กงจวิ้นหาวกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงจาวฮวาจึงรีบพุ่งเข้าไปในห้องบรรทม
ในห้องบรรทมอันหรูหรา นางยืนอยู่บนเตียงชี้นิ้วไปตรงมุมกำแพง “เปิ่นกงเห็นแมลงสาบตัวหนึ่งไต่ขึ้นมา”
เขารีบไปดูแต่ไม่พบร่องรอยของแมลงสาบแต่อย่างใด
“หาเจอหรือไม่?” สองแขนของนางกอดอก ใบหน้านุ่มลื่นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ที่เปิ่นกงกลัวมากที่สุดก็คือแมลงสาบ คิดไม่ถึงว่าในห้องนอนของเปิ่นกงจะมีแมลงสาบด้วย อีกประเดี๋ยวจะต้องให้นางกำนัลมาทำความสะอาดดีๆ เสียแล้ว”
“องค์หญิงอย่ากลัวไปเลย กระหม่อมจะปกป้ององค์หญิงเอง” เขามองไปรอบๆ ก่อนจะกลับมาอยู่ข้างกายนาง “หาแมลงสาบไม่เจอ บางทีองค์หญิงอาจจะทำให้มันใหนีไปแล้ว”
องค์หญิงจาวฮวาพลันคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้พลางพูดอย่างตื่นตระหนก “เ้าอย่าเพิ่งไป เปิ่นกงกลัวว่าแมลงสาบจะคลานออกมาอีก”
กงจวิ้นหาวตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัว ััขององค์หญิงทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมหวานจากร่างของนางลอยละล่องมา ราวกับกลิ่นของดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งในฤดูร้อน
เขากลืนน้ำลาย อดเหลือบมององค์หญิงไม่ได้
นางเองก็มองมาที่เขา ั์ตาอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมองมาก่อนจะหลุบหลงอย่างเอียงอาย
จู่ๆ เขาก็รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นองค์หญิงคลี่ยิ้มให้เขา ทั้งยังได้ยินองค์หญิงพูดกับเขาว่า “สามี เ้าชอบเปิ่นกงหรือไม่?”
“ชอบ ชอบแน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบบอกความในใจออกมา “ชาตินี้สามารถแต่งองค์หญิงมาเป็ภรรยานั้นเป็โชคดี และเป็เกียรติอย่างที่สุดของกระหม่อม”
“สามี เ้าจะดีกับเปิ่นกงหรือไม่?” องค์หญิงจาวฮวากอดเขา ถามเขาเสียงออดอ้อน ทั้งยังซบลงบนบ่าของเขา
หญิงงามตัวอ่อนนุ่มแอบอิงมาที่เขา หัวใจของเขาพลันสูบฉีด ทั่วทั้งร่างรุ่มร้อนขึ้นมา ก่อนตอบรับอย่างตื่นเต้น “ชาตินี้กระหม่อมจะมีเพียงองค์หญิงผู้เดียวเท่านั้น”
กงจวิ้นหาวไม่ใช่คนที่ช่ำชองเื่สตรี เพียงแต่นับจากอดีตจนถึงตอนนี้มีผู้ใดที่งดงามเทียบเท่าองค์หญิงได้บ้าง?
ปกติแล้วเขาเป็คนมีความอดทนอดกลั้น แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าเป็อย่างไร รู้สึกเพียงว่าเืลมพุ่งพล่านยากระงับ ราวมีไฟแผดเผาอยู่ภายใน คอยดึงสมาธิของเขาอยู่ตลอด…ภาพองค์หญิงอยู่ตรงหน้าเขาพร่ามัวไปเล็กน้อย ดวงตาของนางราวกับสายน้ำ ยังมีมือที่กกกอดเขาไม่ยอมปล่อย…
เื่ราวที่เกิดขึ้นต่อมาเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงกลายเป็เช่นนั้นได้?
เขากดร่างขององค์หญิงลงบนเตียง จุมพิตนางอย่างป่าเถื่อน ในหัวมีเพียงความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่ง : จะช้าเร็วองค์หญิงก็ต้องเป็คนของเขา อีกทั้งองค์หญิงกับเขาก็ยินยอมพร้อมใจกันทั้งคู่ ดังนั้นตอนนี้เขาจะทำอะไรองค์หญิงก็ได้
ความคิดนี้คอยบงการเขา เขาก็เป็เช่นน้ำที่รั่วออกมาไม่สามารถเก็บกลับไปได้
ต่อมา เขาพลันเห็นว่าในมือขององค์หญิงมีมีดสั้นเพิ่มขึ้นมาเล่มหนึ่ง แสงสีเงินเย็นเยียบไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวจนรามือไป กลับกันยิ่งทำให้เขาเืร้อนระอุ กอดนางอย่างเร่าร้อนขึ้นไปอีก
ความเ็ปอย่างรุนแรงทำให้เขาได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พบว่าตนได้รับาเ็ อีกทั้งยังาเ็ที่ตรงนั้น โลหิตสดๆ พุ่งออกมา เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเื่ราวถึงกลายเป็เช่นนี้...
แน่นอน กงจวิ้นหาวเพียงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในตำหนักจิ่งหงคร่าวๆ เท่านั้น อย่างไรก็มีรายละเอียดบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกไปได้
“เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมไม่ได้มีความคิดที่จะทำมิดีมิร้ายองค์หญิง นางเข้ามาสวมกอดกระหม่อมก่อน แสดงท่าทางลึกซึ้ง ส่งสัญญาณให้กระหม่อม...กระหม่อมจึงได้ทำเช่นนั้นกับองค์หญิง...หากนางบอกตรงๆ ว่าไม่ชอบ กระหม่อมย่อมไม่มีทางทำอะไรนางแน่นอน ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดเข้าใจกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ความหมายของเ้าคือ องค์หญิงยั่วยวนเ้า?” เสิ่นจือเหยียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร...แต่เป็องค์หญิงที่เข้ามากอดข้าก่อนจริงๆ” อันที่จริงแล้วกงจวิ้นหาวเองก็หงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เมื่อวานควรจะตั้งสติให้ดี แต่มีบางรายละเอียดที่เขาคิดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเป็เช่นนี้
“องค์หญิงกอดเ้า แต่เ้าเองก็ไม่ควร...” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว
“จาวฮวากอดเ้า แล้วยังทำอะไรอีก?” มู่หรงฉือถามเสียงเรียบ
“องค์หญิงกอดข้า...” กงจวิ้นหาวครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วขมวดคิ้วพูด “ความจริงแล้วกระหม่อมเองก็จำได้ไม่ค่อยชัดเจน”
“เื่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน เหตุใดถึงจำไม่ได้เสียแล้ว?” เสิ่นจือเหยียนมองไปทางเตี้ยนเซี่ย ในดวงตามีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม
“จำไม่ได้จริงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด” กงจวิ้นหาวตบหัวอย่างหงุดหงิด
“หลายวันจากนี้เ้าก็ลองนึกดูให้ดี หากนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ส่งคนไปบอกเปิ่นกง” มู่หรงฉือพูดเสียงเรียบ “เ้าพักผ่อนให้มาก เปิ่นกงขอตัวก่อน”
“ขออภัยที่กระหม่อมไม่อาจส่งเตี้ยนเซี่ยได้” กงจวิ้นหาวกล่าว
“เ้าพักผ่อนให้ดีเถิด” เสิ่นจือเหยียนกล่าวจบก็ตามมู่หรงฉือออกไป
เมื่อออกจากจวนเสนาบดีมา พวกเขาก็ขึ้นรถม้า เสิ่นจือเหยียนถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เตี้ยนเซี่ยคิดว่าอย่างไร? ข้ารู้สึกว่ากงจวิ้นหาวมีเื่ปิดบัง ส่วนที่สำคัญที่สุดก็ดันจำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เป็เพราะว่ารู้สึกผิดเื่อะไรสักอย่างหรือ?”
มู่หรงฉือพยักหน้า “เขาบอกว่าจาวฮวาพุ่งเข้าไปกอดเขาก่อน...ยั่วยวนเขา เปิ่นกงรู้สึกว่าเป็ไม่ได้”
จาวฮวาชอบมู่หรงอวี้ แล้วเหตุใดถึงได้ไปยั่วยวนกงจวิ้นหาวเล่า?
เื่นี้นางรู้ดีแต่กลับไม่ได้บอกเสิ่นจือเหยียน
เมื่อวานพวกเขาไปที่ตำหนักจิ่งหง เพิ่งจะเข้าตำหนักใหญ่ไป นางก็เห็นว่าบนโต๊ะมีแตงโมและขนมไข่อยู่จริงๆ จุดนี้ทั้งสองฝ่ายพูดตรงกัน
เสิ่นจือเหยียนถาม “เื่นี้จะเอาคำพูดของคนผู้เดียวมาตัดสินไม่ได้ องค์หญิงทรงว่าอย่างไรบ้าง?”
นางขมวดคิ้วตอบ “สิ่งที่จาวฮวาพูดออกมานั้นตรงกันข้ามกับกงจวิ้นหาวอย่างสิ้นเชิง”
จากนั้นนางก็เล่าเื่ที่จาวฮวาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
“คำพูดของทั้งสองไม่รู้จริงๆ ว่าควรเชื่อใคร” ดวงหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ตอนนี้ที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ กงจวิ้นหาวมีสิ่งที่ปิดบังอยู่”
“จาวฮวากับกงจวิ้นหาวจะต้องมีใครสักคนที่พูดโกหก” มู่หรงฉือพูดด้วยความมั่นใจ
“เป็ใครที่กำลังพูดโกหกอยู่กันแน่?” เสิ่นจือเหยียนลูบคางตัวเอง
“ใช่แล้ว คดีพี่ชายของหลินอวี่มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?”
“ข้าสั่งให้ลูกน้องไปเอาข้อมูลจากจวนจิ่งจ้าวมาแล้ว คนแซ่หรงในเมืองหลวงมีทั้งหมดเก้าครอบครัว แต่ล้วนไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวย”
“หรือแม่นางหรงผู้นั้นจะโกหกกับหลินซูว่าตนเองเป็คุณหนูจากตระกูลมีฐานะ?”
“ความเป็ไปได้นี้ย่อมไม่อาจตัดออกไป ดังนั้นข้าจึงให้ลูกน้องไปตรวจสอบดูทั้งเก้าครอบครัวนี้แล้ว”
ทันใดนั้น มู่หรงฉือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ หรงจ้านกับหรงหลันก็แซ่หรง แต่พวกเขาไม่ใช่คนเมืองหลวง
แม่นางผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่?
เดิมทีนางอยากจะกลับตำหนัก แต่หลังจากแยกกับเสิ่นจือเหยียนแล้วกลับมุ่งไปยังหนึ่งในใต้หล้า
ทว่าหรงจ้านไม่อยู่ นางจึงทำได้เพียงไปถามหรงหลันที่หอเฟิ่งหวง ซึ่งหรงหลันได้ยินก็หัวเราะทันที “เถ้าแก่ ข้าน้อยกับน้องชายไม่ใช่คนเมืองหลวงจริงๆ หากตอนนั้นท่านไม่ได้ช่วยพวกเราสองพี่น้องเอาไว้ พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะถูกพ่อค้าเอาไปขายที่ไหนแล้ว”
มู่หรงฉือเพียงถามไปเฉยๆ เท่านั้น เรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับแม่นางหรงผู้นั้น
รออยู่ที่หอเฟิ่งหวงได้ครู่หนึ่ง นางก็มุ่งหน้ากลับตำหนักบูรพา
รถม้าเพิ่งจะผ่านเข้าประตูตำหนัก ด้านข้างก็มีขันทีคนหนึ่งปรากฏขึ้น พูดเสียงดังฟังชัด “องค์รัชทายาท อวี้หวางเชิญพบพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจของนางรู้ดี จึงเดินไปที่ห้องตำรา
เป็อย่างที่คิด กงลี่ิเองก็อยู่ด้วย
ตำหนักใหญ่เงียบเชียบ มู่หรงอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ สายตาจับจ้องอยู่ที่กระดาษ ใบหน้าขาวราวรูปสลักไม่แสดงอารมณ์ใด
“ท่านอ๋องมีเื่อยากจะปรึกษากับเปิ่นกงหรือ?” มู่หรงฉือถามออกไปตรงๆ
“ยังหวังว่าท่านอ๋องจะทวงความเป็ธรรมให้สกุลกงและบุตรชายของกระหม่อม” กงลี่ิประสานมือทำความเคารพ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“คุณชายกงบุตรชายคนโตของเสนาบดีาเ็หนัก ต่อไปไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้อีก ทำให้สกุลกงขาดคนคอยจุดธูปไหว้ในอนาคต ถูกคนหัวเราะเยาะ” มู่หรงอวี้พูดเสียงเย็น “เสนาบดีกงจึงทำการแจ้งความคนร้ายที่ทำร้ายบุตรชายของเขาอย่างองค์หญิงจาวฮวา ทวงความยุติธรรมให้แก่สกุลกง เตี้ยนเซี่ยคิดว่าอย่างไร?”
“เป็จาวฮวาทำร้ายคุณชายกงาเ็จริง เพียงแต่ว่าเื่นี้ยังมีจุดที่แปลกประหลาดอยู่บ้าง ใครถูกใครผิดนั้นเป็เื่ที่เปิ่นกงเองก็ไม่อาจตัดสินได้ในระยะเวลาอันสั้น” มู่หรงฉือเลิกคิ้ว “เปิ่นกงยังต้องใช้เวลาตรวจสอบให้แน่ใจ”
“จะมีอะไรแปลกประหลาดได้อย่างไร? เตี้ยนเซี่ยกำลังลำเอียงปกป้ององค์หญิง!” กงลี่ิพูดด้วยความโมโห ใบหน้าเขียวคล้ำ “เตี้ยนเซี่ยเองก็พูดเองว่าองค์หญิงทำร้ายบุตรชายของกระหม่อม เช่นนั้นเื่นี้ยังมีอะไรให้ตรวจสอบอีกพ่ะย่ะค่ะ?”
“จาวฮวาทำร้ายบุตรชายของท่านนั้นไม่ผิด เพียงแต่หากจาวฮวาทำไปเพื่อปกป้องตนเองเล่า?” แววตาดุดันของมู่หรงฉือมองไปทางเขา
“อะไรคือการทำร้ายคนเพื่อปกป้องตนเอง? องค์หญิงทำร้ายคนก็คือทำร้ายคน จะอย่างไรก็คือองค์หญิงเป็คนลงมือทำร้ายคน!” เสียงเขาดุดัน ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ
“บุตรชายของท่านใช้กำลังลวนลามจาวฮวา จาวฮวาเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเองและเพราะหวาดกลัวจึงลงมือทำร้ายคนไป เื่นี้มีเบื้องลึกเื้ั” นางพูดอย่างสงบ “นี่เป็สิ่งที่บุตรชายของท่านพูดออกมาด้วยตนเอง”
“เสนาบดีกงใจเย็นๆ ก่อน พูดคุยกันดีๆ เถิด” มู่หรงอวี้ปลอบใจ
กงลี่ิชะงักไป เหตุใดเ้าบุตรชายถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา? ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาไม่ได้พูดเช่นนี้!
มู่หรงฉือกล่าว “เสนาบดีกงอย่างเพิ่งบันดาลโทสะไป เื่นี้บุตรชายของท่านกับจาวฮวาต่างให้ปากคำเอาไว้ ซึ่งบัดนี้ยังยากที่จะแยกแยะให้ชัดเจน เปิ่นกงจะตรวจสอบให้แน่นอน หากบุตรชายของท่านเป็ผู้บริสุทธิ์จริง เปิ่นกงจะทวงความยุติธรรมให้กับเขาแน่นอน”
เมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้แล้ว กงลี่ิยังจะพูดอะไรได้อีก? แต่ว่า...
คิ้วดกของเขาขยับเล็กน้อย “การที่เตี้ยนเซี่ยจะตรวจสอบนั้นเป็เื่ดี เพียงแต่หากเตี้ยนเซี่ยบอกว่ายังตรวจสอบได้ไม่ชัดเจนแล้วผลัดวันประกันพรุ่งออกไปอย่างไร้กำหนด เื่นี้ก็จะปล่อยให้ผ่านไปเช่นนี้หรือ?”
แววตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้น “เช่นนั้นก็กำหนดให้ตรวจสอบสิบวัน หลังจากสิบวันนี้เตี้ยนเซี่ยจะต้องมีคำตอบให้แก่สกุลกง”
คิ้วเรียวของมู่หรงฉือเลิกขึ้น “ได้ กำหนดเวลาสิบวัน”
สิบวันไม่ถือว่าสั้น นางรู้สึกว่าเวลาเหลือเฟือ
กงลี่ิลากลับไป ตอนที่นางกำลังจะกล่าวลาเช่นกันกลับเห็นมู่หรงอวี้สืบเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
นางมีลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าใดนัก ลมหายใจสะดุดไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหมุนตัวแล้วออกวิ่ง
เขาพุ่งขึ้นมาฉวยข้อมือของนางแล้วโอบเอวพานางไปบนกำแพงข้างประตูตำหนัก ก่อนจะพานางไปขังเอาไว้ในห้องแคบๆ
“ท่านทำอะไร?” สองมือของนางดันแผงอกของเขา บังคับตัวเองให้ใจเย็นแล้วใจเย็นอีก “ที่นี่เป็ห้องตำรานะ!”
“หลายวันมานี้เตี้ยนเซี่ยยุ่งมากจริงๆ” มู่หรงอวี้หัวเราะเบาๆ ในรอยยิ้มซ่อนใบมีดเอาไว้ “ยุ่งจนหาเื่ยุ่งยากมาให้เปิ่นหวาง”
“จะไปมีเื่เช่นนั้นได้อย่างไร? เหตุใดท่านอ๋องไม่พักผ่อนที่จวนหวางอีกสักสองสามวันเล่า? แผลของท่านหายดีแล้วหรือ?”
“เตี้ยนเซี่ยเป็ห่วงเปิ่นหวางหรือ?”
“ก็...นับว่าใช่แล้วกัน แคว้นเป่ยเยี่ยนยัง้าท่านอ๋อง ท่านอ๋องอย่าเป็อะไรไปเด็ดขาด” มู่หรงฉือยิ้มออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ “เปิ่นกงยังมีเื่ที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
แน่นอว่าไม่สามารถหลอกเขาได้ นางผลักเขาเบาๆ แตู่เาสูงใหญ่ตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น คงจะเป็ขันทียกน้ำชามาให้
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้กับประตูตำหนักขึ้นทุกที มู่หรงอวี้ตวาดเสียงดุขึ้นมา “ไสหัวไป!”
ขันทีที่ถือถาดทองหยุดฝีเท้าทันทีด้วยความงุนงงเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าเป็เสียงของอวี้หวาง จึงแอบเหลือบตามองไปด้านในตำหนัก แต่กลับไม่เห็นอวี้หวางเลย คนอยู่ที่ใดกัน?
“ไม่มีคำสั่งของเปิ่นหวาง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามา”
แล้วก็พูดเสียงดุใส่ขันทีคนนั้นอีกครั้ง ขันทีคนนั้นจึงรีบหันหลังกลับเดินออกไปทันทีด้วยเหงื่อโซมกาย
ในระหว่างนี้ มู่หรงฉือที่พยายามอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของเขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้