หลังได้ยินใต้เท้าหลิวออกคำสั่ง เฝ่ยชุ่ยจึงรีบหันหลังพากุนซือไปเชิญเหล่ามือปราบเข้ามา ก่อนจะลอบผ่อนลมหายใจ คุณหนูช่างฉลาดหลักแหลมนัก เมืองเซียงเฉิงมีขุนนางใหญ่มากมาย กลับรู้ว่าใต้เท้าหลิวจะสามารถระงับเหตุการณ์ได้
ส่วนเยี่ยนเจาเจา นางทนรับสภาพปัจจุบันของหอเซียวเซียงไม่ไหว พี่ชายรองของนางเป็คนสะอาดและสง่างาม เมื่อที่พักของเขากลายเป็แบบนี้ก็เกรงว่าจะอยู่ไม่ได้
นางจึงสั่งให้เสี่ยวชุ่ยกลับไปเก็บห้องหับครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ในเรือนหิมะมรกตของตนเอง เมื่อพี่ชายรองของนางกลับมาจากวัดม้าขาวจะได้พักอยู่เรือนหิมะมรกตก่อนสักระยะ หลังจากจัดการหอเซียวเซียงเรียบร้อยแล้วก็ค่อยย้ายกลับไป
ใต้เท้าหลิวยังคงทำท่าทางถมึงทึงอยู่อีกฝั่ง แต่ใจลอบคิดว่าธิดาเพียงคนเดียวขององค์หญิงฉงหยางที่วันวานไร้ชื่อเสียง ทว่าในวันนี้เขากลับเห็นเด็กน้อยคนนั้นยืนหลังเหยียดตรงมาแต่ไกล แม้เื้ัยุ่งเหยิงไร้ระเบียบเพียงใด นางก็ยังสงบเยือกเย็นเหมือนมารดาของนางสมัยก่อนมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว คุณหนูใหญ่ชื่อเสียงดีงามคนนั้นดูหมองไปเลย ดูท่าคำนินทาในเมืองเซียงเฉิงคงไม่จำเป็ต้องเชื่อไปเสียทุกเื่
เขาเองก็ไม่ได้โง่ เขามองออกทันทีว่าเหตุการณ์วันนี้เป็เพียงเื่หลังบ้าน เดิมทีไม่เหมาะจะฟ้องทางการ แต่นางกลับจัดการทุกอย่างเสียหมดจด
“ใต้เท้าหลิว วันนี้ขอบคุณมากเ้าค่ะ สตรีอ่อนแออย่างข้าอยู่ในสวนมวลบุปผาหอมใหญ่โตคนเดียวเกินกำลังจะรับมือจริงๆ หากใต้เท้าหลิวไม่มาก็ไม่รู้เลยว่าคนกลุ่มนั้นจะก่อเื่จนเป็เช่นไร”
เยี่ยนเจาเจากล่าวขอบคุณจากใจจริงอีกครั้ง นางวางตัวเช่นนี้เสมอ เพราะนางไม่อยากเป็คนจอมปลอมแม้จะโดนดึงตัวกลับมาพร้อมความแค้นก็ตาม
นางกล่าวขอบคุณ แต่ใต้เท้ากลับประหลาดใจแทน
เขาเคยเห็นท่าทีหยิ่งผยองของลูกหลานตระกูลขุนนางมาจนชิน เยี่ยนเจาเจาเป็คนแรกที่เอ่ยขอบคุณ
นางมีรูปร่างผอมเพรียวอยู่แล้ว เมื่อยืนเงยหน้ามองเขาอย่างซาบซึ้งอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีก
ใต้เท้าหลิวรู้สึกจุกในลำคอ ใจพลันอ่อนยวบอย่างไม่มีสาเหตุ
นางก็เป็แค่เด็กน้อย ยังโตไม่เท่าบุตรสาวคนเล็กของเขาเลยด้วยซ้ำ
น้ำเสียงเขาอ่อนลง “มันเป็ความรับผิดชอบของข้า... เพียงแต่เสียดายตัวอักษรงดงามพวกนี้ ไม่ทราบว่าเป็ของญาติผู้พี่คนใดของเ้าหรือ!”
ใต้เท้าหลิวยังเ็ปกับแบบฝึกคัดลายมือที่โดนเหยียบเละไม่หาย จนต้องถามออกมา
“เป็หนานิเหอ พี่ชายรองของข้าเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาเม้มปากยิ้ม ข้างแก้มผุดลักยิ้มเล็กๆ ข้างหนึ่ง ดูน่ารักน่าเอ็นดู
ญาติผู้พี่แซ่หนานจากสกุลเยี่ยน ทั้งยังอาศัยอยู่สวนมวลบุปผาหอม ถ้าอย่างนั้นคงเหลือเพียงผู้เดียวแล้ว
เขาเป็คนไร้ชื่อเสียง มีคนในเมืองเซียงเฉิงที่เคยพบเขาเพียงไม่กี่คน คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าเขาเป็เด็กพูดไม่ได้ที่สกุลหนานทอดทิ้ง คาดไม่ถึงว่าจะเขียนลายมือได้สวยถึงเพียงนี้
“น่าเสียดาย” ใต้เท้าหลิวถอนหายใจแ่เบา แต่ก็ไม่พูดเล่นอีก “่นี้มีนักต้มตุ๋นจำนวนมากมาแอบอ้างเป็สาวกลัทธิเต๋าเพื่อหลอกเอาเงิน ต้องขอบคุณคุณหนูเยี่ยนห้าที่ทำให้จับกุมได้หลายคน แต่ข้ามีงานราชการรัดตัว ไม่อาจรั้งอยู่นาน คงต้องกลับจวนเ้ากรมเมืองแล้ว”
“ตอนนี้จวนข้าก็เละเทะ ไม่สะดวกรับรองใต้เท้าเช่นกัน หากวันหลังเก็บกวาดเรียบเรียบร้อย ข้าขอเรียนเชิญอีกครั้งนะเ้าคะ เสี่ยวชุ่ย ส่งใต้เท้าหลิวแทนข้าที”
เยี่ยนเจาเจายอบกายส่ง ั์ตาทอดมองไปไกล
เมื่อเสี่ยวชุ่ยผละไป อาเหวินกับอาอู่ก็ไม่ควรอยู่ลำพังในจวนกับเยี่ยนเจาเจา จึงเรียกคนมาพยุงบ่าวหญิงชราที่ถูกตีจนสลบ และพาตัวบ่าวซึ่งโดนมัดเหลือเพียงไม่กี่คนออกไป งานแบบนี้สามารถไว้ใจพวกเขาได้
จวนที่เพิ่งวุ่นวายกลับเงียบลงในชั่วพริบตา บ่าวรับใช้หญิงสองสามคนได้แต่มองเยี่ยนเจาเจาจากไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้
เยี่ยนเจาเจามองจานฝนหมึกที่โดนตีแตกเป็เสี่ยงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะย่อตัวลงแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเก็บขึ้นมาทีละชิ้น
เมื่อเก็บจานฝนหมึกแตกละเอียดเรียบร้อย จึงเหลือบไปเห็นกระดาษเนื้อนิ่มที่ถูกเหยียบจนเละอยู่อีกฝั่ง ตัวอักษรบนนั้นงดงามเหมือนหนานิเหอในความทรงจำของนางไม่มีผิดเพี้ยน
สุภาพถ่อมตน ยกย่องคุณธรรม เที่ยงตรงโปร่งใส
จู่ๆ นางก็อยากเก็บแบบคัดลายมือสกปรกนี้ไว้ น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
ชาติก่อนตอนท่านพ่อป่วยตาย ท่านป้าก็กำลังออกตรวจตราทางใต้จึงตัดสินใจแทนนางไม่ได้ ครั้งนั้นจวนเยี่ยนอ้างเหตุผลว่านางเป็เด็กผู้หญิง มิให้นางร่วมงานศพของท่านพ่อ กระทั่งยกโลงส่งศพยังไม่ให้ไป
นางหัวเดียวกระเทียมลีบ เหลียงอินก็โดนลดขั้นเป็สามัญชนยังเอาตัวเองไม่รอด ไฉนจะมาช่วยนางหาทางออกได้
กลับเป็หนานิเหอที่ช่วยนางเขียนสารส่งให้ท่านป้า ท่านป้าเห็นสารจึงทราบว่าเยี่ยนเจาเจาโดนกลั่นแกล้ง คืนนั้นเลยให้คนส่งพระราชโองการกลับมาว่าจวนเยี่ยนห้ามขัดขวางเยี่ยนเจาเจา นางจึงได้ถือป้ายิญญาส่งศพบิดาของตนเอง
ทุกคนต่างดูถูกหนานิเหอเพราะเขาเป็บุตรชายของอนุที่ถูกหย่าออกจากจวน อีกทั้งยังรังเกียจเพราะเขาเป็ใบ้ กระทั่งชาติก่อนเยี่ยนเจาเจายังค่อนข้างกลัวที่เขาเป็ใบ้เลย
แต่ในเวลาต่อมาเมื่อนางดื่มยาพิษแทนเหลียงอินจนพูดไม่ได้ นางจึงเข้าใจว่าการพูดไม่ได้มันเ็ปเพียงใด พอตอนนี้มาเห็นลายมือของหนานิเหอ หัวใจเลยเ็ปยิ่งกว่าเดิม
นางไม่มีพี่น้องมาทั้งชีวิต มีเพียงหนานิเหอที่คอยปกป้องตามใจและมอบความรักของพี่ชายทั้งหมดให้แก่นางมาตลอด
เยี่ยนเจาเจาคุกเข่าลง ก่อนจะหยิบแบบคัดลายมือขึ้นมาทีละแผ่นอย่างระมัดระวัง หยาดน้ำตายังกลิ้งกลอกอยู่ตรงขอบตา
มีกระดาษเนื้อนิ่มแผ่นหนึ่งที่เปียกจนเปื่อย ทั้งยังมีรอยเท้าใหญ่โตประทับอยู่ข้างบน เมื่อนางขยับมันเบาๆ ตัวอักษรที่ลงนามไว้ว่าิเหอจึงยุ่ยจนเป็รูโบ๋
เยี่ยนเจาเจาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ อึดใจต่อมาน้ำตาก็ร่วงลงจากหางตา แล้วไหลอาบแก้มมารวมกันเป็แอ่งเล็กๆ ตรงปลายคาง
ความเ็ปคับข้องใจที่เก็บกดไว้พลันะเิออกมา นางกุมแบบคัดลายมือของหนานิเหอพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กลางหอเซียวเซียง
นางชิงชังเหลือเกิน ชังเยี่ยนฟางหวา ชังเหลียงอิน ชังทุกคนในจวนเยี่ยนแห่งนี้ ชิงชังจนปวดหน้าอก จนคลื่นเหียน จนอยากกลายเป็ผีร้ายมาเอาชีวิตทุกคนที่นี่
“คุณชาย...”
ตอนที่หนานิเหอกลับมาถึง เขาก็เห็นญาติผู้น้องตัวน้อยกำลังร้องไห้ไม่หยุดอยู่กลางเรือนของเขาที่ถูกกระทำจนเละเทะ
อันที่จริงระหว่างทางที่กลับมา เขารู้เื่ไม่คาดคิดในสวนมวลบุปผาผอมแล้ว สีหน้าจึงเยือกเย็นมาตลอดทาง
เด็กรับใช้ข้างกายหนานิเหอเพิ่งจะชี้ไปที่เด็กหญิงกลางจวน ก็พบว่าคุณชายของตนเองเร่งฝีเท้าทะยานไปทางนางแล้ว
นางอายุยังน้อย ไหล่บอบบางภายใต้เสื้อคลุมสั่นระริก รอบกายรกระเกะระกะและสกปรกเป็อย่างมาก แต่นางก็ยังนั่งตัวปวกเปียก ร้องไห้แทบขาดใจอยู่ท่ามกลางพื้นเปรอะเปื้อน
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้พลันหยุดลง ร่างกายผอมบางหงายหลังสลบไปทั้งอย่างนั้น สาวใช้ที่รอปรนนิบัติรอบกายจึงชุลมุนทันที
หนานิเหอวิ่งมาถึงหน้าประตูหอเซียวเซียงพอดี เขาไม่สนใจอาภรณ์สีขาวทั้งร่างของตน กลับตรงเข้าไปประคองเจาเจาที่เนื้อตัวมอมแมมแล้ววางมือเหนือชีพจรอย่างคุ้นเคย พลันใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็เ็า
สายตาของเขาหยุดลงตรงแบบคัดลายมือที่นางยังกำไว้แน่นแม้สลบไป เมื่อจำได้ว่านั่นคือลายมือของตนเอง สีหน้าจึงยิ่งเยือกเย็นกว่าเดิม
หนานิเหอถอดชุดคลุมบนร่างออกมาคลุมนางจนมิดชิด ก่อนจะอุ้มนางไปยังเรือนหิมะมรกต
เด็กรับใช้คนนั้นหันหลังวิ่งออกไปข้างนอก แต่ก็ชนเข้ากับเสี่ยวชุ่ยพอดี
“หลานเล่อ เ้ามาทำอะไรที่นี่! คุณชายิเหอกลับมาแล้วหรือ!” เสี่ยวชุ่ยยังไม่รู้ว่าเยี่ยนเจาเจาสลบไปอีกแล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“คุณหนูของเ้าหมดสติไปแล้ว!”