“ขอบคุณสำหรับการตอบคำถามที่น่าตื่นตาตื่นใจของผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 15 ลำดับต่อไปขอเชิญผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 16 มาจาก...”
ถึงหมายเลข 16 แล้ว
ซึ่งหมายความว่าการบันทึกภาพของวันนี้เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงกว่าก็เป็อันสิ้นสุด คนของสถานีโทรทัศน์เองก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เพราะหลังผ่านหมายเลข 16 ก็จะถึงเวลาแสดงทักษะการพูดของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วน่ะสิ
ระดับความสามารถของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อย่างไรกันแน่ กรรมการจะลำเอียงหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เ้าหน้าที่จากสถานีโทรทัศน์อยากรู้มาตลอด
แม้จะซื้อตัวคณะกรรมการไม่ได้ แต่ก็คงสามารถไปหาผู้เชี่ยวชาญอย่างแคทเธอรีนได้ใช่หรือเปล่า?
ทว่าแคทเธอรีนเพียงคนเดียวไม่มีสิทธิ์ขาดถึงเพียงนั้น คะแนนสูงสุดและต่ำสุดจะถูกตัดออกไปก่อนจะคิดคะแนนเฉลี่ย โดยวิธีการคิดคะแนนเช่นนี้ลอกเลียนมาจากการแข่งขันกีฬา ว่ากันว่าวิธีนี้เป็การตัดสินที่ยุติธรรมมากกว่าวิธีการทั่วไป
หากกรรมการอย่างแคทเธอรีนให้คะแนนสูงสุดเพียงคนเดียว ความจริงแล้วก็ไม่เป็ผล เพราะถึงอย่างไรตอนคิดคะแนน คะแนนสูงสุดก็จะถูกตัดออกอยู่ดี
“สิ่งที่ได้ยินอาจจะไม่ใช่เื่จริงเสมอไป ดังนั้นพวกเราควรตั้งใจดูด้วยตัวเอง”
สหายาุโไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้น เพราะเขามีความคิดที่ล้ำลึกกว่าคนอื่น แม้ตอนแรกเขาจะรู้สึกใในการกระทำของหวังก่วงผิงเช่นกัน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติของเื่นี้ เื่แบบนี้พูดกับพวกคณะกรรมการก็พอแล้วไม่ใช่หรือ อยากใช้เส้นสายเพื่อให้ได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ทำไมต้องฝากฝังกับคนของสถานีโทรทัศน์ด้วยเล่า?
การได้ออกทีวีพร้อมกับคว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาได้ แน่นอนว่ากล้องย่อมจับภาพเยอะกว่าคนอื่นเป็ธรรมดา
จากจุดนี้ วันนี้ตอนอยู่ที่ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร การกระทำของรองหัวหน้าหวังค่อนข้างแปลกประหลาดมากทีเดียว อย่างไรก็ตามก่อนได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเซี่ยเสี่ยวหลาน ใครเล่าจะอยากออกมาโต้แย้งแทนเธอ ทุกคนล้วนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป เ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายอุดมศึกษาอาจจะสามารถข่มขู่บรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วไปได้ แต่คนระดับศาสตราจารย์สวีกั๋วจาง คำพูดของรองหัวหน้าหวังย่อมใช้ไม่ได้ผลแน่นอน
ศาสตราจารย์สวีตั้งใจถามชื่อและมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ เฮ้อ รองหัวหน้าหวังกำลังช่วยนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานเสียที่ไหน นี่มันคือการทำร้ายคนอื่นชัดๆ !
คิดถึงตรงนี้ สหายาุโก็กล่าวเสียงเบา “พวกคุณอย่าเพิ่งใจร้อนไป พวกศาสตราจารย์สวีนั้นเชื่อถือได้ แม้ระดับภาษาอังกฤษของพวกเราจะไม่สามารถเป็กรรมการตัดสินใครได้ แต่ก่อนหน้านี้มีผู้เข้าแข่งขันอีกสิบกว่าคนให้เปรียบเทียบอย่างน้อยก็คงจะพอมองออกอยู่บ้าง วางใจเถอะ ของปลอมไม่มีทางกลายเป็ของแท้ และของแท้ก็ไม่มีวันกลายเป็ของปลอมเช่นกัน!”
สหายผู้นี้มีประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน ดังนั้นจึงสามารถช่วยสอนสหายหนุ่มสาวทั้งหลายได้
สหายหนุ่มคนหนึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็อดทนรอผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 17 อย่างเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นมาบนเวที พอวิเคราะห์ดูแล้ว โฉมหน้าที่แท้จริงของเื่ราวนี้ยังคลุมเครือและเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ แต่ที่แน่ๆ อคติของเขาที่มีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานได้เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
หากนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสามารถจริง แต่หากถูกรองหัวหน้าหวังทำเช่นนี้ ต่อให้ได้อันดับดีมากเพียงใดคนในห้องส่วนตัวอยู่กันเยอะแบบนั้นย่อมมีข่าวลือแพร่ออกไปอย่างแน่นอน และคงพากันคิดว่าที่เธอสามารถคว้ารางวัลมาได้เพราะใช้เส้นสายน่ะสิ
ไม่รู้ว่าความจริงของเื่นี้จะมีความเป็มาอย่างไรกันแน่ คงทำได้แต่รอดูไปก่อนเท่านั้น
พอหมายเลข 15 ลงจากเวที และหมายเลข 16 ก็เดินขึ้นมาบนเวที ผู้ชมด้านล่างที่รู้จักเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีอาการกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที นั่นเป็เพราะใกล้จะถึงลำดับของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเตรียมตัวพร้อมหรือยัง
หมายเลข 16 เป็นักศึกษาชาย หน้าตาสุภาพสะอาดสะอ้าน เพียงพูดคำแรกออกมาก็ทำให้คนรู้สึกดีไม่ใช่น้อย
แม้ผลการสอบข้อเขียนของเขาอยู่อันดับที่ 16 แต่กลับแสดงความสามารถด้านการพูดได้อย่างยอดเยี่ยม ดีกว่าผู้เข้าแข่งขันก่อนหน้านี้หลายคน สุดท้ายเขาก็ได้คะแนนไปถึง 97.5 คะแนน เป็รองแค่หมายเลข 1 เท่านั้น... ถ้านักศึกษาอีกสี่คนรวมถึงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คะแนนมากกว่านี้ นักศึกษาชายหมายเลข 16 กับนักศึกษาหญิงหมายเลข 1 ก็จะได้เป็สองอันดับแรก ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองเป็ผู้ได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศนั่นเอง
รางวัลชนะเลิศระดับประเทศมีจำนวนทั้งหมด 2 รางวัล รางวัลชนะเลิศมี 6 รางวัล และคนที่ได้อันดับ 9 และ 10 จะได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง
แม้ย่าโจวจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก แต่เธออ่านคะแนนออกแน่นอน
“คะแนนสูงมากเลยนะ ตอนนี้อยู่อันดับที่สองใช่ไหม”
กวนฮุ่ยเอ๋อพยักหน้ารับ “หมายเลข 1 ได้ 97.9 คะแนน หมายเลข 16 คนนี้ได้ 97.5 คะแนนค่ะ”
แค่ 0.1 คะแนนก็สำคัญมากแล้ว ผู้เข้าแข่งขันของการแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษที่จัดขึ้นเป็ครั้งแรกล้วนมีความสามารถที่น่าชื่นชม ได้ยินว่านักศึกษาที่เรียนสาขาภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งถูกสั่งห้ามไม่ให้ลงสมัครด้วย มิเช่นนั้นการแข่งขันคงดุเดือดยิ่งกว่านี้ กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ไม่คาดหวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ แต่ถ้าโชคดีสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
หากพูดออกไปก็ไม่น่าขายหน้าสักนิด รางวัลชนะเลิศเท่ากับเป็ 8 อันดับแรกของประเทศ เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับเกียรติยศเช่นนี้ ต่อไปหากต้องทำงานที่ใช้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เธอคงผ่านมันไปได้อย่างสบายๆ
แน่นอนว่าแค่ได้ผ่านเข้าสู่รอบทักษะการพูดก็เท่ากับสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งมาครองแล้วอย่างแน่นอน และถือว่าเป็ 20 อันดับแรกของประเทศด้วยเช่นกัน
กวนฮุ่ยเอ๋อเป็คนมองโลกกว้าง เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเธอเสียหน่อย เธอจะมีสิทธิ์อะไรไปคาดหวังสูงเช่นนั้น พูดตามตรง หากให้ลูกชายเธออย่างโจวเฉิงมาสอบภาษาอังกฤษคงไม่ผ่านั้แ่รอบแรกแน่นอน!
ทว่าย่าโจวนั้นกลับเชื่อมั่นใจตัวเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเต็มเปี่ยม หลังฟังคำพูดของกวนฮุ่ยเอ๋อจบ หญิงชราก็พึมพำกับตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวหลานต้องทำคะแนนให้ได้สัก 98 คะแนนถึงจะชนะสินะ”
ผู้ชมที่นั่งอยู่ข้างๆ หญิงชรารู้สึกทนไม่ไหว ถึงกับหันมามองย่าโจว นี่คงเป็ญาติของหมายเลข 17 ใช่หรือไม่ พูดจาไม่ถ่อมเอาตัวเสียเลย คิดว่าหลานตัวเองเก่งที่สุดหรืออย่างไรกัน!
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกอายมาก ทว่าย่าโจวกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่สนใจความคิดคนอื่นอยู่แล้ว
ในที่สุดเหล่าคณะกรรมการก็ฟังหมายเลข 16 ตอบคำถามจนเสร็จสิ้น จากนั้นพิธีกรจึงเริ่มแนะนำตัวผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 17 ทันที
“ยินดีต้อนรับผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 17 ของพวกเรา เธอมาจากมหาวิทยาลัยหัวชิง เป็หนึ่งในสองคนจากหัวชิงที่ผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้าย คนแรกคือจงไฉ่ ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 8 และอีกหนึ่งคนก็คือผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่เวทีการแข่งขัน หมายเลข 17 นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน....”
“สู้ๆ นะ เสี่ยวหลาน!”
จงไฉ่กอดเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะเดินไปที่ทางส่งตัว
หน้าตาของเธอสวยมากจริงๆ !
รออยู่นานหลายชั่วโมงแต่สีหน้ายังคงดูสดใส ต่อให้อยู่หน้ากล้องก็ไร้ที่ติ ที่ว่ากันว่าคนเราเวลาออกกล้องมักจะดูอ้วนขึ้นเป็ห้ากิโลกรัมย่อมไม่ใช่เื่ล้อเล่น ถ้าโครงหน้าค่อนข้างแบนเรียบล่ะก็ เพียงออกกล้องก็จะดูเหมือนอ้วนขึ้นเป็สิบกิโลกรัม แน่นอนว่าปัจจุบันคงไม่มีทางดูอ้วนขึ้นถึงขนาดนั้น ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับเป็หนึ่งในบรรดาคนผอมที่มีใบหน้างดงามเหลือเกิน
ช่างเจริญหูเจริญตาเสียจริง
เป็นักศึกษาหญิงที่มีหน้าตาสวยหาตัวจับได้ยาก การแข่งขันลักษณะนี้หากจับภาพเธอเยอะหน่อยก็เป็เื่สมควรแล้วมิใช่หรือ?
“ก็คือเธอ...”
“ใช่ คนที่รองหัวหน้าหวังบอก”
“หน้าตาแบบนี้จำเป็ต้องฝากฝังอะไรเป็พิเศษเสียที่ไหนกัน”
อย่างน้อยๆ ก็ไม่จำเป็ต้องฝากฝังกับคนจากสถานีโทรทัศน์ ตากล้องไม่ใช่คนโง่ ผู้กำกับรายการเองก็ไม่โง่เช่นกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกประหลาด พวกเขาไม่เข้าใจความคิดของรองหัวหน้าหวังเลยจริงๆ
พิธีกรเองก็รู้สึกว่านักศึกษาหมายเลข 17 สวยจนแสบตาเหลือเกิน คนทั้งงานเงียบกริบไปชั่วอึดใจ เพราะความสนใจของทุกคนจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันงดงามของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน โปรดแนะนำตัวด้วยครับ”
การแนะนำตัวเป็ภาษาอังกฤษของผู้เข้าแข่งขันไม่ต่างกันมากนัก เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทางทำได้ดีไปกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตามทุกคนที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศล้วนเตรียมการแนะนำตัวล่วงหน้ามาแล้วด้วยกันทั้งนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักศึกษาเป็ผู้คิดขึ้นมาเอง แต่ยังมีความทุ่มเทของเหล่าอาจารย์รวมอยู่ด้วย พูดอย่างไรให้เป็ธรรมชาติ ทำอย่างไรให้กรรมการจดจำ นี่ต่างหากคือเป้าหมายหลักของการแนะนำตัว
หากพูดถึงเื่การเรียนภาษาอังกฤษ ความจริงแล้วอาจารย์หลินเองก็อยากรู้วิธีเรียนภาษาอังกฤษของเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นกัน
ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานบอกกับอาจารย์หลินว่าไม่มีอะไรเป็พิเศษ
“ดิฉันท่องศัพท์จากพจนานุกรมเก่าเล่มหนึ่งซ้ำๆ ศัพท์ที่ยากเกินไปไม่สนใจ ดิฉันเลือกท่องเฉพาะศัพท์ง่ายๆ ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้วค่อยเรียนรู้เื่ไวยากรณ์ค่ะ ระหว่างท่องจำดิฉันจะทำการสรุประบบแบบแผนและท่องคำศัพท์ตามหลักการเหล่านี้ เพราะนั่นจะทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ”
อาจารย์หลินเงียบไปสักพัก
ไม่มีใครช่วยแนะนำวิธีเรียนที่ถูกต้อง แต่ระดับภาษาอังกฤษของเซี่ยเสี่ยวหลานกลับค่อยๆ พัฒนาขึ้นด้วยวิธีนี้
“ถ้าอย่างนั้นตอนแนะนำตัว เธอก็พูดไปตามจริงเสีย”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าการใส่ร้ายป้ายสีของหวังก่วงผิงจะได้ผลหรือไม่ แต่การที่เธอเห็นน้าจานนั่งอยู่ตรงโต๊ะกรรมการนั้นไม่ใช่เื่น่ายินดีอะไร ตรงกันข้ามกลับยิ่งดูน่าสงสัยว่าเธอจะใช้เส้นสาย นั่นก็เป็เพราะเธอรู้จักกับกรรมการจริงๆ น่ะสิ!
ช่างเถิด พูดตามจริงไปแล้วกัน
“...ที่ชนบทไม่มีสภาพแวดล้อมในการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี ดิฉันจึงไม่เคยเจออาจารย์อาสาผู้เสียสละเดินทางมาสอนวิชาภาษาอังกฤษในชนบท และไม่เคยได้รับคำแนะนำจากนักวิชาการที่ถูกส่งมาทำงานที่คอกวัวแม้แต่คนเดียว ดังนั้นพจนานุกรมเล่มเก่าที่ได้มาโดยบังเอิญจึงเป็เครื่องมือเดียวที่ใช้ในการเรียนรู้ ท่องไปทีละหน้า เมื่อเรียนรู้คำศัพท์ง่ายๆ ได้แล้ว ก็จะลองแปลบทความในหนังสือเรียนวิชาภาษาจีนด้วยคำศัพท์ที่ท่องจำมา ดิฉันคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแล้วค่ะ”