ค่ำคืนเงียบสงัดผ่านไปโดยไร้วาจา...
วันรุ่งขึ้นโม่เสวี่ยถงตื่นแต่เช้าและปฏิบัติเช่นเดียวกับเมื่อวาน เริ่มต้นจากเข้าร่วมทำวัตรเช้ากับเหล่าหลวงจีน หลังจากนั้นก็นิมนต์เ้าอาวาสมาสวดอุทิศส่วนกุศลให้มารดา นางก็ฟังสวดจนถึงยามมะเมียแล้วรีบรับประทานอาหารกลางวัน ตลอด่บ่ายก็มีกิจกรรมบำเพ็ญกุศลต่อ เนื่องจากโม่เสวี่ยิ่กำหนดไว้สามวัน วันนี้เป็วันหลักที่สำคัญ ดังนั้นจึงมีพิธีกรรมถึงเย็นย่ำจึงออกมาจากวิหาร
วิหารแห่งนี้ไม่ใช่หอกลางของวัดเป้าเอิน เนื่องจากมีไว้เพื่อใช้สวดอุทิศส่วนกุศล ดังนั้นสถานที่จึงค่อนข้างเปลี่ยวและอยู่ห่างไกลออกมา โม่เยี่ยและโม่หลันอยู่ข้างกายนางเพียงสองคน โม่เยี่ยถือโคมส่องทางให้อยู่ด้านหน้า ส่วนโม่หลันค่อยประคองโม่เสวี่ยถงเดินตามอยู่ด้านหลัง
“คุณหนูเ้าคะ เมื่อตอนบ่ายซวงเยี่ยแอบออกไปข้างนอกครั้งหนึ่งเ้าค่ะ ชิวหลิงรั้งโม่อวี้ไว้ให้ช่วยสอนนางปักผ้า และยังถามว่าโม่เยี่ยเข้าจวนมาั้แ่เมื่อไร โม่อวี้บอกไปว่าโม่เยี่ยเป็หญิงกำพร้าที่คุณหนูเคยให้ความช่วยเหลือไว้เมื่อตอนที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิง เข้าเมืองหลวงครานี้ก็เพื่อมาขออาศัยอยู่กับญาติแต่หาไม่พบ ขณะกำลังจนตรอกไม่มีที่ไปก็มาพบกับคุณหนูโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงขอติดตามคุณหนูเสียเลยเ้าค่ะ”
เมื่อโม่เยี่ยต้องมาอยู่กับโม่เสวี่ยถงในเรือนชั้นในก็ต้องมีสถานะที่เหมาะสม การตามหาญาติไม่พบและได้มาเจอผู้มีพระคุณอีกครั้ง แผนการนี้โม่เสวี่ยถงเป็คนคิดเสนอขึ้นมา
โม่เสวี่ยถงมุ่นคิ้วเล็กน้อยถามว่า “ตอนซวงเยี่ยกลับมามีสิ่งใดผิดปรกติหรือไม่”
“โม่อวี้บอกว่าหลังจากซวงเยี่ยกลับมาก็อยู่กับพวกนางตลอด ระหว่างนั้นมีคนนอกมาส่งสำรับอาหาร ซวงเยี่ยออกไปแค่ครั้งเดียว นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเ้าค่ะ” โม่หลันกล่าวอย่างเป็ปรกติ
คิ้วเรียวของโม่เสวี่ยถงมุ่นขมวดเล็กน้อย เดินไปพร้อมกับโม่หลันได้สองก้าวก็พลันหยุดชะงัก “โม่หลัน วันนี้เห็นซือหม่าหลิงอวิ๋นหรือไม่”
“ไม่เห็นเ้าค่ะ ได้ยินหลวงจีนน้อยบอกว่าเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อมีนัดกับสหาย ดังนั้นจึงรั้งอยู่ต่อที่นี่ ่กลางวันก็ออกไปเยี่ยมสหายข้างนอก ดังนั้นจึงไม่อยู่ทั้งวันเ้าค่ะ”
ในแผนการร้ายของโม่เสวี่ยิ่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไม่อยู่ได้อย่างไร โม่เสวี่ยถงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น มองไปตามทางที่อยู่เบื้องหน้า นี่เป็อีกคืนที่ฟ้ามืดสนิท ไม่รู้ว่าสองสามวันนี้อากาศไม่ดีหรือมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศบนูเาเป็เช่นนี้กันแน่ นอกจากแสงโคมส่องทางแล้ว รอบด้านล้วนมืดมิด แม้แต่ยื่นมือมาตรงหน้ายังมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าของตนเอง
ขณะมองสำรวจไปโดยรอบ พลันได้ยินเสียงคนอยู่ด้านหน้า ผู้มาดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงคนเดียว โคมไฟสองดวงถูกยกสูง มีเสียงบุรุษคุยกันดังลอยมา
โม่เสวี่ยถงหยุดเดินและมองซ้ายมองขวาทันที แม้ว่าที่นี่จะไม่มีเรือนชั้นใน แต่ผู้มาล้วนเป็บุรุษ นางเป็สตรีที่อยู่แต่เรือนหลังหากหลบได้ก็ต้องหลบ แต่เวลานี้พวกนางกำลังเดินอยู่ตรงกลางระหว่างอารามสองหลัง นอกจากทางเดินเล็กๆ เส้นนี้ ก็ไม่มีทางให้หลบเลี่ยงได้เลย
“คุณหนู...” โม่หลันก็ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีนัก
ขณะที่ฝ่ายพวกนางยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ ทางนั้นก็มีเสียงหัวเราะลอยมา “พี่ซือหม่า ท่านอย่าหาคิดหาวิธีสลัดพวกเราทิ้งเสียให้ยาก ที่มาที่นี่ก็เพื่อมานัดพบกับสาวงามใช่หรือไม่ หากไม่ใช่ว่าพี่น้องเราเฉลียวฉลาด ท่านก็คงหาทางหลบหนีแน่นอน วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางสลัดพวกเราทิ้งได้หรอก”
“พี่เหอ พี่หลิง ข้าผู้น้องมิได้นัดหมายกับสาวงามคนใดทั้งสิ้น พวกท่านรีบกลับไปก่อนเถิด ฟ้ามืดขนาดนี้แล้วเดี๋ยวจะลงเขากันอย่างไร” คำพูดของซือหม่าหลิงอวิ๋นดูลนลานตื่นเต้นทำให้คนยิ่งสงสัย
“วันนี้พวกเราสองพี่น้องไม่ลงเขาแล้ว อย่างไรก็ต้องได้เห็นว่าคนงามรูปร่างหน้าตาเป็อย่างไร ถึงทำให้พี่ซือหม่าถึงกับวางใจไม่ลง ต้องรีบเดินทางกลับวัดมาเยี่ยงนี้ ถุงหอมที่สาวใช้ผู้นั้นส่งมาให้ก็ทำได้งดงามจริงๆ พี่ซือหม่าหวงแหนยิ่งกว่าอะไรดี หากไม่ใช่สาวงามล่ะก็ ท่านจะรีบร้อนกลับมาเช่นนี้หรือ” เสียงที่ดังตามมาท่าทางไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ
“มีนัดกับสาวงามเป็ความสุขอย่างหนึ่งของบุรุษเช่นพวกเรา ดูจากแสงโคมที่อยู่ไกลๆ ดวงนั้น คือจุดหมายปลายทางที่จะไปใช่หรือไม่ ไหนๆ พวกเราพี่น้องก็อยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า ก็ขอชะเง้ออยู่ห่างๆ จะเป็ไรไป ไม่รบกวนท่านกับคนงามจู๋จี๋กันหรอกน่า” เสียงแหลมเล็กของบุรุษอีกคนดังขึ้น
“คุณหนู ฝ่ายตรงข้ามมากันหกคน มีสามคนที่เป็บ่าวชายเ้าค่ะ” โม่เยี่ยกล่าวเตือน ร่างของนางยืนนิ่ง เงาร่างสูงที่สะท้อนภายใต้แสงตะเกียงยิ่งทอดยาว
ชั่วพริบตาที่ได้ยินเสียงสนทนา โม่เสวี่ยถงพลันรู้สึกถึงความหนาวเย็นพุ่งเข้ามาปะทะ เล็บแหลมคมจิกเข้าเนื้อ
โม่เสวี่ยิ่ช่างร้ายกาจนัก!
มาเพื่อสวดอุทิศบุญให้มารดา แต่กลับนัดหมายพบปะกับบุรุษเป็การส่วนตัวแล้วถูกคนพบเห็นเข้า อีกทั้งยังมีพยานวัตถุที่ทิ้งไว้อีก...
หรือว่าชาตินี้ตนเองยังจะต้องซ้ำรอยเดิมกับชาติปางก่อน และต้องตายอย่างไม่เป็ธรรมซ้ำอีกหรือไร ภายใต้ก้นบึ้งดวงตากลายเป็สีแดงก่ำดั่งโลหิต ราวกับทุกข์ทรมานอยู่ท่ามกลางกองไฟที่แผดเผาในวันนั้น...
ไม่! นางไม่ยอมให้แผนชั่วของพวกเขาประสบความสำเร็จเด็ดขาด นางยอมตายแต่ไม่ยอมตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาแบบนั้นอีกแล้ว เบื้องหน้าสายตาราวกับเห็นภาพวันที่ตนเองนอนตายตาไม่หลับอีกครั้ง ความโศกเศร้าและเกลียดชังทำลายหัวใจจนแหลกเหลว นางชี้ขึ้นฟ้าแล้วกล่าวคำสาบานไว้...
“โม่เยี่ย เ้าสามารถพาคนเหาะขึ้นที่สูงได้กี่คน” นางเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
“บ่าวพาคนเหาะขึ้นต้นไม้ได้เพียงคนเดียวเ้าค่ะ” โม่เยี่ยกล่าวเสียงเบา เข้าใจความหมายของนางในฉับพลัน
“คุณหนูขึ้นไปกับโม่เยี่ยเถิดเ้าค่ะ บ่าว... บ่าว...” โม่หลันกัดฟันมองไปโดยรอบ นางย่อมไม่อาจให้ใครเห็นได้ นางเป็สาวใช้ข้างกายคุณหนู ต่อให้ไม่เห็นผู้เป็นาย แต่เห็นบ่าวเช่นนาง เสียงเล่าลือเื่การพบปะส่วนตัวก็ย่อมไม่พ้นตกไปอยู่ที่คุณหนูอยู่ดี
“โม่เยี่ย พาโม่หลันขึ้นต้นไม้” โม่เสวี่ยถงกล่าวเสียงเย็น สายตาเลื่อนไปที่มุมกำแพง
“คุณหนู...”
“มือของเ้ามีาแ ไม่สามารถแช่น้ำได้” โม่เสวี่ยถงโบกมือห้ามอย่างไม่ลังเล หยุดคำพูดของนาง าแของโม่หลันไม่อาจถูกน้ำได้จริงๆ
เสียงจากทางเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“พี่เหอ พี่หลิง ข้าไม่ได้นัดหมายส่วนตัวกับสาวงามคนใดจริงๆ สาวใช้ผู้นั้นก็เป็คนในจวนข้าเอง ถุงหอมนั่นก็ไม่ใช่ของแทนใจอะไร เป็ของที่น้องสาวทำมาให้เท่านั้น เชิญพี่ชายทั้งสองลงเขาไปเถิด ที่พักบนูเาทั้งเล็กและคับแคบ คนเยอะขนาดนี้คงอยู่กันไม่ไหวหรอก” เมื่อเห็นแสงตะเกียงอยู่ด้านหน้า ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็หมุนตัวมา กางมือขวางไว้พลางกล่าวด้วยท่าทางลนลานกึ่งขอร้อง
คุณชายเหอกับคุณชายหลิงที่ตามมาแค่มองก็รู้ว่ามีละครสนุกให้ชม ไหนเลยจะยอมปล่อยไปง่ายๆ
พวกเขาชอบทำอะไรตามใจจนเคยตัว คนหนึ่งก็ดึงซือหม่าหลิงอวิ๋นไว้ อีกคนก็ผลักมือเขาออกแล้วหัวเราะหึๆ จากนั้นก็เดินไปยังจุดที่มีแสงสว่างจากโคมไฟ ไม่คิดมาก่อนว่าเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อผู้ประพฤติตัวถูกทำนองคลองธรรมเสมอมา จะนัดพบกับสตรียามค่ำคืนเช่นนี้ ยังมีเื่ชู้สาวเื่ไหนที่จะงดงามหวานซึ้งไปกว่านี้อีก
“พี่ซือหม่า ท่านอย่าโกหกไปเลย ดูสิ ร้อนตัวจนเหงื่อท่วมศีรษะหมดแล้ว ไม่เป็ไรหรอกน่า น้องชายก็แค่ดูเฉยๆ เท่านั้นเอง” คุณชายเหอปัดมือของซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ยื่นออกมาขวางไว้ออกไป แล้วหัวเราะอย่างนึกสนุก ขณะที่เดินเข้าไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ ก็มีคนวิ่งพุ่งเข้ามา ยังไม่ทันมองอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่าศีรษะของตนเองไปชนถูกอะไรเข้า เสียงวิ้งๆ ดังก้องอยู่ในหัว รู้สึกว่ามีเงาร่างแข็งแกร่งพลิ้ววูบผ่านไป
“มีคน...” คุณชายเหอกล่าวออกมาเพียงแค่นั้นก็ล้มตึงลงไปที่พื้น
ซือหม่าหลิงอวิ๋นกำลังนึกกระหยิ่มใจว่าแผนการสำเร็จ ก็ผลักไสคุณชายหลิงอย่างทีเล่นทีจริง ทันใดนั้นก็ััได้ถึงสิ่งผิดปรกติ รีบหันศีรษะกลับไป ขณะที่ยังไม่ทันเห็นอย่างชัดแจ้ง เบื้องหน้าสายตาก็ถูกกระสอบคลุมไว้ ยังไม่ทันขัดขืนร่างกายก็ถูกทุบด้วยท่อนไม้สองสามครั้ง เื่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขารับไม่ทัน อีกทั้งถูกคลุมหัวมัดมือมัดเท้า ไหนเลยจะสู้อีกฝ่ายได้ ถูกซัดไม่กี่ทีก็ล้มกลิ้งลงที่พื้น
คุณชายหลิงที่อยู่ด้านหลังใถอยหลังกรูด เดิมทีเขาก็เป็แค่คุณชายเสเพลไม่เอาไหนคนหนึ่ง บัดนี้หลบอยู่ด้านหลังบ่าวชายสามคนที่คุ้มกันเขาอยู่ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองบุรุษผู้หนึ่งท่าทางเหมือนเป็บ่าวรับใช้ มือถือท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง ตีไปไม่กี่ที ซือหม่าหลิงอวิ๋นที่อยู่ในกระสอบก็แน่นิ่งไม่ขยับ ไม่มีแม้แต่จะส่งเสียงขัดขืนสักแอะ
“ครั้งหน้าหากยังกล้ามาล่วงเกินคุณหนูใหญ่บ้านข้าอีก เ้าถึงที่ตายแน่” บ่าวชายหน้าตาดุร้ายลากซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ถูกทุบจนสลบไปแล้วออกมาจากกระสอบ คุกเข่าลงพลิกร่างเขาขึ้นมาแล้วค้นตัว ไม่ช้าก็คลำเจอถุงหอมสีแดงในอกเสื้อของซือหม่าหลิงอวิ๋น
บ่าวชายผู้นั้นฉีกทำลายถุงหอมนั้นเสีย ก่อนโยนกะน้ำหนักในมือเบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างพึงพอใจ แผดเสียงหัวเราะเยาะเยาะหยัน แล้วลากไม้ท่อนใหญ่วิ่งเข้ามาทางคุณชายหลิงที่ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มกลัวจนหัวหด ไหนเลยจะกล้าร้องสักแอะ ยามนี้เขาสูงมืดสนิท หากถูกตีจริงๆ แม้แต่สถานที่ร้องทุกข์ก็ยังไม่มี
บ่าวชายที่ก่อเหตุนำถุงหอมใส่เข้าไปในอกเสื้อ แล้วโยนท่อนไม้ทิ้งหยิบโคมไฟขึ้นมาจากพื้น ก้าวเท้าฉับๆ เข้ามา คุณชายหลิงนึกว่าเขายังคิดจะทำร้ายคนต่อก็กลัวจนตัวสั่น ขณะที่กำลังจะคิดจะกล่าวบางอย่างออกไป คนผู้นั้นกลับเดินผ่านไปไม่เหลียวมองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว
รอจนกระทั่งแสงตะเกียงผ่านไปไกลแล้ว คุณชายหลิงค่อยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ผลักบ่าวรับใช้ที่ขวางอยู่ด้านหน้าออกไป ขณะที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปดูซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ถูกซ้อมจนสลบไปกับพี่ชายเหอผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ด้านหน้า
“คุณชาย มาดูนี่สิขอรับ นี่เป็ของที่คนผู้นั้นทำตกไว้” บ่าวรับใช้ของซือหม่าหลิงอวิ๋นและคุณชายเหอเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้ว ก็รีบเข้าไปช่วยเหลือเ้านายของตน บ่าวของคุณชายหลิงที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างกายเขาดวงตาพลันสว่างวาบ ร้องบอกพลางชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งตกอยู่ที่พื้น
“ไหนล่ะ เก็บมาดูซิ” หัวใจของคุณชายหลิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเกือบจะถูกคนทำร้ายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วย จะไม่คิดสืบหาต้นตอของเื่ให้กระจ่างได้อย่างไร
“เป็ของที่หลุดออกมาจากถุงหอมที่อยู่ในอกเสื้อของซื่อจื่อขอรับ เมื่อครู่ตอนที่คนผู้นั้นโยนของในมือ บ่าวเห็นชัดเจนเลยขอรับ” บ่าวชายวิ่งเข้ามาแล้วส่งให้คุณชายหลิงอย่างพินอบพิเทา
ทันทีที่เปิดอ่าน สีหน้าของคุณชายหลิงก็ทะมึนราวกับถูกคลุมด้วยหมอกทึบ ขยำกระดาษในอุ้งมือด้วยอารมณ์เดือดดาล มองซือหม่าหลิงอวิ๋นที่ถูกทำร้ายจนาเ็สาหัสนอนหมอบอยู่กับพื้นเรียกเท่าไรก็ไม่ฟื้นด้วยแววตาขุ่นเคือง
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น” คุณชายเหอซึ่งโดนลูกหลงเพียงเบาะๆ อยู่อีกด้านลูบหัวสะบัดศีรษะไปมาแล้วลุกขึ้นยืน “ถูกสาวงามตีเอาหรือนี่” คุณชายท่านนี้ถูกตีจนมึนไปแล้ว แต่ยังจำเื่ก่อนหน้าได้อยู่
“สาวงามบ้าบอที่ไหน หญิงสามานย์ชั้นต่ำชัดๆ ท่านดูเอาเองเถิด” คุณชายหลิงส่งกระดาษที่ขยำจนเป็ก้อนกลมในมือให้อีกฝ่ายด้วยความโมโห
เมื่อคลี่กระดาษออกดูเห็นอักษรที่อยู่ด้านใน คุณชายหลิงก็โกรธจัด ฉีกกระดาษแผ่นนั้นจนกลายเป็ผุยผง แผดเสียงด่าทอดังลั่น “เ้าคนชั่วช้า เ้าคนถ่อย กล้าใช้บิดาเป็เหยื่อล่อเลยหรือ บิดาเข้าป่าไปตีห่านทุกวัน วันนี้จะต้องสั่งสอนห่านที่กล้ามาจิกตาเสียหน่อย”
“พวกเราไป จะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“บิดาจะลงเขาไปป่าวประกาศเื่เหม็นโฉ่น่ารังเกียจของพวกเขาให้ผู้คนรู้กันทั่ว ไป!”
ทั้งสองเดินตามกันไป ต่างฝ่ายต่างพาคนของตนเองถือโคมกระดาษออกไปด้วยอารมณ์เดือดดาล ไม่แยแสซือหม่าหลิงอวิ๋นที่นอนสลบเหมือดจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ที่พื้นแม้แต่น้อย มองไปโดยรอบมีแต่ความมืดมิด บ่าวผู้นั้นเป็พวกขี้ขลาดตาขาว พอลากซือหม่าหลิงอวิ๋นขึ้นหลังได้ก็เดินโซซัดโซเซไปกลับไปตามทางเดิม
เมื่อเสียงเท้าเดินเลือนหายไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็มืดสนิทและเงียบสงัดลงชั่วขณะ
ผ่านไปครู่ใหญ่ บนต้นไม้สูงก็มีเงาคนสองคนะโลงมา หนึ่งในนั้นวิ่งโซซัดโซเซไปที่โอ่งเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างวัด ร้องเรียกเบาๆ อย่างร้อนใจ “คุณหนู คุณหนูเ้าคะ ยังสบายดีอยู่หรือไม่”
โม่เยี่ยรีบดึงตัวโม่เสวี่ยถงที่ถูกแช่จนตัวแข็งไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ ทั่วร่างของนางเปียกชุ่ม ใบหน้าและริมฝีปากขาวซีดไร้สีเื อาภรณ์ห่มร่างเพียงบางเบาเมื่อต้องลมก็หนาวสั่นจนเกือบหมดสติ
ถึงจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่ดวงตาประกายหยาดน้ำคู่นั้นก็ยังคงเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม แม้แต่โม่เยี่ยซึ่งถูกมอบให้โม่เสวี่ยถงไปแล้ว ก็ยังรู้สึกเลื่อมใสดรุณีน้อยผู้เป็นายใหม่ของตนอย่างแท้จริง ใครจะคิดว่าสาวน้อยบอบบางผู้เลอโฉมจะอำมหิตต่อตนเองได้ถึงเพียงนี้ ค่ำคืนปลายสารทฤดูบนหุบเขา หนาวเหน็บไม่ต่างกับเหมันต์ฤดู ทั้งยังแช่อยู่ในถังน้ำลึกเพียงนี้ แม้แต่ผู้มีวรยุทธ์ติดกายเช่นนางก็ยังไม่แน่ว่าจะทานทนได้
นางถอดชุดคลุมตัวนอกของตนเองแล้วห่อหุ้มร่างน้อยของโม่เสวี่ยถง โม่หลันซึ่งร้องไห้จนกลายเป็มนุษย์น้ำตาไปแล้ว รีบหยิบผ้าแพรขึ้นมาเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าของโม่เสวี่ยถง “คุณหนู... บ่าวบอกว่าบ่าวขอเป็คนลงไปอยู่ในถังน้ำเอง คุณหนูก็ไม่ยอม สุขภาพของคุณหนูเดิมทีก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จะทนรับไหวได้อย่างไร”
โม่เสวี่ยถงปรับตัวอยู่นานจึงหาเสียงของตนเองพบ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่เป็ไร มือของเ้า... ไม่อาจแช่อยู่ในน้ำได้”
กล่าวจบก็ฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายพลันอ่อนยวบล้มพับในอ้อมอกของโม่เยี่ย ร่างที่สั่นเทาเมื่อครู่แน่นิ่งไปไม่รู้สึกตัวใดๆ อีก
“เ้าค่อยๆ เดินตามหลังมา ข้าจะกลับไปก่อน” โม่เยี่ยเห็นอาการของนางไม่ดีแล้ว ก็พูดกับโม่หลันประโยคหนึ่ง ก่อนอุ้มโม่เสวี่ยถงเหาะทะยานไปอย่างรวดเร็ว