จากนั้น รอยยิ้มเ้าเล่ห์เ็าได้ปรากฏขึ้นตรงมุมปากหงซี นางกล่าวเน้นทีละคำว่า “บ่าวจะต้อง...สนุกเป็แน่เ้าค่ะ”
ดวงตาเข้มของหงซี มองใบหน้ายิ้มแย้มของเยวี่ยหลิงหลงอย่างใจเย็น เฝ้ามองดวงตาคู่งามเป็ประกายของนาง
ดวงตาคู่งามสดใสดุจน้ำพุที่ใสสะอาด ยามมองตรงด้านหน้า ช่างสง่างามและสูงส่ง ราวกับมีจิติญญาทรงพลังล้นออกมาจากภายในบางๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อยกว่า
นายหญิงรองช่างงามวิจิตรเลิศล้ำ แม้กระทั่งนางยังใจสั่นเมื่อเห็นคนผู้นี้ นับประสาอะไรกับชายหนุ่ม?
จากสิ่งที่นางเห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีชายใดบ้างในใต้หล้าที่ชื่นชมหลงใหลในตัวของนายหญิงรอง? แต่นางกลับปักใจกับคนเพียงผู้เดียว ทั้งยังปฏิบัติต่อชายอื่นอย่างไร้ค่า ทั้งดูถูกและเหยียดหยามพวกเขา
ขณะที่หงซีลอบพึมพำในใจ นางก็แอบเย้ยหยันเช่นกัน
คนผู้นั้นช่างงมงายเสียจริง การหลงผิดเพ้อฝัน้าชายที่นายหญิงรองต้องใจ ก็ไม่ต่างจากคางคกหมายเนื้อห่านฟ้า [1]
หากในยามนี้เ้าคางคกอยู่ในเมืองแห่งโรคระบาด แค่ทำให้นางประสบเหตุร้ายก็พอแล้ว
หากไม่ หึหึ สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือคางคกโง่เขลา ยามเห็นในสายตา...ย่อมต้องเข้าไปทรมานมันจนตาย ทำให้มันหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ดวงตาของหงซีฉายแววเ็า ก่อนกล่าวว่า
“วันนี้แตกต่างจากอดีต ก่อนอื่นต้องใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง [2] รอเก็บเกี่ยวผลกำไรจากชาวประมง [3] การล้มเหลวในครั้งก่อน เป็ดังตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง [4] ต้องจำไว้!” เยวี่ยหลิงหลงกะพริบตาคู่งามเบาๆ ใบหน้างามล่มเมืองของนางมีรอยยิ้มที่อบอุ่นแต่งแต้มอยู่เสมอ ช่างอ่อนโยนน่ารื่นรมย์สุดพรรณนา
นางตั้งหน้าตั้งตารอ ดวงตาคู่งามเปล่งประกายนุ่มนวลแลดูไม่เป็อันตราย แต่กลับสามารถเพิ่มกลิ่นอายแห่งความตายให้กับบรรยากาศอันเงียบสงบได้
แม้ว่าในสายตาของนางเยวี่ยหลิงหลงผู้นี้จะไม่เคยมองว่าหญิงสาวคนใดสามารถคุกคามนางได้ นับประสาอะไรกับขยะที่ไม่สามารถดึงดูดสายตาของนางได้เลย แต่ก็ยังจำเป็ต้องมีความระมัดระวังอยู่เช่นกัน
คำพูดของเยวี่ยหลิงหลงมีสองความหมาย
ความหมายของคำนี้เป็สิ่งที่เข้าใจ แต่ไม่สามารถสื่อออกมาเป็คำพูดได้ อย่างไรก็ตาม หงซีเป็คนสนิทที่เอาใจใส่มากที่สุดของเยวี่ยหลิงหลง นางย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเยวี่ยหลิงหลงในทันที
“เ้าค่ะ!” หงซีพยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน
สองนายบ่าวมองหน้ากัน มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ
พวกนางต่างมองหน้ากันชั่วครู่ เข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยาย
ในไม่ช้าหงซีก็พาสาวใช้สี่คนพุ่งตรงไปตามทางที่มีต้นไม้เรียงราย
ร่างพวกนางเคลื่อนไหวรวดเร็วราวดวงิญญา ในพริบตา ร่างหลากสีหลายร่างก็จางหายไป
จนกระทั่งพวกหงซีหายไปอย่างไร้ร่องรอย เยวี่ยหลิงหลงจึงพาสาวใช้สองคนที่เหลือไปกับนาง มาและจากไปดั่งสายลมไร้ฝน [5] จากไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ต่างจากยามมา
ในชั่วพริบตา นอกเมืองหลงอันซึ่งแต่เดิมเคยสดใสก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา [6]
หลังจากนั้นไม่นาน ในค่ำคืนที่มืดมิด ปกคลุมด้วยชั้นเมฆดำทะมึน ทุกสิ่งเงียบสงัด หมอกควันดำมืดครึ้มอันเหน็บหนาวก่อตัวในอากาศ เกิดเป็ความเงียบงันไร้ร่องรอยของชีวิตยิ่งกว่าเดิม
-
ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดปราศจากแสงดาวเดือน
เส้นทางบนูเาที่มืดมิดไม่ง่ายต่อการเดินทาง แต่ความเร็วของพวกมู่จื่อหลิงกลับไม่ลดลงเลย
ครั้งนี้ไม่เพียงเพราะเฒ่าสุนัขติดตามอยู่เื้ัเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะูเาโฮ่วซานเต็มไปด้วยความหนาวเย็นแสนลึกลับ ซึ่งสิ่งนี้บังคับให้พวกเขาต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ูเาทั้งลูกมืดมน ปราศจากลม ดอกไม้เงียบสงบ ต้นไม้หยุดนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆ
ในยามนีู้เาโฮ่วซานเงียบสงบผิดปกติ เว้นแต่เสียงเท้าเหยียบย่ำพื้นดังกรอบแกรบแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ในป่าไร้เสียงกบและแมลง ทุกอย่างดูมืดมนเงียบสงบ ความหดหู่กดทับจนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก
พวกมู่จื่อหลิงปกปิดใบหน้าของพวกเขาอย่างระมัดระวังในทันทีที่เข้าสู่เขตูเาโฮ่วซาน แน่นอนว่าในคราวนี้เล่อเทียนและคนอื่นๆ ล้วนไม่ใช้ผ้าบางอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็หน้ากากอนามัยแสนพิเศษที่มู่จื่อหลิงมอบให้เพื่อเสริมความปลอดภัย
ระหว่างทางพวกเขาไม่แม้แต่จะพูดคุยกัน แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะสงบและเยือกเย็น แต่พวกเขาก็เดินอย่างเร่งรีบ
“อ๊ะ!” จู่ๆ หลี่ซินหย่วนก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ
จากนั้นเขาก็ใช้ย่างก้าวเล็กๆ ก้าวตรงไปข้างหน้าสองก้าว เดินเคียงข้างมู่จื่อหลิง เอนกายเข้าใกล้หูของนาง พูดเบาๆ อย่างลำบากใจ “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ดูด้านหลัง พวกเราเร่งฝีเท้าจนเร็วถึงเพียงนี้แล้ว ถือว่าเร็วมาก แต่ผู้ติดตามด้านหลังยังสามารถตามติดมาได้ เรากำลังทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์เสียแล้ว”
เป็เพราะหลี่ซินหย่วนเข้ามาใกล้ และเสียงตุ้งติ้งที่ยากจะทานทนดังเข้าหูนาง มู่จื่อหลิงจึงมีท่าทีอยากหลีกเลี่ยงเขาโดยสัญชาตญาณ
นางกัดฟัน หายใจเข้าลึกๆ เตรียมพร้อมจู่โจม แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่หลี่ซินหย่วนกล่าวออกมา ตอนนั้นเองที่มู่จื่อหลิงจึงนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้นางเพียงเดินทางอย่างเร่งรีบเท่านั้น ไม่ได้สนใจด้านหลังเลย
หลังจากออกเดินมาเป็เวลานาน ระหว่างทางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากด้านหลัง มู่จื่อหลิงจึงคิดว่าหมอหลวงหลินถูกทิ้งไปแล้ว
แต่...
หลังจากได้ยินคำพูดของหลี่ซินหย่วน มู่จื่อหลิงก็รู้สึกแปลกๆ ในทันที นางจึงหยุดเดิน
เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยที่เดินตามหลังนางก็หยุดลงเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” เล่อเทียนถามอย่างงงงวย เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่หลี่ซินหย่วนพูดใส่หูมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงไม่ตอบ เพียงแค่หันศีรษะไปมองด้านหลัง...
ตามมาตลอดจริงๆ มู่จื่อหลิงเย้ยหยันอยู่ในใจ
จากนั้นนางก็เชิดคางขึ้นมองเล่อเทียนและคนอื่นๆ ที่ยังงุนงง ส่งสัญญาณให้พวกเขาระวังตัว
เล่อเทียนและคนอื่นๆ หันมองตามสายตาของมู่จื่อหลิง
แม้ไร้แสงดาวเดือน รอบด้านมืดสนิท แต่ในขณะนี้ ระยะห่างระหว่างคนสองสามคนกับพวกเขานั้นไม่ไกลมากนัก อีกทั้งทุกคนล้วนมีคบเพลิง จึงยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ระยะห่างออกไปประมาณสามจ้าง หมอหลวงหลินถูกแบกขึ้นหลังเด็กปรุงยาคนหนึ่ง ในขณะที่เด็กปรุงยาอีกคนกำลังคุ้มกันอยู่ไม่ไกล ติดตามและปกป้องอยู่ด้านหลังพวกเขาโดยไร้ความประมาท
เด็กปรุงยาแบกหมอหลวงหลินไว้บนหลังไม่น่าแปลกใจ สิ่งที่แปลกคือ เด็กปรุงยาผู้ผอมโซสามารถแบกหมอหลวงหลินที่ตัวอวบอ้วนไว้บนหลัง โดยไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเหนื่อย ทั้งยังสงบและผ่อนคลายอีกด้วย
ภาพเช่นนี้ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยแบกจูปาเจี้ย [7] เพียงแต่ ‘ลูกสะใภ้ตัวน้อย’ ผู้นี้ทรงพลังเกินไป สามารถแบกหมูตัวใหญ่ไว้บนหลังได้โดยไม่หน้าแดงหรือเหนื่อยหอบ
ในทางกลับกัน หมอหลวงหลินเหล่ตามองอย่างสบายอารมณ์ ส่ายหัว มองดูอย่างเพลิดเพลิน
เด็กแบกยาสองคนนี้...มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หรี่ตาถามเสียงเบาอย่างสงสัย “สองคนนั้นเป็เด็กปรุงยาจริงหรือ?”
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็เด็กปรุงยาจริงหรือไม่ แต่ตัดสินจากย่างก้าวแ่เบาของพวกเขา พวกเขาต้องเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์เป็แน่ ทั้งยังเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย” เล่อเทียนลูบคาง มองดูและคาดเดาอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“เสี่ยวเทียนเทียน เ้ายอดเยี่ยมมาก! สามารถมองสิ่งเหล่านี้ออกจนหมดสิ้น! ข้ามองมานานแล้วยังมองไม่ออกเลย” หลี่ซินหย่วนตบมือเบาๆ ร้องลั่นอย่างตื่นเต้น
ในสายตาคนอื่น คำพูดของหลี่ซินหย่วนดูเหมือนการโอ้อวด แต่มีเพียงเล่อเทียนเท่านั้นที่รู้ว่าชายตุ้งติ้งบ้าๆ ผู้นี้กำลังทำร้ายเขาทางอ้อม
เด็กปรุงยาตัวผอมบางสามารถแบกก้อนเนื้อใหญ่ถึงเพียงนี้ไว้บนหลังได้ เว้นแต่คนตาบอด ไม่ว่าใครที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมสามารถมองออกว่าเด็กปรุงยาคือผู้ฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นคำอธิบายของเล่อเทียนจึงเป็สิ่งที่เกินความจำเป็อย่างเห็นได้ชัด
ความนัยคือการกล่าวว่าวรยุทธ์ของเขาอ่อนด้อยกว่าตนนั่นเอง
์ทราบดีว่าการใช้กำลังเป็ข้อบกพร่องของเล่อเทียนมาโดยตลอด เป็ข้อบกพร่องที่ไม่มีวันหาย โชคดีที่วิชาตัวเบาของเขายอดเยี่ยม เท่าที่เขารู้ นอกจากหลงเซี่ยวอวี่แล้ว ไม่มีใครเทียบตนได้อีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เล่อเทียนโกรธมากจนอยากทุบตีใครสักคน แต่แรงกระตุ้นจากส่วนลึกของจิตใจ ส่งผลให้เขากลอกตาขึ้นด้วยความรังเกียจ
เล่อเทียนมองหลี่ซินหย่วนอย่างรังเกียจโดยไร้การปกปิดใดๆ ไม่สนใจยุ่งเกี่ยวกับชายตุ้งติ้งเ้าเล่ห์ผู้นี้
เขามีกำลังไม่มากนัก แต่วิชาตัวเบาของชายตุ้งติ้งผู้นี้ยามอยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างไปจากเป็ดตัวแห้ง [8] ที่ใช้มือและเท้าแหวกว่ายได้เพียงไม่กี่ครั้งก็ต้องหยุดพัก
ในยามนี้มู่จื่อหลิงไม่มีใจที่จะสนใจคนทั้งสองที่อยู่ข้างตัวนาง ด้วยนางต้องคอยสังเกตกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลจากนางมากนัก
“ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา?” มู่จื่อหลิงถามซ้ำ ท้ายที่สุดนางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลำบากจริง”
สองคนนั้นให้ความรู้สึกราวกับนักปราชญ์คงแก่เรียน ใบหน้ามีความไร้เดียงสาราวเด็กน้อย เป็ดั่งคุณชายรูปงาม ใบหน้าบริสุทธิ์ไม่มีพิษมีภัย
ในวันนี้ยามแรกพบ มู่จื่อหลิงยังคิดไปว่าคนตัวเล็กสองคนนี้คงอ่อนแอไม่ต่างจากนาง...คาดไม่ถึง คาดไม่ถึงจริงๆ!
เมื่อคิดได้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังกังวลว่าทั้งสองคนนั้นอาจเป็ปัญหาสำหรับนาง พวกเขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย หรือนางกังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถปกป้องนางได้
เล่อเทียนกระแอมเบาๆ ในยามนี้เพื่อกอบกู้ใบหน้าของตน เขาพูดเบาๆ ว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็เป็เพียงผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เป็รองจากข้าเท่านั้น”
“เ้า?” มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย แสร้งทำเป็ไม่เชื่อ
“ใช่” เล่อเทียนพยักหน้า
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปาก พยักหน้าอย่างจริงจัง “หากเป็รองเ้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
ยามได้ยินเช่นนี้ เล่อเทียนเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ โบกพัดด้ามจิ้วอย่างสบายอารมณ์ ดูหยิ่งยโสยิ่งนัก “เช่นนั้นคงไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาใดๆ ทั้งสองคนนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
แต่ใครจะรู้ว่าคำพูดถัดไปของมู่จื่อหลิงจะทำให้เล่อเทียนกลับคืนสู่สภาพเดิมทันที
เห็นได้ว่ามู่จื่อหลิงเหลือบมองเล่อเทียนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เอ่ยด้วยโทนเสียงเย้ยหยันอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาของพวกเขายังด้อยกว่าเ้า เช่นนั้นวรยุทธ์ของเ้าย่อมไม่ธรรมดา แล้วถ้าหากนำมาเทียบกับฮู่กั๋วกงที่อยู่ข้างกายเ้าเล่า? จุ๊ จุ๊ จุ๊...ไม่จำเป็ต้องกังวลจริงๆ เพียงแค่ปล่อยเป็ดออกวิ่ง [9] เร่งฝีเท้าให้ว่องไวราวเหาะเหิน!”
ทันทีที่เอ่ยคำนั้นออกไป ใบหน้าแข็งทื่อไร้รอยยิ้มของกุ่ยเม่ยอดไม่อยู่จนเกือบแสดงอารมณ์ออกมา ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป มุมปากกระตุกเล็กน้อยภายใต้หน้ากากที่ปิดจนมิด
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเล็กน้อยของคิ้วที่ยุ่งเหยิงก็ยังเป็ช่องโหว่ที่เผยให้เห็นได้อย่างชัดเจน
หากสิ่งที่หลี่ซินหย่วนพูดก่อนหน้านี้คือการทำร้ายเขาทางอ้อม ในยามนี้คำของมู่จื่อหลิงได้ทำร้ายเขาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังชี้ให้เห็นจุดที่เขาด้อยกว่าผู้อื่นชัดเจน! เล่อเทียนแทบกระอักเื
ดังคำกล่าวที่ว่า ด่าคนอย่าเผยจุดอ่อน [10] แต่ฉีหวางเฟยกลับมักจับผิดผู้อื่นเสมอ จริงๆ เลย...จู่ๆ เล่อเทียนก็รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ดวงตาดอกท้อเย้ายวนใจของหลี่ซินหย่วนราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มีเสน่ห์เหลือล้น เขาเลิกคิ้วมองมู่จื่อหลิงทำท่าราวกับกำลังชื่นชมบูชา
หลี่ซินหย่วนยกมือขึ้นกอดอกสั่นสะท้านด้วยอาการขนลุกไปทั่วร่าง
ในทางกลับกัน ทางด้านพวกหมอหลวงหลิน
ยามเห็นฝีเท้าของมู่จื่อหลิงหยุดลง อีกทั้งพวกเขาล้วนหันมองดูพวกตน เด็กปรุงยาทั้งสองคนจึงหยุดชะงักไปเช่นกัน
หมอหลวงหลินที่หลับตาพริ้มด้วยความเพลิดเพลิน ขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ ที่ร่างกายสูญเสียความรู้สึกสบายจากการแกว่งไกวขึ้นลงไป
เขาลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดินสิ! เหตุใดถึง...”
ก่อนจะพูดจบ หมอหลวงหลินหรี่ตาจนแทบเหลือเพียงรอยขีด จากนั้นเขาถึงเห็นอย่างคลุมเครือว่าคนข้างหน้าดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทั้งยังจ้องมองมาที่พวกเขา
ดวงตาเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ ยามถูกพบโดยพวกของมู่จื่อหลิง หมอหลวงหลินไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าเลยแม้แต่น้อย
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] คางคกหมายเนื้อห่านฟ้า (癞蛤蟆想吃天鹅肉) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนที่หมายปองผู้ที่มีฐานะสูงกว่าตนเอง หรือผู้ที่งดงาม หล่อเหลากว่าตนเอง เทียบกับสำนวนไทยจะใกล้เคียงกับคำว่า ดอกฟ้ากับหมาวัด หรือกระต่ายหมายจันทร์
[2] กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง (隔岸观火) เป็หนึ่งในกลศึกสามก๊ก เป็การใช้โอกาสที่ศัตรูเกิดการแตกแยกหรือวุ่นวายหนักภายในกองทัพ รอจังหวะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อศัตรูมีแนวโน้มความพินาศและวอดวายจึงค่อยเข้าไป่ชิงชัยชนะ
[3] เก็บเกี่ยวผลกำไรจากชาวประมง (坐收渔翁) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งของผู้อื่นและแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเขา
[4] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง (做捕螳螂的黄雀) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาว นอกจากนี้ยังใช้กระทบกระเทียบกับผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน ประโยคเต็มคือ 螳螂捕蝉黄雀在后
[5] มาและจากไปดั่งสายลมไร้ฝน (风不带来雨不带走) เป็วลี มีความหมายว่า ฉันจากไปอย่างเงียบๆ เหมือนอย่างยามมาที่มาอย่างเงียบๆ
[6] เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดเดา (天有不测风云) เป็วลี มีความหมายว่า ภัยพิบัติบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ คำเต็มคือ เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดการณ์ มนุษย์เราย่อมมีสุขมีภัยที่คาดคิดไม่ถึง (天有不测风云,人有旦夕祸福)
[7] ลูกสะใภ้ตัวน้อยแบกจูปาเจี้ย (小媳妇背着猪八戒) เป็วลี มีความหมายว่า ใช้ความพยายาม ยอมลำบากเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ โดยจูปาเจี้ยหรือตือโป๊ยก่ายเป็ลูกศิษย์คนที่สองของพระถังซัมจั๋ง หนึ่งในตัวละครเอกเื่ไซอิ๋ว ซึ่งวลีที่ถูกต้องคือ 猪八戒背媳妇 จูปาเจี้ยแบกภรรยา แต่ด้วยหมอหลวงหลินตัวอวบอ้วนจึงสลับคำเป็แบกจูปาเจี้ยแทน
[8] เป็ดตัวแห้ง (旱鸭子) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คนที่ว่ายน้ำไม่เป็ หรือทำบางอย่างได้ไม่ดีนัก เป็คำที่ใช้ในเชิงเยาะเย้ย
[9] ปล่อยเป็ดออกวิ่ง (撒开丫子) เป็สำนวนจีน มีความหมายว่า เร่งฝีเท้า วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
[10] ด่าคนอย่าเผยจุดอ่อน (揭人不揭短) เป็วลี มีความหมายว่า การเผยจุดอ่อนของผู้อื่นเป็สิ่งที่ร้ายแรงและไม่ควรทำเป็อย่างยิ่ง ต้องยับยั้งคำพูดและการกระทำเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของผู้อื่นด้วย มีวลีเต็มว่า 打人不打脸,揭人不揭短 แปลว่า ตบคนอย่าตบหน้า ด่าคนอย่าเผยจุดอ่อน