พลบค่ำเมื่อหรงซิวกลับถึงเรือนก็ได้บอกข่าวดีเื่การจะออกไปเที่ยวให้อวิ๋นอี้รู้
“จริงหรือเพคะ?”
ั์ตาของอวิ๋นอี้จ้องไปที่หรงซิวอย่างเปล่งประกายประดุจั์ตานั้นมีดวงดาวระยิบระยับ
หรงซิวยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอวิ๋นอี้พลางพยักหน้า
“ว้าว!ฝ่าาทรงดีต่อข้าเหลือเกินเพคะ!” นางรีบะโพุ่งเข้าไปสวมกอดออดอ้อนเขาด้วยความดีใจ
ั้แ่หรงซิวได้ให้สัญญากับนาง อวิ๋นอี้ก็เฝ้าคอยนับวันที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นทุกวันๆ แต่เมื่อนางได้เห็นว่าหรงซิวนั้นมีงานมากมายรุมล้อม จึงทำให้นางต้องเก็บกั้นความรู้สึกไว้ภายในใจ
จนเมื่อเวลานานวันเข้า อวิ๋นอี้คิดไปว่าหรงซิวคงจะลืมสิ่งที่สัญญากับนางแล้ว แต่หรงซิวยังกลับจำได้ ทั้งยังพร้อมที่ทำตามคำที่ให้ไว้
จิตใจของอวิ๋นอี้นั้นอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ใบหน้าอันเล็กๆ ของนางได้คลอเคลียบริเวณลำคอของหรงซิวอย่างออดอ้อน จนทำให้เขาอารมณ์ปะทุ ร้อนผ่าวไปทั่วกาย หรงซิวจนปัญญา ยิ้มและดึงตัวอวิ๋นอี้ออกพร้อมพูดว่า “หากยังคลอเคลียต่อไป จะเกิดเื่แล้วนะ!”
เสียงอันทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความ้า และลมหายใจอันร้อนผ่าวของหรงซิวนั้น ทำให้อวิ๋นอี้รู้สึกเขินจนหูและใบหน้าแดงก่ำ
ทั้งสองค่อยๆ แยกออกห่างกัน อวิ๋นอี้กัดริมฝีปากของตนพร้อมพูดอย่างพึมพำ “เหตุใดวันๆ ท่านถึงคิดแต่เื่มิเป็เื่เช่นนี้!”
“ข้าจะคิดก็ยามที่ได้พบกับเ้าเท่านั้นล่ะ” หรงซิวจูบไปที่ใบหูของอวิ๋นอี้เบาๆ พร้อมตอบนางกลับไปว่า “ก็ข้าควบคุมมันไม่อยู่ ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า หากจะโทษก็ต้องโทษเ้านั้นล่ะ อวิ๋นเออร์……”
“หยุดเลยเพคะ” อวิ๋นอี้ได้ยินคำหวานสุดเลี่ยนของหรงซิวก็ทำให้นางขนลุก ผลักหรงซิวเบาๆ แล้วพูดว่า “คืนนี้รีบนอนกันเถิดเพคะ พรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางแต่เช้า!”
แม้จะบอกให้รีบพักผ่อน แต่ทั้งคู่นั้นก็ยังมีสัมพันธ์กันจนดึกดื่น
เมื่อหรงซิวมีอารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าอวิ๋นอี้จะพยายามหลบหรือเกลี้ยกล่อมอย่างไร นางก็ยังถูกมือของหรงซิวกดตรึงไว้ที่เตียงและเป็การยากที่อวิ๋นอี้จะหลีกพ้นจากชะตากรรมบนเตียงนี้ได้
ยามกลางคืนก็มิได้หลับ กลางวันก็มิได้พัก
วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่าง อวิ๋นอี้ที่นอนไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็ต้องถูกพาขึ้นไปบนรถม้าทั้งผ้าห่ม
นางรู้ว่าจะไปที่ใด หนังตานั้นหนักเกินที่จะถ่างขึ้น ค่อยๆ เดินทางออกจากเรือนในเมืองหลางโจว เข้าสู่เส้นทางอื่นที่ถนนไม่ราบเรียบ
อวิ๋นอี้ที่หลับฝันอยู่ ถูกทางที่ขรุขระทำให้หงุดหงิดใจ จนนอนต่อมิได้ นางลืมตาขึ้นมา แล้วไปกวนหรงซิว
“พวกเราแอบออกไปเช่นนี้ หากกลับไปชายารองรู้เข้า อาจจะเป็เื่อีกก็ได้นะเพคะ!” นางยียวน “ฝ่าาหาคำอธิบายนางได้หรือยังเพคะ?”
หรงซิวเอามือไปจับเท้าเล็กๆ ที่ขยับไปมาของอวิ๋นอี้ มาวางบนมือแล้วนวดอย่างอ่อนโยน พลางขมวดคิ้วพร้อมถามอวิ๋นอี้ว่า “เหตุใดข้าจักต้องอธิบายกับนางด้วย?”
อวิ๋นอี้ยักไหล่ เล่นหน้าเล่นตาไม่พูดกระไร
สตรีตัวน้อยนั้นเมื่อทำตัวประหลาดขึ้นมาแล้ว จะทำให้ผู้อื่นรังเกียจหรือไม่นั่นเขาไม่รู้ แต่ทุกคราที่ก็ทำให้เขาโกรธจนแทบจะเป็ลม
การพูดถึงหว่านฉือ ทำให้จิตใจของทั้งคู่นั้นมิเป็สุข
กว่าจะได้ออกมาเที่ยว หรงซิวไม่อยากทำให้อวิ๋นอี้ไม่สบายใจ เก็บอารมณ์ไว้พร้อมเข้ากอดอวิ๋นอี้ พูดอย่างเอาอกเอาใจ “อย่าพูดถึงนางเลย วันนี้ข้าพาเ้ามาทะเลผิง ได้ยินมาว่าอาหารทะเลที่นี่รสชาติอร่อยนัก!เมียจ๋า เ้ายังจำอาหารทะเลที่ทำให้ข้าทานครานั้นได้หรือไม่?”
“……”
ต้องจำได้อยู่แล้วสิ
ตอนนั้นนางทำให้หรงซิวแพ้ ทั้งอาเจียนทั้งท้องเสีย มีผื่นแดงขึ้นเต็มตัว หากตอนนั้นมิได้รับการรักษาทันการณ์ล่ะก็ อีกหน่อยเขาคงได้ลาโลกเป็แน่ อวิ๋นอี้นางจะลืมได้อย่างไร
อวิ๋นอี้หันไปมองหรงซิวอย่างเจื่อนๆ ปากของนางก็แสยะยิ้มอย่างมิเป็ธรรมชาติ บิดตัวไปพร้อมพูดว่า “ทำไมรึเพคะ?”
“รสชาติดียิ่งนัก” หรงซิวหัวเราะร่าชอบใจ “เพียงแต่เ้าซุกซนเกินไป!”
อวิ๋นอี้แลบลิ้นออกออกมา นึกว่าหรงซิวจะเอาเื่เก่ามาหาเื่ คิดบัญชีกับนางย้อนหลัง
อวิ๋นอี้จ้องไปที่หรงซิว ในตอนที่เขาทำท่าทีตกอกใเกินจริง อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก ทั้งสองคนก็กลับมากะหนุงกะหนิงกันอีกครา
ยาชิงเป็คนนำทาง เขาเชี่ยวชาญมาก หูได้ยินถึงหกสาย ตาเห็นถึงแปดทิศ [1] ออกจากหลางโจวมิได้หยุดพัก ผ่านไปสองชั่วยาม ก็ถึงที่หมายทะเลผิง
ทะเลผิงทำให้คนทึ่งมากกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก
ในเวลาที่มาถึงนี้เป็เวลาเช้าตรู่ พระอาทิตย์สีแดงค่อยๆ ทะยานขึ้นมาจากทิศบูรพา ทำให้พื้นทะเลนั้นเปลี่ยนเป็สีทองอร่าม เหมือนดั่งทะเลถูกเคลือบไปด้วยแผ่นทองบางๆ ระยิบระยับ บรรยากาศในตอนนี้ช่างอบอุ่นอย่างมาก
ท้องฟ้าเป็สีทองอร่าม สว่างจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ทะเลเป็สีฟ้าแลดูสงบ เมื่อทอดมองไปก็ทำให้จิตใจนั้นสงบนิ่ง
อวิ๋นอี้เพียงมองทิวทัศน์อันงดงามนี้จากหน้าต่างก็ตื่นตาตื่นใจ รู้สึกว่าการมาครานี้นั้นไม่เสียเที่ยว นางไม่รอให้รถหยุดนิ่งก็ชะโงกหน้าออกมานอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น
หรงซิวนั้นอดกลัวเป็ห่วงอวิ๋นอี้มิได้ ดึงตัวนางกลับเข้ามา ทำให้สาวน้อยไม่พอใจ จ้องเขม็งไปที่หรงซิวพร้อมพูดว่า “ฝ่าาทำกระไรเพคะ?”
“เ้าใจเย็นก่อน” หรงซิวพูดออกมาอย่างทำกระไรมิได้ “ทิวทัศน์ก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่หนีเ้าไปที่ใดหรอก เ้าจะรีบไปใย?”
“ทิวทัศน์ที่งดงามก็เปรียบดั่งสตรีงาม ต่อหน้าสตรีงาม บุรุษแบบพวกท่านจะไม่ลุกลนกันหรือ?” อวิ๋นอี้บุรุษตาไปมองหรงซิว พร้อมสะบัดมือหรงซิวออก พร้อมลงจากรถ
หรงซิวยักไหล่ ไม่ว่าเขาจะพูดสิ่งใด อวิ๋นอี้ก็มักจะหาถ้อยคำมาเปรียบเปรยเข้าตัวหรงซิวตลอด หลังจากนั้นก็ยิ้มเยาะเยือกเย็น
หนิวปี!
น้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรก็ต้องทน จะให้คุกเข่าก็ต้องเอาใจ
สายลมจากทะเลในยามเช้า ได้พัดพานำความสดชื่นมาปะทะ รสชาติของน้ำทะเลนั้นทั้งเค็มและฝาด เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปก็ได้พบกับความงามของสตรีตัวน้อย
นางมีเอวบางเรียวขายาว สะโพกงอน สวมชุดยาวสีน้ำฟ้าน้ำทะเลอยู่บนร่าง ทำให้อวิ๋นอี้นั้นดูน่าค้นหาและมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างมาก
นางช่างกลมกลืนประดุจเป็ส่วนหนึ่งของพื้นน้ำและท้องนภา ท่วงทีของแขนและขา ยิ่งขับให้นางดูมีเสน่ห์
ทำให้หรงซิวนั้นถึงกับกลืนน้ำลาย แววตาดั่งถูกมนต์สะกด
หรงซิวไม่รอช้า เดินเข้าไป ใช้แขนทั้งสองเข้าสวมกอดเอวของนาง คางของเขาเข้าไปเกยตรง่ไหล่ของอวิ๋นอี้อย่างเหมาะเจาะ น้ำเสียงอันแ่เบาพูดกับอวิ๋นอี้ “ชอบหรือไม่?”
ดวงตาของอวิ๋นอี้นั้นจ้องไปยังทะเลพร้อมพยักหน้าไม่หยุด
น้ำทะเลใส ใบเรือนับสิบที่เห็นมาแต่ไกล บนทะเลสีทองแห่งนี้ ก็ประดุจดั่งขนนกสีขาวที่ราวกับหิมะ
ไม่น่าเล่าผู้ใดต่างก็พูดกันว่า การมองดูทะเลนั้นทำให้คนจิตใจสงบ และยังทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา อวิ๋นอี้เองก็ได้รู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนนั้นกว้างขึ้นอย่างมาก
หรงซิวนั้นรู้นิสัยของอวิ๋นอี้ดี เห็นนางตะลึงในความงดงามของทิวทัศน์ ก็ไม่รอช้าจับมืออวิ๋นอี้ไปข้างหน้าพร้อมพูดว่า “ไปกัน! มาทะเลแล้วจะไม่ไปชายทะเลหรือ?”
“ว้าว!จริงหรือเพคะ!” ทันใดนั้นอวิ๋นอี้ก็ตื่นเต้นดีใจ ะโเข้าไปหาหรงซิว หรงซิวก็รีบเข้ารับขาทั้งสองข้างของนางไว้อย่างรวดเร็ว
ด้วยความลุกลี้ลุกลนของนาง ทำให้ใบหน้าอันนุ่มนวลของนางกระแทกเข้ากับคางของเขา ทั้งสองต่างร้องขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้า และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนร่างกายของทั้งคู่ ทำให้เงาสะท้อนของทั้งคู่ที่กอดกันอยู่นั้นทอดยาวออกไป ดูแล้วชั่งหวานชื่นเป็อย่างมาก
“เ้าเจ็บหรือไม่?” หรงซิวเป็ห่วง เป่าให้นาง ทำให้ร่างของทั้งสองยิ่งเข้าใกล้กัน บรรยากาศดีๆ ทำให้หรงซิวอดใจมิไหว จนต้องก้มจุมพิตนาง
จูบที่อ่อนโยนนี้ ประดุจดั่งถูกกับขนนิ่มๆ ที่มาโดนอย่างระมัดระวัง
อวิ๋นอี้หน้าแดง พูดพึมพำขึ้นมา ไม่รู้เขาได้ยินหรือไม่ เขาอุ้มนางไปที่ชายทะเล
คลื่นทะเลม้วนเป็เกลียวกลิ้งเข้ามา ผิวทะเลสีฟ้าครามก็เป็ประกายสีขาวระยิบระยับ งดงามราวกับม้วนหิมะนับพันกอง
อวิ๋นอี้ไม่รอช้ารีบถอดรองเท้า เปลือยเท้าวิ่งลงไปเล่น หรงซิวเป็ห่วงความปลอดภัยของนาง จึงคอยตามอวิ๋นอี้อยู่ตลอด
เขายิ้มอยู่ นางก็กำลังสนุก คลื่นทะเลนั้นทำให้เสื้อผ้าและใบหน้าของนางเปียก นางก็หาสนใจไม่ กลับยิ่งสนุกมากขึ้นด้วยซ้ำ
จู่ๆ อวิ๋นอี้ก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา สาดน้ำไปที่เขา หรงซิวไม่ทันระวัง ถูกน้ำเค็มจากทะเลไปกระเซ็นติดขนตา
แสงสาดส่องมา เขาก็มองผ่านหยดน้ำออกไป ทำให้ได้เห็นภาพความสวยอ่อนช้อยของอวิ๋นอี้ ที่งดงามราวกับฝัน
ทั้งสองเล่นน้ำกันอย่างสนุกไปจนถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง จนในที่สุดทั้งคู่ก็หมดแรง
สาวน้อยเท้าเปล่า พยายามจะปีนขึ้นไปบนหลังของเขา หรงซิวแกล้งนางไม่ให้ปีนขึ้นได้ ก็เห็นนางที่เริ่มหงุดหงิด จึงรีบคว้าตัวนางอุ้มขึ้นมา
เมื่อใกล้่กลางวัน ทั้งคู่ก็กลับจากทะเล พวกเขาหาที่พักร่มๆ พักผ่อน ให้ยาชิงไปจับปลาสักกี่ตัว มาย่างไฟ
ปลาถูกทาด้วยน้ำมัน ผ่านไปสักพักเริ่มมีเสียงฟู่ และมีกลิ่นหอมลอยออกมา
อวิ๋นอี้สูดดมกลิ่นหอมฟึดฟัด อยากทานมากแล้ว จนปลาตัวแรกย่างเสร็จ ก็รีบคว้ามาทานอย่างทันควัน
นางจับหัวปลา ตั้งใจทานอย่างใจจดใจจ่อ หรงซิวเห็นก็อดกลั้นขำมิได้ “ช้าๆ หน่อยสิ เหตุใดเ้าถึงได้เหมือนลูกแมวนักนะ?”
หลังจากทั้งสองทานอาหารกันเสร็จ อวิ๋นอี้ก็จำใจอำลาทะเลและเดินทางกลับ
ผู้ใดจะไปรู้ว่ารถม้านั้นหยุดลงกลางทาง แล้วเข้าไปในป่าลึก
อวิ๋นอี้จ้องมองไปที่หรงซิวอย่างสงสัยพร้อมพูดว่า “เราจะไปที่ใดกันหรือเพคะ?”
เขายิ้มด้วยใบหน้าลึกลับ “เอาเ้าไปขาย”
เชิงอรรถ
[1] หูได้ยินถึงหกสาย ตาเห็นถึงแปดทิศ 耳听六路眼观八方 หมายถึง คนประสาทััไว สามารถรับรู้ได้หลากทิศทาง