ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ มีนิกายและตระกูลมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ที่แข็งแกร่งและทรงพลังจริงๆ กลับมีน้อยมาก
ราชวงศ์ เป็ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ นอกจากนี้ยังมีกองกำลังกระจายอยู่ทั่วอาณาจักร ไร้เทียมทาน และไม่มีใครกล้าต่อต้าน
นอกจากราชวงศ์แล้ว ในเมืองหลวงยังมีตระกูลที่ทรงพลังอยู่อีกมากมาย เช่น ตระกูลเยว่ ตระกูลอวี่ และตระกูลหว่านโช่วเหมิน
และนอกเมืองหลวงนั้นยังมีอีกหลายนิกายที่แข็งแกร่งเช่น นิกายหยุนไห่ นิกายเฮ่าเยว่ของคุณชายต้าเผิง นิกายหลั่วเซี่ย และหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน
ส่วนแปดคุณชาย เป็ตัวแทนของคนรุ่นเยาว์ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ที่มีพร์ที่ดีที่สุด ซึ่งพลังของคุณชายทั้งแปดนั้นแข็งแกร่งเป็อย่างมาก พวกเขาล้วนมาจากนิกายหรือตระกูลที่ทรงพลังเหล่านี้ แต่มีเพียงแค่นิกายหยุนไห่เท่านั้นที่ไม่มีศิษย์คนไหนสามารถเป็ 1 ใน 8 คนนี้ได้
ถึงแม้จะบอกว่าก็แค่ตำแหน่งคุณชายตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น มันไม่ส่งผลกระทบอะไรกับนิกายหยุนไห่หรอก แต่ในอนาคตล่ะ? สิบปีหรือยี่สิบปีหลังจากนี้? มันจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อนิกายอีกหรือ?!
หนานกงหลิงรู้ดีว่านิกายหยุนไห่เริ่มเสื่อมถอยลง เพราะนิกายโชคร้ายที่ไร้รุ่นเยาว์อัจฉริยะมาสืบทอด มิหนำซ้ำอัจฉริยะรุ่นก่อนก็เริ่มโรยรา หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป นิกายคงพังพินาศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นิกายหยุนไห่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางแห่งหายนะทุกปีๆ ความแข็งแกร่งของนิกายก็เริ่มถดถอยลง ในฐานะที่เป็ประมุขจะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร
แต่การปรากฏตัวของหลินเฟิงและหานหมาน ทำให้เขาเริ่มมองเห็นความหวังขึ้นมา ดูเหมือนว่า์จะยังไม่ทอดทิ้งเรา!!!
ด้วยศักยภาพและพร์ของหลินเฟิง เพียงแค่ให้เวลาเขาอีกหน่อย เขาอาจจะได้เป็ 1 ใน 8 คุณชายแห่งเสวี่ยเยว่อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นนิกายหยุนไห่ก็จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
นิกายหยุนไห่ในตอนนี้ดูเหมือนจะเงียบสงบ แต่ในความเป็จริงนั้น นิกายหยุนไห่กำลังอยู่ใน่วิกฤต
“หวังว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้น และกลายเป็ความหวังของนิกายหยุนไห่ได้” หนานกงหลิงลอบถอนหายใจออกมา ขณะมองไปยังหานหมานที่ยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างเงียบๆ
จู่ๆ ทางเมืองหลวงก็เริ่มก่อตั้งลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ขึ้นมา ซึ่งนั่นอาจจะไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักสำหรับเขา
ในตอนนั้นเมื่อหานหมานก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เม็ดทรายสีเหลืองที่กลิ้งอยู่บนลานประลองเป็ตาย ก็ดูคล้ายกับว่ากำลังคำรามออกมา ทำให้หวังฮั่นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะลมปราณที่หานหมานปล่อยออกมา ไม่เพียงแค่ทรงพลังเท่านั้น แต่มหาศาลและหนักแน่นอีกด้วย ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า ยินดีด้วยเ้าได้เป็ศิษย์สายในแล้ว”
ทันใดนั้นร่างกายของหวังฮั่นก็ผ่อนคลายขึ้น แต่ดวงตาของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย และในน้ำเสียงก็ยังแฝงไปด้วยความผิดหวัง ไม่ทันจะได้สู้ก็ยอมแพ้เสียแล้ว ช่างน่าอัปยศยิ่งนัก แต่ถ้าฝืนต่อสู้ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองได้รับความอับอายเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่อย่าได้ถือสาเลย ข้าก็แค่อาศัยประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากจิติญญาเท่านั้น” ลมปราณที่หานหมานปลดปล่อยออกมาได้จางหายไป หลังจากนั้น เขาก็กลับมาเป็คนซื่อๆ ทึ่มๆ เหมือนเดิม ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกเป็มิตรด้วย
“ขอบคุณ” หวังฮั่นพยักหน้าให้กับหานหมาน ก่อนจะหันหลังและเดินลงจากลานประลองเป็ตาย ถึงแม้ว่าหานหมานจะไว้หน้าหวังฮั่น แต่แพ้ก็คือแพ้ ตอนนี้เขาไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว
หานหมานเดินกลับมายืนอยู่ข้างๆ หลินเฟิง พลางหัวเราะดีใจ “เป็อย่างไรล่ะ? เห็นไหมว่าข้าไม่ขายหน้าแน่นอน”
“ก็ไม่เลว” หลินเฟิงพยักหน้าขณะยิ้มออกมา ถ้าผู้ฝึกยุทธ์คนไหนสามารถควบคุม ‘อำนาจ’ ได้ คนคนนั้นจะได้เปรียบกว่าคนในระดับเดียวกันมาก หากไม่บังเอิญไปพบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพร์ที่แข็งแกร่งเข้า คนคนนั้นก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้
ถึงแม้ว่าการต่อสู้หลังจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลินเฟิง แต่ทว่าเขาก็ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อดูการต่อสู้จนจบ และเรียนรู้ทุกอย่างตราบเท่าที่จะทำได้
“เป้าหมายของข้าคือถูฟู คนคนนี้แข็งแกร่งมาก เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถเอาชนะศิษย์หลัก และก้าวเข้าไปเป็ศิษย์หลักได้”
เมื่อหานหมานดูการทดสอบของรอบนี้เสร็จ ดวงตาของเขาก็ฉายแววตื่นเต้นขึ้นมา ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะการต่อสู้ของถูฟู มันช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว จากคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง สามารถกลายมาเป็ศิษย์หลักได้ อีกทั้งความแข็งแกร่งของถูฟูก็ยังน่าทึ่ง เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้
“หลินเฟิง แล้วเ้าล่ะ เป้าหมายของเ้าคือใคร?” จู่ๆ หานหมานก็หันมาถาม
“ข้า?” หลินเฟิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “ข้ายังไม่ได้คิดเลย”
หลินเฟิงไม่ได้คิดถึงเื่นี้จริงๆ ศิษย์สายนอกของนิกายหยุนไห่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณ ถ้าอยากจะก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์สายใน จะต้องทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาเท่านั้น ซึ่งขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ก็คือพื้นฐานของศิษย์สายใน ส่วนขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ก็คือผู้ที่แข็งแกร่งของศิษย์สายใน แต่ถ้าทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 จะสามารถท้าประลองกับศิษย์หลัก เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์หลักได้
แน่นอนว่าศิษย์ที่ท้าทายมักจะล้มเหลวเป็ส่วนใหญ่ ศิษย์หลักที่อ่อนแอที่สุดล้วนอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 และถ้าพวกเขาอยากจะกลายเป็ศิษย์หลัก ก็จะต้องเอาชนะศิษย์หลักคนหนึ่งเพื่อเข้าไปแทนที่ แต่ต้องรู้ว่ายิ่งเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของศิษย์หลักก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะศิษย์หลักได้
ถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่การทดสอบของนิกายในทุกๆ ปี ก็ยังคงมีศิษย์สายในจำนวนมากที่ขอท้าประลองกับศิษย์หลัก เพราะหนึ่งปีจะมีโอกาสเลื่อนขั้นได้แค่ครั้งเดียว
การต่อสู้ระหว่างศิษย์สายในกับศิษย์หลักมีจำนวนมาก เพราะการเป็ศิษย์หลักเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิพิเศษและการดูแลที่แตกต่างออกไป
หลินเฟิงมีจิติญญานักรบถึง 3 ดวง เขากำลังคิดว่าหากตัวเองเปิดเผย ‘ความลับ’ นี้ออกมา จะถูกจัดให้อยู่ในศิษย์สายในหรือศิษย์หลัก แต่ทว่าต่อให้กลายเป็ศิษย์หลักได้ ก็ยังเทียบกับผู้าุโสายในอย่างม่อเสียไม่ได้อยู่ดี
เมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุดลง ฝูงชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งการทดสอบในรอบที่สองจะจัดขึ้นในอีกสามวัน
การทดสอบของนิกายในรอบที่สองจะเป็การต่อสู้จัดอันดับของศิษย์สายในและศิษย์หลัก ซึ่งเป็การต่อสู้ที่รุนแรงมาก เหล่าศิษย์ที่มีพร์อันโดดเด่นของนิกาย ล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้อันดับที่ดี ดังนั้นจึงเป็การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินเฟิงและคนอื่นๆ ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังสถานที่บ่มเพาะของศิษย์สายใน พวกเขาในตอนนี้ได้กลายเป็ศิษย์สายในแล้ว ดังนั้นจะต้องไปรับป้ายประจำตัวของศิษย์สายในและเครื่องแบบ ซึ่งของเหล่านี้เป็สัญลักษณ์ของการเป็ศิษย์สายใน
“หลินเฟิง”
ในตอนนั้นหลินเฟิงได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้เขาหันไปมองและพบว่ามีสาวงามคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเขา
“มีอะไรหรือ?” เมื่อหลินเฟิงเห็นหลิ่วเฟยเดินเข้ามาหาก็รู้สึกประหลาดใจ
“ข้าขอคุยกับเ้าเป็การส่วนตัวได้หรือไม่?”
หลิ่วเฟยกะพริบตา พลางทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา เมื่อเห็นหานหมานกับคนอื่นๆ กำลังจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างสนใจ
คุยเป็การส่วนตัว?
หลินเฟิงรู้สึกสงสัยว่าหลิ่วเฟยมีเื่อะไร ถึงอยากจะคุยกับเขาเป็การส่วนตัว?
ถึงแม้ว่าการที่หลิ่วเฟยยิงลูกศรใส่จิติญญาของม่อเสีย จะทำให้ทัศนคติที่ไม่ดีต่อนางหายไป แต่ก็ไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นคุยเป็การส่วนตัวได้?
“ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา หลินเฟิง พวกข้ามีธุระที่ต้องไปทำ ดังนั้นขอตัวไปก่อนล่ะ”
หลินเฟิงยังไม่ทันได้พูดอะไร หานหมานก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน และพาจิ้งหยุนไปด้วย ทำให้หลินเฟิงอดประหลาดใจไม่ได้ เ้าเด็กนี่ ‘ฉลาด’ ขึ้นั้แ่เมื่อไรกัน?
ธุระที่ว่าคงเป็เื่ป้ายประจำตัวของศิษย์สายในและเครื่องแบบสินะ?
ขณะนั้นหลิ่วเฟยได้มายืนอยู่ข้างๆ หลินเฟิง สีหน้าของนางดูประหม่ามาก พลางกล่าวว่า “พวกเราไปคุยกันด้านนู้นเถอะ”
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาสงสัยว่าหลิ่วเฟย้าอะไรกันแน่
“หลินเฟิง เ้ายังจำตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรกได้หรือไม่?”
“จำได้ ครั้งนั้นข้าเกือบถูกเ้าฆ่าตายไปแล้ว” หลินเฟิงกล่าว ความเป็อันธพาลของนางได้ตราตรึงอยู่ในใจของหลินเฟิง
“ถ้าเ้าไม่แอบถ้ำมองข้า แล้วข้าจะฆ่าเ้าทำไม?” หลิ่วเฟยมองหลินเฟิงด้วยสายตาไม่พอใจ
“ข้าไปแอบถ้ำมองเ้าตอนไหนกัน?” หลินเฟิงกล่าวอย่างอึดอัด และปรายตามองไปที่หลิ่วเฟย วันนั้นเขาแค่บังเอิญไปเจอช่องผานั่น จึงเข้าไปดูด้วยความสงสัย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับคิดว่าเขาไปแอบถ้ำมองนาง
“เ้า…” หลิ่วเฟยถลึงตามองหลินเฟิงด้วยท่าทางอึดอัดใจ ไอ้เด็กนี่… มีสายตาที่เลวร้ายเสียจริง
เมื่อหลินเฟิงเห็นท่าทางของหลิ่วเฟยก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เอาล่ะๆ ในเมื่อเ้ากล่าวหาว่าข้าแอบถ้ำมองเ้า งั้นข้าก็แอบถ้ำมองเ้าก็แล้วกัน เพราะในความเป็จริงแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็มีรูปร่างหน้าตาอันไร้ที่ติ คงมีคนอยากจะถ้ำมองนางอยู่เป็จำนวนมาก...
“ได้ ข้ายอมรับ... ว่าข้าเข้าใจเ้าผิดไป ดังนั้นข้าเลยอยากจะขอโทษเ้า”
หลิ่วเฟยกัดฟันพูดออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อ นางคงไม่ต้องมาหาเ้าเด็กนี่หรอก ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย
“หา!!!” หลินเฟิงไม่เข้าใจในการกระทำของหลิ่วเฟย ดังนั้นเขาจึงมองหลิ่วเฟยอย่างสงสัย และจ้องไปในดวงตาของนาง เพื่อดูว่านาง้าอะไรกันแน่
“เ้ามองอะไร?” หลิ่วเฟยถาม นางรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง และใบหน้าของนางก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมา ซึ่งแก้มแดงๆ ของนางได้ทำให้หลินเฟิงตื่นใ หรือว่า…
“เ้าคงไม่ได้...” เมื่อหลินเฟิงเห็นสายตาแปลกๆ และท่าทางอ้อมแอ้มของหลิ่วเฟย จึงทำให้หลินเฟิงเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่าง
“เ้าคงไม่ได้… ตกหลุมรักข้าหรอกนะ?” ในที่สุดหลินเฟิงก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดออกมา ท่าทางของหลินเฟิงในตอนนี้ดูสับสนเป็อย่างมาก... หลิ่วเฟยเปลี่ยนไป ยิ่งเห็นพฤติกรรมเขินอายของนางในวันนี้ หลินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจจะเป็ไปได้ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าที่โลกเก่าของเขา เขาก็เอาแต่เรียนกับทำงาน ดังนั้นจึงไม่มี่เวลาหาแฟนสักเท่าไร ด้วยเหตุนี้หลินเฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หลิ่วเฟยตกตะลึงจนตาค้างไปหลายวินาที ก่อนจะแผดเสียงอย่างโมโหว่า “ไอ้บ้า...”
