั่วดึงเสื้อเกราะของโม่จ้านออกอย่างว่องไวพร้อมกับตั้งท่าเรียบร้อย ส่วนท่านโม่จ้านยังมิทันตอบสนอง ภายในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘พวกเราย้ายกระทั่งฟูกนอนมาด้วย’
“ถ้าเช่นนั้นไม่รบกวนแล้วเ้าค่ะ เชิญเต็มที่เ้าค่ะ” ปาอินปิดประตูทั้งรอยยิ้ม จากนั้นเดินไปยังถนนใหญ่อย่างพึงพอใจ
ทัศนคติของเผ่าปีศาจเห็นศักยภาพอยู่เหนือสิ่งใด ผู้ที่มีความสามารถจึงจะสามารถป่าวประกาศความปรารถนาของตน ในฐานะที่ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์คือเผ่าปีศาจชั้นสูง หากคิดอยากลงไม้ลงมือกับมนุษย์สักคน ตนย่อมต้องให้ความช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง
กระนั้นเหตุใดจึงดูคล้ายท่านจะมีท่าทีปฏิเสธอยู่บ้าง? จะต้องเป็เพราะพลังเวทยังมิฟื้นคืน ดังนั้นความรู้สึกปลอดภัยจึงมิเพียงพอกระมัง เพียงแต่มิเป็อันใด ด้วยระดับความแข็งแรงของท่าน อีกฝ่ายไม่มีทางแตะต้องท่านได้แม้แต่น้อยเสียด้วยซ้ำ!
นี่คือโอกาสอันดีที่ข้ารับใช้อย่างพวกเราจะได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดมิใช่หรือ? ออกจากเมืองมิได้ กระนั้นการหาสถานที่สำหรับการนัดหมายกลับยังมิเป็ปัญหา ดูจากท่าทางหยิ่งผยองของเ้ามนุษย์ผู้นั้นแล้ว มิรู้ว่ายามเขาถูกกล้ามเนื้อกำยำของนายท่านกดไว้ใต้ร่าง ยังจะร้องโหยหวนออกมาด้วยความสิ้นหวังอย่างไร?
ท่านโม่เจ๋อเอ๋อร์พยายามเข้า จัดการอัศวินผู้นั้นให้ต้องร้องวิงวอน ทำให้เขาได้เห็นถึงความเก่งกาจของท่าน!
