ใบหน้าซีกล่างของเหลียนเซวียนแข็งค้าง ดวงตาสีนิลจดจ้องผูหยางชิงหลันผู้ซึ่งปากไม่มีหูรูดอย่างสงบนิ่ง
ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้วยิ้มเยาะแสดงการยั่วยุอย่างเปิดเผย สีหน้าบ่งบอกว่าเ้าจะทำอะไรข้าได้ ดวงหน้าหล่อเหลาทรงภูมิหลุดความเกกมะเหรกออกมา
อวี๋เฟิงหยางเม้มริมฝีปาก ดวงหน้าอ่อนเยาว์เผยความจนใจเป็ที่สุด เหตุใดอาจารย์ถึงไปยั่วประสาทอาจารย์อาอีกแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นมองสีหน้ายั่วยุของผูหยางชิงหลัน ก่อนหันมามองเหลียนเซวียนซึ่งมีไฟโทสะลุกโชนในดวงตา
แม้จะเกิดความสงสัยใคร่รู้ และคันๆ แสบๆ เหมือนถูกแมวข่วนแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่เลือกเข้าไปถามเวลานี้
"ศิษย์พี่้าหาโรงบ่มสุรา ไยทิ้งใกล้ไปเลือกเสียไกลเล่า ลืมหอสุราเฟิ่งซีไปแล้วหรือ" เหลียนเซวียนข่มอารมณ์ลงไปสู่ก้นบึ้ง แล้วค่อยๆ เอ่ยวาจาออกมา
ผูหยางชิงหลันเผยสีหน้างุนงง คิ้วเลิกสูงลดต่ำลงมา
"ลืมไปว่าหอสุราเฟิ่งซีคือโรงบ่มสุราของเ้า แต่สถานที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวง มาบอกตอนนี้ไม่มีประโยชน์
แม้ปากจะบอกว่าไร้ประโยชน์ แต่ท้ายที่สุดกลับไม่ใช้วาจาแดกดันเขาอีก เพราะไม่แน่ว่าภายหน้าอาจต้องยืมใช้งานคนจากโรงบ่มสุราของผู้อื่น
"ศิษย์พี่ไม่คิดจะกลับเมืองหลวงรึ" เหลียนเซวียนถามกลับเสียงเรียบ
เส้นเืที่หน้าผากของผูหยางชิงหลันเต้นตุบๆ ั์ตาที่จ้องอีกฝ่าย ประหนึ่งเขียนอักษรไว้ว่า เกี่ยวอะไรกับเ้า
มุมปากของเหลียนเซวียนยกสูง หลังจากทิ่มแทงจุดอ่อนของเขากลับไปบ้าง อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก แต่ยามหันไปเห็นดวงตาดำขลับของเซวียเสี่ยวหรั่น ก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมารำไร
หลังมื้อเที่ยง กว่าเซวียเสี่ยวหรั่นจะหาทางปลีกตัวหนีคำถามสารพัดของผูหยางชิงหลันกลับไปซ่อนในห้องของตนเองได้ก็แสนยากเย็น
อูหลันฮวาฉวยโอกาสเข้ามา
"คุณหนู หงกูบอกว่าพรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปเมืองเฉียนเฟิง แต่พวกเขาจะไปที่อื่นหรือเ้าคะ" อูหลันฮวาชี้ไปที่ห้องเหลียนเซวียน
"อื้อ พวกเขามีธุระต้องไปจัดการ พวกเราจะไปอยู่ที่เมืองเฉียนเฟิงก่อน่หนึ่ง" เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบแบบฝึกคัดอักษรออกมา สองวันมานี้ไม่ค่อยได้ฝึกเขียนเท่าไร ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ควรเขียนชดเชยเสียหน่อย
อูหลันฮวาช่วยฝนหมึกให้
"คุณหนูหลังจากไปถึงเมืองหลวง พวกเราจะติดตามคุณชายเหลียนตลอดเลยหรือเ้าคะ"
มือของเซวียเสี่ยวหรั่นหยุดชะงัก ก่อนจะสั่นศีรษะ ลดเสียงเอ่ยว่า "แน่นอนว่าไม่ พวกเราจะซื้อเรือนเล็กๆ สักหลัง สร้างครอบครัวกันเอง หากเป็ไปได้ก็ซื้อร้านค้าขนาดย่อมสักร้าน ต่อไปจะได้ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ"
จะพึ่งพาเหลียนเซวียนตลอดไปได้อย่างไร เธอไม่ได้เป็อะไรกับเขาสักหน่อย แค่เขาปกป้องคุ้มครองจนไปถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ก็เป็ความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว
มีเซวียเสี่ยวเหล่ยอยู่ พวกนางสามารถสร้างครอบครัวเอง ทำการค้าเล็กน้อยได้อย่างไม่มีปัญหา ประกอบกับมีเงินปันส่วนจากวาณิชสกุลเมิ่ง ชีวิตคงไม่ย่ำแย่เกินไปนัก
เซวียเสี่ยวหรั่นเล่าภูมิหลังของตนเองให้พวกเขาฟังว่า บ้านเกิดของเธอเป็เพียงเมืองเล็กๆ อยู่ห่างไกล ในตระกูลไม่มีญาติสายตรงเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นจึงวางแผนจะไปลงหลักปักฐานละแวกใกล้เคียงกับเมืองหลวง ไม่คิดจะหวนกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอีก
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยไม่นึกกังขา หลายปีมานี้ภายในแคว้นหลีชุลมุนวุ่นวาย บางแห่งเกิดศึกา ผู้คนาเ็ล้มตายนับไม่ถ้วน บุตรกำพร้าไร้พ่อขาดแม่มีถมไป พวกเขาสองคนก็เป็เด็กที่ไม่มีบิดามารดา ด้วยภูมิหลังเช่นนี้ จึงยิ่งรู้สึกผูกพันกับเซวียเสี่ยวหรั่น
"เ้าค่ะ ข้าฟังคุณหนู คุณหนูไปไหนข้าก็จะไปที่นั่น" อูหลันฮวาพยักหน้าหงึกๆ
"อื้อ พวกเราสามคนจะมีชีวิตที่ดี" เซวียเสี่ยวหรั่นทอยิ้มให้ "ได้ยินเสี่ยวเหล่ยบอกว่า่นี้ทักษะกระบองของเ้ากำลังไปได้สวย องครักษ์เหลยชมเชยเ้าอยู่เป็ประจำ"
อูหลันฮวาสีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที "ถึงแม้ว่าข้าจะเรียนรู้ช้า แต่กำลังวังชาข้ามีมาก ดังนั้นจึงเป็จุดแข็ง องครักษ์เหลยบอกว่ารอข้าฝึกกระบองให้สำเร็จ ก็สามารถรับมือกับบุรุษตัวใหญ่แปดคนสิบคนได้สบาย"
"ขนาดฝึกยังไม่สำเร็จ เ้าก็ล้มบุรุษตัวใหญ่แปดคนสิบคนได้แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางกล่าวชมเชย
อูหลันฮวาหัวเราะแหะๆ นึกถึงตอนพบโจรป่า นางไม่เป็วิชากระบองอะไรทั้งนั้น ก็ยังจัดการบุรุษสูงใหญ่ได้นับสิบ
"หลันฮวา ฝึกให้ดี ต่อไปครอบครัวเราต้องพึ่งพาเ้ากับเสี่ยวเหล่ยแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่มีพร์ด้านฝึกยุทธ์ คิดจะฝึกก็ไม่ทันแล้ว
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวาพยักหน้าอย่างแรง "คุณหนูวางใจได้ ข้าจะฝึกยุทธ์อย่างดี ต่อไปใครก็อย่าคิดมารังแกพวกเรา"
เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปากอมยิ้ม ก่อนเริ่มขยับพู่กัน "อักษรก็ต้องฝึกให้ดีเช่นกัน จะไม่รู้หนังสือไม่ได้"
ใบหน้าชื่นบานของอูหลันฮวาพลันห่อเหี่ยว "ข้ายินดีฝึกยุทธ์ แต่ไม่อยากฝึกเขียนอักษรเลยเ้าค่ะ"
พู่กันนุ่มๆ ไม่ใช่ของที่นางชอบเลยจริงๆ
"ฮ่าๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นชอบใจ เธอเองก็ไม่ชอบฝึกคัดอักษรสักเท่าไร พอเห็นอูหลันฮวาซึ่งไม่ชอบคัดอักษรยิ่งกว่า ก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
หมู่เรือนที่เหลียนเซวียนเหมาไว้ค่อนข้างใหญ่ ห้องพักของเซวียเสี่ยวหรั่นอยู่ถัดจากห้องรับแขกไปสองห้อง ระยะทางค่อนข้างไกล เธอคิดว่าเนื้อหาที่ตนเองกับอูหลันฮวาคุยกันไม่น่าจะได้ยินไปถึงห้องรับแขก
แต่น่าเสียดาย เธอประเมินความสามารถการได้ยินของพวกเขาผิดไป
ผูหยางชิงหลันมองเหลียนเซวียนด้วยสีหน้าแฝงนัย "เ้าคิดจะปิดบังสถานะไปถึงเมื่อไร"
"กลับไปถึงเมืองหลวงค่อยบอกก็ยังไม่สาย" สีหน้าของเหลียนเซวียนสงบนิ่ง
"กลับไปยังสถานที่โสมมแห่งนั้น ระวังจะพาผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย" ผูหยางชิงหลันชื่นชมสตรีผู้มีกิริยาวาจาไม่เหมือนผู้ใดคนนี้อยู่มาก
อีกอย่างต่อไปหากเขายังต้องไปสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะทางการแพทย์กับนาง แม้เ้าตัวจะบอกว่าไม่รู้วิชาแพทย์ แต่มีความคิดแปลกใหม่ของนางกลับช่วยเขาได้มาก ผูหยางชิงหลันย่อมไม่อยากให้นางมีอันเป็ไป
"เื่นี้ข้าย่อมมีขอบเขต"
เหลียนเซวียนไม่อยากคุยเื่เซวียเสี่ยวหรั่นกับเขา
"เชอะ มีขอบเขตอย่างไร ก็สู้แผนการโสมมของใครบางคนไม่ได้ เพราะความประมาทเลินเล่อ เ้าถึงต้องตกเป็เบี้ยล่างอยู่ย่างนี้ไม่ใช่หรือ"
ผูหยางชิงหลันแค่นเสียงเยาะ
ไม่มีคำไหนที่ไม่แฝงวาจาทิ่มแทง เหลียนเซวียนมองเขาเรียบๆ เอ่ยว่า "หย่งเจียเดือนห้านี้ก็จะครบยี่สิบสองแล้ว เ้าจะให้นางรอไปถึงเมื่อไร"
ผูหยางชิงหลันหน้าถอดสี เม้มริมฝีปากถลึงตาใส่เขา แต่กลับไม่เอ่ยปาก
"ศิษย์พี่ เื่เซวียนผิงโหวไม่ใช่ความผิดของท่าน"
ปลายปีมานี้เขาหลบเลี่ยงไม่กลับเมืองหลวง เหลียนเซวียนรู้ว่าเขามีปมในใจ เวลาผันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ควรจะคิดตกได้เสียที แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเขากลับเป็เหมือนหนึ่งลาดื้อ
ผูหยางชิงหลันหน้าซีดจนเขียว เขียวสลับไปแดง หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา "ข้าเองที่เป็ต้นเองนำความเดือดร้อนไปให้เขา"
"เื่อยู่เหนือความคาดหมาย ใครก็ไม่อาจพยากรณ์ล่วงหน้า เหตุใดต้องผูกมัดไว้กับตนเองด้วย อีกอย่างความแค้นก็สะสางไปแล้วมิใช่หรือ แม้แต่สถานะซื่อจื่อ [1] ท่านก็สละไปแล้ว ยังจะต้องเก็บมาใส่ใจอีกทำไม หย่งเจียใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข ่เวลาอันงดงามของสตรีมีจำกัด ท่านคิดจะให้นางรอตลอดไปเลยหรือ"
"ข้า... ไม่มีหน้าไปพบนาง" ผูหยางชิงหลันหน้าซีดราวกับกระดาษ
หากไม่ใช่ศัตรูที่เขาชักนำเข้ามา เซวียนผิงโหวก็คงไม่จากไปเร็วเพียงนั้น โรคเก่าของอาจารย์ก็คงไม่กำเริบทำให้เสียชีวิตในเวลาเพียงไม่ถึงปี
ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ผูหยางชิงหลันก็รู้สึกปวดร้าวใจยิ่งนัก
"เดิมทีโรคหัวใจของเซวียนผิงโหวมีอาการรุนแรง อายุของอาจารย์ก็มากแล้ว แต่ไรมาท่านก็ไม่เคยคิดตำหนิศิษย์" เหลียนเซวียนปลอบใจ
ผูหยางชิงหลันกลับส่ายหน้า "เ้าอย่าพูดอีกเลย เื่เหล่านี้ข้ารู้ดี"
เพียงแต่มิอาจฝ่าด่านในใจของตนเองไปเท่านั้น
...
[1] ซื่อจื่อเป็คำเรียกของทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา
