คนบนที่นั่งหลักพูดคุยกันอย่าง 'เป็มิตร' แต่สุดท้ายกลับพูดคุยกันลึกซึ้งจนถึงกับทำให้ตัวเองต้องเ็ปอย่างล้ำลึก พวกอ๋าวหรานเองก็แอบสังเกตอยู่นานแล้ว คิดอยากจะสืบข้อมูลบ้างอะไรบ้าง แต่น่าเสียดายที่ได้ยินแค่ตอนท้ายก็ไม่มีแล้ว ยังไม่ทันให้อ๋าวหรานได้รู้อะไรมากนัก
แต่ว่าเื่พวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่อ๋าวหรานสนใจที่สุด ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลก็คือ...จิ่งฝานจะจับฉลากได้ทางเต๋อรั่วหรือไม่?
อีกอย่างต่อให้จับไม่ได้ หากคิดตามความสามารถของทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้ว จิ่งฝานและทางเต๋อรั่วต้องเป็คนที่เหลือรอดไปจนถึงรอบสุดท้ายอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าคนทั้งสองจะปิดบังความสามารถที่แท้จริงเอาไว้
หากตอนสุดท้ายทั้งคู่ได้สู้กันขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?
อ๋าวหรานอดกังวลใจไม่ได้ ทางเต๋อรั่วนี่ชัดเจนเลยว่าไม่้าแอบซ่อน ไม่ว่าเื่อะไรก็ตอบไม่ชัดเจน หย่อนเมล็ดพันธุ์ให้คนสงสัย ทำให้ทุกคนครุ่นคิดและหวาดกลัวว่าเขาคิดจะทำอะไร? บอสตัวน้อยที่ในนิยายต้นฉบับไม่แม้แต่จะปรากฏตัวออกมา ตอนนี้กลับปรากฏตัวอย่างโดดเด่นยิ่งนัก การปรากฏตัวของเขาผู้นี้แท้จริงแล้วจะช่วยให้เนื้อเื่ดำเนินไปเร็วขึ้นหรือว่าช้าลงกันแน่? สุดท้ายแล้วจะช่วยตระกูลจิ่งได้จริงๆ หรือจะนำหายนะที่เลวร้ายยิ่งกว่ามาให้ตระกูลจิ่ง?
อีกอย่าง ความสามารถที่แท้จริงของจิ่งฝานในตอนนี้จะสามารถต้านทานทางเต๋อรั่วได้หรือไม่?
หากว่าได้...ต้องกลายเป็การต่อสู้นองเืแน่ หากว่าไม่ได้...จะดีกว่าหรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตระกูลทางรู้สึกหวาดกลัวจนอยากมาโจมตี
อ๋าวหรานขบคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินไปยังด้านข้างจิ่งฝาน ดึงคอเสื้อเขาเบาๆ ให้เขามาอยู่ตรงหน้าตนจนแทบจะแนบชิดไปกับใบหูเขา ในน้ำเสียงมีความจริงจังและความระมัดระวังซึ่งน้อยครั้งนักจะมีในยามปกติ “หากเ้าได้ประลองกับทางเต๋อรั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามชนะและห้ามเสมอด้วย”
จิ่งฝานชะงักไปั้แ่ตอนที่เขาแนบเข้ามาใกล้ ได้ยินประโยคนี้ของเขา ปลายนิ้วก็ยิ่งสั่นไหว “เพราะเหตุใด?”
อ๋าวหรานจ้องตาเขา ดวงตาที่เมื่อก่อนมีแต่ความอบอุ่นก็มืดมนลงไปมาก ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความเย็นะเืที่ไม่อนุญาตให้ลังเลสงสัย “เพราะว่าตอนนี้ยังสู้พวกเขาไม่ได้”
จิ่งฝานราวกับมองไม่เห็น หัวเราะออกมาเบาๆ “คำพูดนี้เ้าพูดมาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ข้าก็ฟังมาหลายรอบแล้ว”
อ๋าวหรานมองเขา “เช่นนั้นเ้าได้ฟังเข้าหัวบ้างหรือไม่?”
แล้วมุมปากของจิ่งฝานก็คลายลง ไม่พูดอะไรอีก แววตาของเขานั้นทำให้อ๋าวหรานมองไม่ออก
จิ่งเซียงเห็นว่าจู่ๆ อ๋าวหรานก็มานั่งข้างพี่ชายตนเอง แถมคนทั้งสองยังอยู่ใกล้กันขนาดนี้จึงอดแปลกใจไม่ได้ “พวกเ้าทั้งสองกระซิบอะไรกัน”
แต่ทั้งคู่กลับไม่พูดอะไรออกมาราวกับว่าตัดขาดจากโดยคนรอบ เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
ความเงียบงันเช่นนี้ทำให้จิ่งเซียงกับจิ่งจื่อรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างประหลาด
จิ่งฝานหัวเราะขึ้นมากะทันหันท่ามกลางความรู้สึกกังวลเ่าั้ มุมปากที่คลายลงกลับยกขึ้นอีกครั้ง ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะสู้ทางเต๋อรั่วได้ ไม่แน่ว่าถึงข้าไม่พยายามก็อาจจะต้องแพ้ให้เขาอยู่ดี?”
อ๋าวหรานเก็บความจริงจังไว้แล้วยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “เป็แค่ความคาดหวังของข้าเท่านั้น ที่กำชับเ้าก็แค่หวังว่าเ้าจะไม่ไปดึงดูดความสนใจเขาเข้า”
จิ่งฝานพยักหน้าราวกับว่าตนเองเข้าใจแล้ว
แล้วจิ่งเซียงก็เข้ามาร่วมวงด้วย นำหัวมาเบียดเสียดอยู่ระหว่างคนทั้งคู่ ท่าทางราวกับโจร ถามอย่างระมัดระวังว่า “ทางเต๋อรั่วผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นจริงหรือ?”
“แข็งแกร่งยิ่งนัก เขาแข็งแกร่งแค่คนเดียวยังไม่เท่าไร ที่น่ากลัวก็คือ ตระกูลทางมีคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่อีกมาก หรือมีแม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ เ้าพอเข้าใจหรือไม่?” ถึงแม้คำพูดจะเป็การตอบคำถามจิ่งเซียง แต่สายตากลับหยุดนิ่งที่จิ่งฝานอยู่เป็นาน
“ตอนนี้ทุกอย่างยังสามารถควบคุมได้ ในตอนนี้ข้ายังสามารถหลอกพวกนั้น...พยายามแลกความสงบของตระกูลจิ่งมาด้วยราคาที่น้อยที่สุด...”
จู่ๆ น้ำเสียงของจิ่งฝานก็เ็าขึ้นมาก “เ้าจะรับประกันได้อย่างไร?”
อ๋าวหรานมองเขาตรงๆ “อย่างไรก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
ในเวลาแค่ครู่เดียว สีหน้าของจิ่งฝานเปลี่ยนไปมาไม่รู้กี่รอบ ทันใดนั้นก็อ่อนโยนขึ้นมาอีก “คำพูดเช่นนี้เ้าก็พูดไปหลายรอบแล้ว”
อ๋าวหรานยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าพูดมากเกินไปแล้วจริงๆ แต่ข้าไม่อยากให้มีการาเ็ล้มตายใดๆ เกิดขึ้น”
จิ่งฝานหัวเราะออกมาทีหนึ่งราวกับรอคอยอย่างไม่กระตือรือร้น แต่ที่แอบแฝงอยู่ในแววตาส่วนลึกนั้นกลับเป็ความเยาะหยันที่พุ่งขึ้นมาและความคาดหวังอันจอมปลอม “ย่อมได้ เช่นนั้นก็...พยายามเข้าล่ะ”
หวางฮวายเหล่ยในฐานะที่เป็หนึ่งในคนบนที่นั่งหลัก พูดตามจริงแล้วกลับไม่เป็ที่สะดุดตาสักเท่าไร ตระกูลหวางแข็งแกร่งมากก็จริง บิดาของเขา 'หวางชวน' ก็ยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจาย แต่ตัวเขากลับค่อนข้างธรรมดาอยู่มาก ถึงเขาจะไม่เหมือนหลัวฉี่กับสวีหรงฉี่ที่เป็อัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่คนทั่วไปยอมรับ และไม่มีข้อดีเหมือนหลี่หนิงหว่านที่เป็สตรีที่ทั้งชาติตระกูลดีและหน้าตางดงาม และยิ่งไม่อาจสู้เซี่ยเหวินเอ่อที่มีพลังอันแข็งแกร่งได้ก็ช่างเถิด แต่เขาเป็อัจฉริยะทางด้านการค้าที่เหนือกว่าทุกคน
เขากับเฉินเปิ่นฉีจริงๆ แล้วเหมือนกันมาก เพราะล้วนเป็ผู้อ่อนแอในดงอัจฉริยะ ตลอดทั้งงานเลี้ยงนี้ โอกาสที่เขาจะพูดแทรกขึ้นมาได้นั้นมีน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็คนนอกไปโดยปริยาย หวางฮวายเหล่ยเห็นอะไรมามากมายและก็คาดเดาไปต่างๆ นานา เมื่อรวมกับเบาะแสที่หวางชวนให้ไว้ก็กลายเป็ว่าในบรรดาคนพวกนี้ เขาเป็คนที่รู้เื่มากที่สุด ถึงแม้จะบอกว่าภารกิจในการมาภาคตะวันออกครั้งนี้ถูกเขาลืมทิ้งไว้หลังสมองไปนานแล้วก็ตาม
ในสายตาของหวางฮวายเหล่ย อ๋าวหรานนั้นทั้งไม่โดดเด่นและยิ่งไม่พิเศษ หยกพื้นๆ ที่พอจะมีราคาบ้างในสายตาของเขา สำหรับอ๋าวหรานแล้วก็ราวกับเป็สมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน เ้าเด็กจนๆ ที่ไม่เคยเห็นโลกเช่นนี้จะไปแอบซ่อนอะไรเอาไว้ได้ ดังนั้นตัวเองหลังจากที่ได้เข้ามาในตระกูลจิ่ง ได้พบเห็นสาวงามมากมาย เขาจึงลุ่มหลงอยู่กับวายุบุปผาหิมะจันทราเหล่านี้1 ยิ่งกว่านั้นยังแอบอ้างอาศัยความเป็คนป่วย...แอบส่งสายตาไปมาให้กับพวกสาวใช้ที่งดงามราวกับบุปผาในตระกูลจิ่งแถมยังเกาะติดไม่ยอมแยกจาก
แต่ต่อให้หวางฮวายเหล่ยจะเป็คนไม่สนใจร่ำเรียนวิชาสักแค่ไหน อย่างไรเสียก็เติบโตมาในตระกูลใหญ่ มีประสบการณ์เห็นโลกมามาก ต่อให้เขาจะโง่งมสักเพียงไร แต่ภายใต้ความไม่รับรู้อะไรนั้น เขาย่อมไม่ได้โง่งมโดยแท้จริง อีกอย่างในฐานะที่เป็ลูกชายของหวางชวนผู้ได้ฉายาว่าจอมเ้าเล่ห์ร้อยแผนการนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางเป็คนโง่งมไร้สมองไปได้ นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ
กลับมายังปัจจุบัน ั้แ่ทางเต๋อรั่วปรากฏกายขึ้นจนถึงตอนนี้ ในสมองของหวางฮวายเหล่ยก็ขบคิดวนไปเวียนมาเป็ร้อยเป็พันรอบแล้ว ความมีลับลมคมในระหว่างทางเต๋อรั่วกับสวีหรงฉี่นี้เขาย่อมมองออก ความคาดเดาเกี่ยวกับพลังที่แท้จริงของตระกูลทางของพวกหลัวฉี่ เขาเองก็คิดได้เช่นกัน แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ ก็คือ ความเสียอาการของทางเต๋อรั่วตอนที่ได้ยินชื่อตระกูลอ๋าว นั่นเรียกได้ว่าเสียอาการแล้วจริงๆ แม้เมื่อเทียบกับผู้อื่น สีหน้าเช่นนี้ยังไม่ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่สำหรับทางเต๋อรั่วที่แรกเริ่มเดิมทีอารมณ์ความรู้สึกก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย จึงนับได้ว่าเป็อารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว
ถ้าเช่นนั้น...คำพูดของสายลับที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลทางก็ไม่ได้เป็เพียงคำพูดลอยๆ แล้ว ตระกูลทางกำลังหาตัวอ๋าวหรานอยู่จริงๆ อยากจะได้ของอะไรบางอย่างที่อยู่ในมืออ๋าวหราน หากอำนาจที่แท้จริงของตระกูลทางเป็ดังที่พวกเขาคาดเดา...คือเหนือกว่าตระกูลสวีไปไกล ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็เื่ใหญ่แล้วจริงๆ ตระกูลเช่นนี้แอบซ่อนตัวอยู่หลายปี กลับออกมาเพียงเพื่อจะหาของสิ่งหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเ้าของสิ่งนี้...ต่อให้จะไม่สามารถรวบรวมแผ่นดินใหญ่ได้ แต่ก็คงไม่ธรรมดาสักเท่าไร
ตระกูลทาง...สมบัติลับ ตบเท้าตามมาติดๆ กันทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ
สีหน้าของหวางฮวายเหล่ยเปลี่ยนไปเป็หมื่นแบบในชั่วขณะเดียว ตอนนี้ที่เขาสนใจไม่ใช่เ้าเด็กที่กระเสือกกระสนมีชีวิตรอดมาได้จากตระกูลอ๋าว ต่อให้ในมือเขามีของสิ่งนั้นแล้ว อย่างไรก็ต้องเป็แกะน้อยที่รอวันเชือดอยู่ดี อยากแย่งก็แย่งมาแค่นั้น
สายตาของเขาอดมองไปยังทางเต๋อรั่วอีกครั้งไม่ได้ นี่ต่างหากที่ควรสนใจ ตระกูลทางตกลงแล้วเป็อย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่เคยสนใจมาก่อน ความคาดเดาของพวกเขาจะเป็เพียงการคิดมากไปหรือไม่
ไม่ว่าจะอย่างไร คงยากที่จะลงมือกับทางเต๋อรั่วและหลางฉา แต่เ้าเด็กตระกูลอ๋าวที่ไม่เคยเห็นโลกนั้นสามารถลองไปหยั่งเชิงดูได้ หวางฮวายเหล่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่หลายวันมานี้ไม่เข้าหาเขาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หวังว่าเขาจะยังจำไมตรีที่มอบหยกให้ได้อยู่
หวางฮวายเหล่ยสาดสายตาไปยังทุกคน คารวะอย่างเข้าท่าเข้าทางไปทีหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่านคุยกันไปก่อนเถิด ข้าขอไปทักทายน้องจิ่งฝานของข้าสักเล็กน้อย”
ทุกคนแค่ได้ยินคำว่า 'จิ่งฝาน' ก็อดกระตือรือร้นขึ้นมาไม่ได้ จิ่งเหวินซานออกไปแล้ว จิ่งเคอที่ยังคงรั้งอยู่ที่นี่เพื่อสร้างชื่อเสียงอันดีในการคอยรับรองทุกคน ตอนนี้มาได้ยินว่าหวางฮวายเหล่ยอยากไปทักทายจิ่งฝานก็อดกำหมัดไม่ได้ ตระกูลหวางเป็ตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ที่เขาอยากซื้อใจมาเป็พวก เขาไม่อยากยอมแพ้ หลายวันมานี้หวางฮวายเหล่ยติดกับสาวงามที่เขาวางไว้จึงรั้งอยู่แต่ในเรือนตะวันออกอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ไปหาจิ่งฝาน ตอนนี้เหตุใดถึงได้มีความคิดนี้ขึ้นมาอีก เห็นทุกคนล้วนมีสีหน้าฉงนสนใจ จิ่งเคอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด วันนี้เส้นประสาทเขาเครียดขมึงมาทั้งวัน แล้วยังพยายามปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง เสแสร้งเป็คนร่าเริงช่างพูดมาทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยไปทั้งกายและใจ ตอนนี้หวางฮวายเหล่ยนี่ยังจะสร้างเื่อะไรขึ้นมาอีก?
หลัวฉี่ “อ้อ...” ออกมาเสียงหนึ่ง เสียงค่อนข้างยาว ในน้ำเสียงมีแววสงสัยปนอยู่ “คุณชายจิ่งฝานก็อยู่หรือ? นั่งอยู่ที่ใด?”
พูดแล้วก็มองไปทั้งสี่ด้านราวกับกำลังหาจิ่งฝาน
จะอย่างไรก็ถือว่าได้ชื่อว่าเป็อัจฉริยะเหมือนกับพวกเขา ต่อให้จะตกต่ำอย่างไร อย่างน้อยก็ยังมีชื่อของอัจฉริยะอยู่ ต่อให้จะไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ความสงสัยในใจนั้นก็ยังไม่เลือนหาย
แต่ละคนอดพากันมองไปทางหวางฮวายเหล่ยไม่ได้ หวางฮวายเหล่ยที่ได้รับความสนใจกะทันหันก็อึ้งไปเล็กน้อย ทำได้เพียงแย้มยิ้มหัวเราะออกมาสองที ชี้นิ้วไปทางจิ่งฝานแล้วตอบว่า “อยู่...ตรงนั้น”
สายตาของทุกคนมองไปทางนิ้วที่เขาชี้ ที่นั่งตรงนั้นมีคนนั่งอยู่สี่คน แต่จิ่งจื่อกับอ๋าวหรานเมื่อครู่ทุกคนก็ได้เห็นไปแล้ว ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็สตรี เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีทางใช่แล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจตอนนี้คือ ต่อให้ไม่รู้จักสองสามคนนี้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนไหนคือจิ่งฝาน คนผู้นี้ต่อให้นั่งอย่างสงบเงียบตรงนั้น แต่ก็ราวกับดวงดาวส่องสว่างที่ดึงดูดสายตา ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจบดบังได้
ผู้ที่เล่าลือกันว่าสามารถใช้วิชาแพทย์ของเขาช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตในใต้หล้าได้ ร่างกายตั้งตรง ใบหน้างดงามเหนือผู้ใด ราวกับเป็เซียนที่ลงมาจากสรวง์ก็ไม่ปาน
ทุกคนนับั้แ่มาที่ตระกูลจิ่งนี้ก็ได้เปิดหูเปิดตาถึงใบหน้าอันงดงามไม่ธรรมดาของคนตระกูลจิ่งแล้ว แรกเริ่มตกตะลึง ภายหลังก็รู้สึกเฉยๆ เดิมทีคิดว่าคงจะคุ้นเคยกันแล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกทำให้ตกตะลึงเพราะความงดงามอีกครั้ง เมื่อก่อนคิดว่าข่าวลือที่คนทั่วไปพูดถึงจิ่งฝานนั้นมากน้อยคงจะถูกคนเ่าั้แต่งเติมเสริมเข้ามาให้ดูดีขึ้นเพราะความเคารพนับถือ กลับไม่คิดว่าตัวจริงจะทำให้ตกตะลึงถึงเพียงนี้ คิดว่าคงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะเป็เช่นนี้ได้
ลักษณะของเขานั้นราวกับว่าบรรยากาศจะแข็งค้างหยุดนิ่งอยู่รอบตัวเขา มองจากที่ไกลๆ ราวกับว่าใบหน้านั้นประดับรอยยิ้มอยู่ แต่แววตาราวกับบ่อน้ำลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ลึกจนไม่อาจคำนวณได้ ต่อให้เขาไม่ใช่นายน้อยตระกูลจิ่ง...หรือต่อให้เป็เพียงคนทั่วไปก็ไม่มีทางเป็แค่คนทั่วไปธรรมดาๆ แน่นอน
บุคคลเช่นนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งนายน้อย กลับไม่อาจสู้จิ่งเหวินซานที่ดูธรรมดา ไม่น่าสนใจได้ หรือจะเป็เพียงแค่หมอธรรมดาๆ ที่รักษาโรคได้เพียงอย่างเดียว? ถ้าเช่นนั้นก็เสียดายลักษณะบรรยากาศรอบตัวและใบหน้าที่ดึงดูดสายตานั้นแล้วจริงๆ
พวกอ๋าวหรานถูกสายตาร้อนแรงหลายคู่ที่มองมาอย่างกะทันหันทำให้ตื่นตะลึง บรรยากาศแปลกประหลาดเข้าใจยากระหว่างพวกเขาถูกทำให้มลายหายไปในทันใด จึงอดเงยหน้ามองไปทางสายตาที่ส่งมาให้ไม่ได้ สายตาของทั้งสองฝั่งประสานกันพอดี บรรยากาศราวกับแข็งค้างไป คนทั้งโต๊ะหลักราวกับว่าค่อยๆ ถูกสายตาที่รุนแรงเหล่านี้รบกวนเข้าจึงค่อยเงียบสงบลง
เชิงอรรถ
วายุบุปผาหิมะจันทรา1 (风花雪月)หมายถึงความรักใคร่ลุ่มหลงระหว่างชายหญิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้