ตอนที่ 4 การเดินทางสู่ใจกลางแห่งทะเลทราย
ก่อนรุ่งสางของวันใหม่ ท้องฟ้ายังคงเป็สีน้ำเงินเข้มปนเทา มีเพียงแสงดาวระยิบระยับอยู่ห่างๆ อัญชลีมายืนรออาบู ฟาห์รีที่หน้าโรงแรมตามที่นัดหมายไว้ เธอเตรียมตัวพร้อมสรรพด้วยเสื้อผ้าที่ทนทานกว่าเดิม ขวดน้ำขนาดใหญ่หลายขวด และอุปกรณ์จำเป็ที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าเป้สะพายหลัง เธอมองเห็นเงารถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้า มันคือรถจี๊ปโฟร์วีลไดรฟ์รุ่นเก่าที่ดูเหมือนผ่านสมรภูมิมานับร้อยคัน สีของรถซีดจางไปตามกาลเวลา ตัวถังบุบๆ บี้ๆ เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้และเศษหิน แต่ดูแข็งแรงทนทานเหมือนเครื่องจักรที่ถูกสร้างมาเพื่อพิชิตทะเลทรายโดยเฉพาะ
อาบู ฟาห์รีอยู่ในชุดพื้นเมืองสีเข้ม ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ แต่แววตาของเขากลับมีประกายบางอย่างที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นเมื่อได้เห็นคุณอัญชลี "ขึ้นมา" เสียงของเขาแหบพร่าและสั้นห้วน ไม่มีการทักทายหรือคำพูดใดๆ เกินความจำเป็
อัญชลีเก็บสัมภาระขึ้นรถ ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับ รถจี๊ปสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงกระหึ่ม แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากขอบเมืองที่ยังคงหลับใหลอย่างช้าๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์เริ่มทอประกายเป็สีทองอยู่ลิบๆ ขับไล่ความมืดมิดให้จางหายไป เผยให้เห็นผืนทะเลทรายสีทองอร่ามที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ราวกับมหาสมุทรแห่งผืนทรายอันไร้ขอบเขต ที่นี่ไม่มีถนนลาดยาง มีเพียงร่องรอยของล้อรถที่ทิ้งไว้บนพื้นทรายเป็บาง่ และร่องรอยเ่าั้ก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญกับลมและทราย
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง รถจี๊ปโยกโคลงไปมาตามภูมิประเทศที่ขรุขระ อาบู ฟาห์รีขับรถได้อย่างชำนาญราวกับเป็ส่วนหนึ่งของทะเลทราย เขารู้จักทุกซอกทุกมุมของผืนทรายแห่งนี้ รู้จักวิธีหลีกเลี่ยงเนินทรายที่อาจทำให้รถติด และรู้จักเส้นทางที่แม้แต่แผนที่สมัยใหม่ก็ไม่อาจบันทึกไว้ได้ อัญชลีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแต่ผืนทราย ท้องฟ้า และความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็ความงดงามที่น่าเกรงขาม และในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
"ทะเลทรายแห่งนี้มีชีวิตของมันเอง" อาบู ฟาห์รีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคุณอัญชลีสะดุ้งเล็กน้อย "มันสามารถมอบชีวิตและพรากชีวิตไปได้ในเวลาเดียวกัน... จงอย่าประมาท"
อัญชลีพยักหน้า เธอเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น การเดินทางไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แดดก็เริ่มแผดเผาอย่างรุนแรง อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศร้อนจัดจนหายใจลำบาก ิัแสบร้อนจากแสงแดดที่ทะลุผ่านกระจกรถเข้ามา เธอรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรง แต่ก็พยายามจิบน้ำเท่าที่จำเป็ตามที่อาบู ฟาห์รีแนะนำ
อุปสรรคแรกมาถึงใน่บ่าย ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะสูงสุด จู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสก็เริ่มเปลี่ยนเป็สีเหลืองส้มเข้ม ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดเอาเม็ดทรายละเอียดนับล้านเม็ดปลิวว่อนขึ้นมาบนอากาศ อาบู ฟาห์รีหรี่ตาลง มองไปที่ขอบฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"พายุทรายกำลังมา" เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความตึงเครียด
อัญชลีรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เธอเคยเห็นพายุทรายในภาพยนตร์ แต่ไม่เคยจินตนาการว่ามันจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ เม็ดทรายที่พัดมากับลมแรงกระหน่ำเข้าใส่ตัวรถราวกับลูกเห็บ สร้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทัศนวิสัยเริ่มเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว จนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย อาบู ฟาห์รีรีบจอดรถในซอกหินขนาดใหญ่ที่เขาเคยสำรวจพบเมื่อนานมาแล้ว เพื่อหลบกำบังจากพายุ เขาสั่งให้อัญชลีปิดหน้าต่างทุกบานและห้ามลงจากรถเด็ดขาด
ภายในรถเต็มไปด้วยเสียงกระหน่ำของเม็ดทรายที่กระทบตัวถังรถ แรงลมพัดจนรถโยกโคลงไปมา อัญชลีรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในกล่องที่กำลังถูกเขย่าอย่างรุนแรง เธอปิดตาแน่น พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็ปกติ แต่ความกลัวก็เข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกเดียวดายท่ามกลางพายุที่กำลังโหมกระหน่ำทำให้เธอรู้สึกเปราะบางเหลือเกิน เธอไม่รู้ว่าพายุจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ และเธอจะปลอดภัยหรือไม่ อาบู ฟาห์รีนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมา แต่แววตาของเขาจับจ้องไปยังพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอกอย่างเคร่งเครียด
พายุโหมกระหน่ำอยู่เกือบสองชั่วโมง ก่อนจะเริ่มสงบลงอย่างช้าๆ เมื่อพายุทรายผ่านไป ทั่วทั้งบริเวณก็ถูกปกคลุมไปด้วยทรายหนาทึบ เนินทรายบางแห่งถูกเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างสิ้นเชิง รถจี๊ปของพวกเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยทรายจนแทบมองไม่เห็น อัญชลีรู้สึกเหมือนผ่านพ้นความตายมาได้อีกครั้ง เธอสูดลมหายใจลึกๆ พยายามเรียกสติกลับคืนมา
"ไม่เป็ไรนะ" อาบู ฟาห์รีถามเสียงแหบพร่า
อัญชลีพยักหน้า แม้จะยังคงตัวสั่นเล็กน้อย "ค่ะ... ไม่เป็ไร"
การเดินทางต่อหลังจากพายุทรายหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม เส้นทางที่เคยเป็ร่องรอยถูกทรายกลืนกินไปจนหมดสิ้น อาบู ฟาห์รีต้องใช้ความรู้และสัญชาตญาณทั้งหมดในการหาเส้นทาง เขาหยุดรถบ่อยขึ้นเพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเนินทรายสูงเพื่อมองหาเส้นทาง แต่ก็ดูเหมือนจะยากลำบากยิ่งนัก
แล้วอุปสรรคที่สองก็มาถึง รถจี๊ปของพวกเขาเริ่มมีปัญหา เครื่องยนต์ส่งเสียงไอค่อกแค่ก ก่อนจะดับสนิทลงกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง อาบู ฟาห์รีพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เขาเปิดฝากระโปรงรถ ตรวจสอบเครื่องยนต์ด้วยสีหน้าหนักใจ
"อะไรเสียคะอาบู ฟาห์รี" คุณอัญชลีถามด้วยน้ำเสียงกังวล
"ปั๊มน้ำมันมีปัญหา" เขาตอบสั้นๆ "เราต้องเดิน"
คำพูดนั้นราวกับค้อนทุบลงกลางใจของอัญชลี พวกเขาอยู่กลางทะเลทรายที่ไร้ผู้คน ห่างจากจุดหมายปลายทางอีกหลายสิบกิโลเมตร การเดินเท้าในทะเลทรายที่กว้างใหญ่และร้อนระอุเช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่ายเลย แต่อัญชลีก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น เธอหยิบขวดน้ำและเสบียงเท่าที่จำเป็ใส่กระเป๋าเป้สะพายหลัง และคว้าแผนที่ของพ่อติดมือไปด้วย
อาบู ฟาห์รีนำทาง เธอเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความร้อนที่แผดเผาและทรายที่จมลงไปทุกย่างก้าว ระยะทางดูเหมือนจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด แสงแดดที่ร้อนจัดทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ไปหมด อัญชลีเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เข้าครอบงำร่างกายอย่างรุนแรง แต่เธอก็พยายามก้าวเท้าต่อไป ไม่ยอมแพ้ เธอจ้องมองไปที่จี้รูปกลุ่มดาวนายพรานที่สวมติดตัว พลังงานจากมันยังคงเต้นระริกให้กำลังใจเธอ เธอเชื่อมั่นว่าพ่อของเธอกำลังรอเธออยู่ และความเชื่อนั้นคือแรงผลักดันเดียวที่ทำให้เธอยังคงเดินต่อไปได้
อาบู ฟาห์รีดูเหมือนจะไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินนำหน้าไปอย่างมั่นคง ราวกับเป็ส่วนหนึ่งของทะเลทราย อัญชลีเดินตามเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็สีส้มแดง งดงามราวกับภาพวาด
"เราพักตรงนี้" อาบู ฟาห์รีบอก เขาหยุดเดินที่ซอกหินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เป็จุดที่พอจะหลบกำบังจากลมหนาวของทะเลทรายยามค่ำคืนได้ อัญชลีทรุดตัวลงนั่งทันทีที่ได้รับอนุญาต ร่างกายของเธออ่อนล้าจนแทบขยับไม่ได้
อาบู ฟาห์รีก่อไฟกองเล็กๆ ขึ้นจากเศษไม้แห้งที่เขาเก็บสะสมไว้ ไฟที่ลุกโชนให้ความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยท่ามกลางความมืดมิดที่เข้าปกคลุม พวกเขานั่งกินอินทผลัมและขนมปังแห้งอย่างเงียบๆ อาบู ฟาห์รีมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง ก่อนจะชี้ไปที่กลุ่มดาวนายพราน
"กลุ่มดาวนายพราน... มันเป็ดาวนำทางของชาวเรา" เขาเอ่ยขึ้น "มันจะนำทางเ้าไปยังสิ่งที่เ้ากำลังตามหา"
อัญชลียกมือขึ้นกุมจี้รูปกลุ่มดาวนายพรานที่สวมติดตัว เธอรู้สึกถึงพลังงานที่เชื่อมโยงเธอเข้ากับดวงดาวเ่าั้ และความเชื่อที่ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
รุ่งเช้าของวันต่อมา การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง อัญชลีรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในยามค่ำคืน แต่ความกระหายน้ำยังคงเป็ปัญหาใหญ่ น้ำในขวดเหลือน้อยลงทุกที แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่น เธอรู้ว่าอาบู ฟาห์รีกำลังนำเธอไปในทิศทางที่ถูกต้อง
แล้วในที่สุด! หลังจากเดินเท้ามาได้เกือบตลอดวัน ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง อัญชลีก็มองเห็นเงาบางอย่างอยู่ลิบๆ ขอบฟ้า มันไม่ใชู่เา แต่ดูเหมือนจะเป็กลุ่มสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านของทรายและแสงแดดที่เจิดจ้า
"นั่นคือที่หมายของเ้า" อาบู ฟาห์รีบอก เสียงของเขาแหบพร่า แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
อัญชลีรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ เธอมองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง แม้จะอยู่ไกลออกไป แต่เธอก็ััได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากที่นั่น พลังงานที่ทรงอำนาจ ลึกลับ และเก่าแก่เกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ มันคือความรู้สึกที่คล้ายกับเสียงกระซิบจากดวงดาวที่เรียกหาเธอมาตลอดชีวิต
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ขึ้น อัญชลีก็มองเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น มันคือซากปรักหักพังของเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่ถูกกลืนกินด้วยผืนทรายมานานนับพันปี กำแพงหินทรายสูงตระหง่านบางส่วนยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ท่ามกลางเนินทรายที่โอบล้อมเอาไว้ ยอดอาคารบางแห่งเผยให้เห็นสถาปัตยกรรมที่วิจิตรบรรจงและแตกต่างจากอารยธรรมใดๆ ที่เธอเคยศึกษามา มันเป็ดินแดนที่งดงามและลึกลับราวกับภาพฝันที่หลุดออกมาจากตำนานโบราณ อัญชลีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ก้าวเข้ามาสู่ใจกลางของความลับที่เฝ้าตามหามาตลอดชีวิต
"อัล-ซาฟีร่า..." คุณอัญชลีพึมพำ ชื่อที่เคยเป็เพียงตำนาน บัดนี้อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอััได้ถึงพลังงานที่มองไม่เห็นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ พลังงานที่เต้นระริกในกายของเธอ ราวกับเสียงของอดีตที่กำลังกระซิบเรียกหา มันเป็ความรู้สึกที่ทั้งน่าอัศจรรย์และน่าหวาดหวั่นในคราวเดียวกัน เธอรู้ว่าเธอได้มาถึงที่หมายแล้ว ที่แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการไขปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ
////****////
