ลานฝึกฝนในขณะนี้มีร่างสีดำบึกบึนของหลวนซิงยืนประจัญหน้ากับหลิวอี้หลิวที่มีรูปร่างอ้อนช้อยตรงข้ามกันในระยะห้าเมตร
"หลวนซิง รีดเค้นการใช้ประสาทััการรับฟังของเ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือขั้นตอนแรกในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยที่ไม่จำเป็ต้องใช้ประสาทััทางการมองเห็น....หากเ้าสามารถตอบสนองและหลบหลีกกระบวนท่าของอี้หลิวหนึ่งครั้งในรอบห้ากระบวนท่าได้ หลังจากนั้นพวกเ้าทั้งสองต้องสลับตำแหน่งกันไปและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนกว่าเ้าจะหลบกระบวนท่าของกันและกันได้ทุกกระบวนท่า "ไป๋เฉินค่อยๆกล่าวชี้แนะในแต่ละชั้นตอน
"รับทราบ" หลวนซิงพยักหน้าตอบรับแต่โดยดี เขาสะบัดผ้าคาดสีดำปิดกั้นการมองเห็นโดยพลัน พลางะโเบาๆ "อี้หลิว เข้ามา!"
"เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ" หลิวอี้หลิวตั้งท่ายื่นฝ่ามือไปด้านหน้า ก่อนที่ขายาวเพรียงบางของนางพุ่งทะยานไปยังหลวนซิงด้วยความเร็วสายฟ้าแลบ
เนื่องจากนางเป็นักฆ่าที่มีฝีมือดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นฝีเท้าของนางจึงเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าฝีเท้าของสุนัข และอาจจะส่งผลให้ประสาทการรับฟังของหลวนซิงจะรับฟังได้ยากยิ่งขึ้น
นี่คือความยากในการฝึกฝนประสาทััการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ซึ่งเป็บทเรียนสำคัญที่ไป๋เฉินจำต้องให้พวกเขาคุ้นชินกับการตอบสนองโดยอัตโนมัติทุกๆการเคลื่อนไหว
ไป๋เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พลางหันไปหานักฆ่าทั้งเจ็ด "พวกเ้าเองก็เช่นกัน ให้ฝึกฝนประสาทััวันละหนึ่งชั่วยาม และเวลาว่างที่เหลือในชีวิตประจำวันข้าได้จดใส่ม้วนกระดาษให้พวกเ้าทำตามไว้จนครบขั้นตอน"
ไป๋เฉินยื่นม้วนกระดาษให้แก่พวกเขาทั้งเจ็ด ซึ่งด้านในนั้นมีการอบอุ่นร่างกายและการวิ่งรอบเมืองโดยไม่ใช้พลังปราณเพื่อที่จะฝึกฝนความยืดหยุ่นให้แก่กล้ามเนื้อและวิธีการต่างๆนานาที่ไม่ยากต่อการกระทำจนครบถ้วนสมบูรณ์
"รับทราบ!" นักฆ่าทั้งเจ็ดตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนจะแยกย้ายกันไปฝึกฝนเฉกเช่นเดียวกับคู่ของหลวนซิงและหลิวอี้หลิวทุกประการ
หลังจากสอนสั่งหลวนซิงและนักฆ่าทั้งแปดคนจนถึงยามบ่าย ไป๋เฉินจึงขอตัวกลับไปและจะแวะเวียนมาใหม่ในวันพรุ่งนี้
ภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยาม ความสามารถของหลวนซิงค่อยๆพัฒนาขึ้นไปทีละเล็กน้อยจนสามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างได้อย่างเด่นชัด
ก่อนจะจากไปไป๋เฉินยังคงกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "วันนี้พอแค่นี้ หลังจากนี้หากข้ามีเื่ที่้าให้พวกเ้าช่วย ข้าจะส่งจดหมายลับมาอีกครา"
"เข้าใจแล้ว" หลวนซิงและนักฆ่าแปดโค้งคำนับด้วยความเคารพ
แค่บทเรียนแรกที่ได้รับจากไป๋เฉินพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าการฝึกฝนประสาทัันั้นสำคัญเพียงใด และพวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตารอบทเรียนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
.
.
.
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงไป๋เฉินก็กลับมายังตระกูลฉินด้วยมือที่ไพล่หลังพลางผิวปากอย่างแจ่มใสโดยที่ไม่มีสิ่งใดปิดกั้นและไม่มีมือสังหารติดตามแม้แต่ผู้เดียว
แต่เมื่อตนย่างเท้าเข้ามาก็ต้องพบเจอเข้ากับฉินิหยวนและชายหนุ่มสองคนที่มีใบหน้าไม่คุ้นเคย
เมื่อสังเกตเห็นไป๋เฉินที่กำลังจะผ่านไป ฉินิหยวนะโเข้ามาปิดกั้นเส้นทางของไว้พลางกลางแขนออก "ไป๋เฉิน! หยุดเดี๋ยวนี้!"
ฝีเท้าของไป๋เฉินหยุดชะงัก เขาหรี่ตาลงเป็รอยกรีดพลางกล่าวถาม "เ้า้าอะไร?"
"ไป๋เฉิน เ้าทำร้ายร่างกายของนายน้อยหยางเหมินและสหายของเขา เ้าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เ้าก่อขึ้น" ฉินิหยวนชี้หน้ากล่าวใส่ไฟอย่างรุนแรง
แต่ไป๋เฉินเอ่ยถามอย่างสับสน "หยางเหมิน? หยางเหมินคือใคร?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมุมปากของฉินิหยวนกระตุกอย่างหนัก มันยังคงชี้หน้ากราดด่าต่อไป "อย่ามาเฉไฉ! เ้าทุบตีนายน้อยลำดับที่สองของตระกูลหยางที่ศาลาเมฆินทร์ เ้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร!"
หลังจากหวนนึกขึ้นได้ว่าตนทุบตีตระกูลหยางทั้งสามสลบไป ไป๋เฉินเพียงส่งเสียง "โอ้?"
'ทีเื่เช่นนี้แล้วรับรู้เร็วฉิบหาย'
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของไป๋เฉินไม่แยแสเพียงใด ฉินิหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด "ไป๋เฉิน เ้าจงรีบไปคุกเข่าขอโทษต่อนายน้อยหยางเดี๋ยวนี้! ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหยางไว้"
หลังจากผ่านพ้นประโยคนั้นไปแววตาที่ไม่แยแสของไป๋เฉินส่องประกายด้วยแสงเย็น จนฉินิหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนชันราวกับกำลังมีอสรพิษกำลังเล็งเหยื่อของมันอยู่
ไป๋เฉินตอบกลับด้วยการผายมืออย่างไม่ใส่ใจ "ข้ามิใช่แซ่ฉิน เ้าต่างหากที่เป็แซ่ฉิน เหตุใดเ้าไม่ไปคุกเข่าแก่มันแทนเล่า? ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหยางไว้"
คำพูดทั้งหมดที่ฉินิหยวนกล่าวมาเมื่อครู่ ไป๋เฉินได้คืนสนองกลับไปเฉกเช่นเดียวกัน
ไป๋เฉินรู้ดีว่าฉินิหยวนแค่พยายามทำให้ตนลำบาก แน่นอนว่าการพูดจาอย่างมีเหตุผลกับคนบ้าเช่นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการสีซอให้ควายฟัง
"เ้า!" การแสดงออกของฉินิหยวนบิดเบี้ยวจนแทบจะเป็สีเขียว ความโกรธของมันเริ่มที่จะพุ่งพล่าน
ก่อนที่มันกัดฟันกล่าวในลักษณะขู่เข็ญ "ดี...ดี...หากเ้าไม่ไปคุกเข่าต่อหน้านายน้อยหยางเหมินภายในหนึ่งก้านธูปนี้...เ้าตายแน่!"
ไป๋เฉินส่ายศีรษะราวกับว่ากำลังมองคนบ้า ก่อนที่เขาเดินผ่านฉินิหยวนตรงไปยังกระโจมหลังโทรมของเขาอย่างง่ายดาย
ลานกว้างหน้ากระโจมของเขามีร่างเด็กชายที่กำลังร่ายรำกระบี่ด้วยท่วงท่าพริ้วไหวดุจสายน้ำ พลังปราณกำลังวนเวียนรอบๆกระบี่ด้วยท่วงท่าปราดเปรียว
ไป๋เฉินพลางเดินเข้าใกล้พลันส่งเสียงเรียกด้วยรอยยิ้ม "เหวินเทียน เ้ารออยู่ที่นี่ตลอดเลยงั้นหรือ?"
"พี่เขย" ฉินเหวินเทียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสดใส พลางวิ่งตรงไปยังไป๋เฉินด้วยเสียงหอบเบาๆ "พี่เขย เหตุใดท่านจึงใช้เวลานานนัก ข้ามารอท่านตั้งหนึ่งชั่วยามแล้ว"
ไป๋เฉินลูบศีรษะฉินเหวินเทียนเบาๆก่อนจะกล่าว "ข้ามีธุระที่ต้องทำเล็กน้อย...แล้วโลหะศิลาเยือกแข็งมาส่งหรือยัง?"
ฉินเหวินเทียนพยักหน้า "โลหะทั้งสี่ก้อนอยู่ในห้องของท่าน แต่ก่อนหน้านี้ฉินิหยวน้ามายึดครองมันไป มันบอกว่าของดีเช่นนี้ไม่ควรจะอยู่กับคนไร้ค่าเช่นท่าน แต่ข้าก็ได้รายงานเื่นี้ไปยังลุงสามของข้า จากนั้นลุงสามจึงจัดการให้พ่อบ้านนำมาไว้ในกระโจมของท่านแล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นรูม่านตาสีโหลิตของไป๋เฉินฉายแสงเ็า "โอ้?"
'ฉินิหยวนวอนหาที่ตายทุกวินาทีเสียจริง'
'ดูเหมือนว่าหากไม่รีบกำจัดมันไปเสียเนิ่นๆ คงจะมีปัญหาปวดหัวมากมายในภายหลังเป็แน่'
ไป๋เฉินสูดลมหายใจลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่น "เ้ากำลังรอให้ข้าสอนกระบวนท่าให้แก่เ้าใช่หรือไม่?"
ฉินเหวินเทียนเก็บกระบี่ลงฝักและผงกศีรษะอย่างใจจดใจจ่อ
"เช่นนั้น..." ไป๋เฉินเดินเข้าไปด้านในพร้อมทั้งหยิบม้วนกระดาษออกมา ก่อนจะวาดโครงร่างสรีรวิทยาของมนุษย์ พร้อมทั้งสาดจุดสีดำด้วยพู่กันลงบนตำแหน่งของจุดตายและจุดอ่อนทั้งหมด "กระบวนท่าของข้าเป็เพียงแค่กระบวนท่าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ด้วยตำแหน่งของการโจมตีจึงส่งผลให้ทั้งสามคนในตอนนั้นหมดสติไป...เ้าเอากระดาษแผ่นนี้ไปทำความเข้าใจและฝึกฝนด้วยตัวของเ้าเอง"
ฉิวเหวินเทียนรับกระดาษด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น สายตาของเขาจดจ่อในขณะที่ริมฝีปากเอ่ยถาม "พี่เขย หากข้าสามารถจดจำจุดที่ท่านเขียนไว้ได้ ข้าก็จะแข็งแกร่งเหมือนท่านใช่หรือไม่?"
ไป๋เฉินแทบจะสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งเหมือนข้าเท่านั้น แต่เ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ"
"จริงๆงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะแข็งแกร่งกว่าพี่เขยแล้ว" ฉินเหวินเทียนจากไปด้วยอารมณ์แจ่มใส พร้อมทั้งจดจำสรีรวิทยาของมนุษย์ไปตลอดทั้งเส้นทาง
ไป๋เฉินเพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะเข้าไปนำโลหะทั้งสี่ก้อนออกมาเพื่อจัดการหลอมกริชที่เขา้า
แน่นอนว่าไป๋เฉินได้ตระเตรียมถ่าน เตาหลอม ค้อนสำหรับการตีขึ้นรูปและแม้แต่ถังน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการกำหนดรูปร่างก็มีครบครัน
.
.
.
เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ไป๋เฉินในอาภรณ์สีขาวสะอาดสะอ้านกลับเต็มไปด้วยรอยฝุ่นจุดด่างดำ ข้างกายปรากฏให้เห็นค้อนขนาดใหญ่ ถังน้ำที่แปรเปลี่ยนเป็สีดำ รวมถึงเตาหลอมที่มีถ่านไฟเก่าคุกรุ่นบางเบา
เขาปาดเหงื่อและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก "ในที่สุดกริชแห่งมฤตยูก็เสร็จสมบูรณ์"
เบื้องหน้าโต๊ะไม้สลักขนาดเล็กปรากฏให้เห็นกริชสั้นสีดำแวววาวส่องประกายกับแสงเจิดจ้าของสุริยัน รูปร่างของกริชสั้นนั้นเป็แนวโค้งงดงามและมีวิธีการจับถือที่แตกต่างและเหมาะสมสำหรับไป๋เฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
[ ท่ามกลางยามวิกาลที่มืดมิด มีเพียงกริชเล่มนี้ที่ส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ]
กริชทั้งสี่เล่มสามารถใช้ได้สำหรับการแทง การต่อสู้ระยะประชิด หรือแม้แต่การขว้างก็สามารถทำได้ โดยที่ส่วนโค้งของมันมีรูปลักษณ์ที่สามารถลู่ไปตามกระแสลมและไม่มีการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย
การออกแบบของไป๋เฉินนับว่าสมบูรณ์แบบ!