จวินเหยียนยังคงเฝ้ามองนาง ในสายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่อยากตามใจ ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขาชอบเหลือเกินที่ตนได้ตามใจนางเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เขารักใคร่และคอยตามใจหวานหว่าน “ท่าทางการกินของเ้าคล้ายหวานหว่านเป็อย่างมาก กระทั่งท่าทางในยามเ้าโกรธก็ยังคล้ายนางอยู่หลายส่วน”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ยิ้ม “องค์ชายวางใจเถิด ข้าไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย ไม่ปฏิบัติต่อธิดาท่านอย่างเลวร้ายแน่ ดังนั้นไม่จำเป็ต้องกล่าวว่าข้ากับบุตรสาวท่านคล้ายกันมากหรอก”
นางเคยเจอเด็กน้อยหวานหว่านคนนั้นแล้ว คนทั้งน่ารักน่าเอ็นดู และยังเฉลียวฉลาด ทว่า ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์หรือลักษณะนิสัยล้วนไม่เหมือนตนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าสายตาของจวินเหยียนเป็อย่างไรถึงได้บอกว่าอีกฝ่ายเหมือนตน
“ตอนนี้นางเองก็ถือเป็บุตรสาวของเ้าเช่นกัน” จวินเหยียนเอ่ยเตือน “เ้าได้แต่งให้ข้าแล้ว ยามนี้เ้ากลายเป็นายหญิงแห่งจวนอ๋องนี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องเป็มารดาของหวานหว่านด้วย”
“องค์ชาย อันที่จริงข้าสงสัยเป็อย่างยิ่งว่ามารดาผู้ให้กำเนิดหวานหว่านอยู่ที่ใดกัน? ” เรือนชั้นในในจวนของเขาไม่มีสตรี ด้วยข้อนี้นางเชื่อแล้ว ทว่าหากเขามีบุตรสาว เช่นนั้นมารดาของหวานหว่านไปเสียที่ใดกันเล่า?
จวินเหยียนได้ยินนางถามถึงมารดาของหวานหว่าน ก็ทำเพียงตอบอย่างเรียบๆ “หวานหว่านไม่มีมารดามาั้แ่เล็ก ดังนั้นเ้าไม่ต้องกังวลว่า หากวันหน้าชื่นชอบเด็กน้อยนั่นไปแล้วจะมีคนมาแย่งบุตรของเ้าไป”
บนตัวของหวานหว่านมีพลังบางอย่างที่ดึงดูดให้คนอดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้ ในเื่นี้จวินเหยียนรู้ดีเป็ที่สุด ดังนั้นเขาจึงแน่ใจว่า วันหน้าอวิ๋นซีจะต้องชอบหวานหว่านมากเป็แน่ เขาจึงอยากบอกนางไว้ก่อน เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าจะมีสตรีอื่นมาทวงถึงหน้าประตู
ตอนนี้เองอวิ๋นซีถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หวานหว่านนั้นได้รับพิษมาจากครรภ์มารดา เมื่อเป็เช่นนี้ก็แสดงว่าตอนที่มารดาของหวานหว่านอุ้มท้องอยู่นั้นคงต้องพิษบางประการเข้า “ตกเืหรือ? ” นางอดถามออกไปไม่ได้
“อืม” เขาพยักหน้าจากนั้นก็มองไปทางอวิ๋นซี ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดลงบนดวงหน้าของนาง ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้พูดขึ้น “ซีซี ในเมื่อยามนี้เ้าแต่งให้ข้า เป็ภรรยาของข้าโอวหยางจวินเหยียนแล้ว เช่นนั้นก็มีบางเื่ที่ควรให้เ้าได้รู้ ที่จริงแล้วหวานหว่านมิใช่บุตรสาวของข้า เพียงแต่ท่านลุงของนางเป็สหายรักข้า โชคไม่ดีเท่าไรที่พวกเขาทั้งตระกูลต้องเผชิญกับโชคร้าย ตอนนี้จึงเหลือเพียงนางตัวคนเดียวแล้ว ก่อนหน้านี้สาวใช้คนหนึ่งยอมแลกด้วยชีวิตตนเพื่อพานางมาถึงหานโจว แต่ว่า ด้วยสถานะของนางจะให้คนภายนอกรับรู้ไม่ได้ ข้าจึงประกาศออกไปว่านางเป็บุตรสาวของข้า เช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องนางได้”
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะยังมีเื่เช่นนี้อยู่ด้วย ก่อนหน้านี้นางคิดมาโดยตลอดว่า หวานหว่านผู้นั้นจะต้องเป็บุตรสาวแท้ๆ ของจวินเหยียนแน่ เพราะไม่ว่าคิ้วหรือตาของสองพ่อลูกคู่นี้ก็มีความคล้ายคลึงกันยิ่ง แต่ว่า ตอนนี้จวินเหยียนกลับมาบอกว่า หวานหว่านมิใช่บุตรสาวตน หรือว่า ตัวนางเองจะตาลายไปเอง?
เมื่อได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความเป็มาของหวานหว่าน นางก็อดปวดใจน้อยๆ ไม่ได้ เพราะชวนให้นึกถึงธิดาตนที่ก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะมีโชคเช่นนี้ เจอคนใจดีรับไปอุปการะปกป้องจนเติบใหญ่ขึ้นมาหรือไม่ ทั้งยังไม่รู้ว่าแต่ก่อนตอนที่ตนถูกพิษรุมเร้า พิษนั่นส่งผลเสียต่ออีกฝ่ายไปบ้างหรือไม่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็ทอดถอนใจเบาๆ โดยไม่คิดพูดอะไรต่อ นอกจากนี้ นางยังคิดอีกว่าโลกใบนี้เองก็คงจะหาสามีภรรยาดังเช่นนางและจวินเหยียนได้ยากแล้วล่ะ เ้าสาวที่เลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นเอง จากนั้นก็กินอาหารอย่างเต็มที่ในห้องหอตน โดยมีเ้าบ่าวที่ดูรักใคร่คอยเอาอกเอาใจมองดูอยู่ด้านข้าง ยิ่งกว่านั้น ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีกระทั่งการดื่มสุราคล้องแขน และไม่ได้รักใคร่สนิทสนมเหมือนสามีภรรยาทั่วไป
รอกระทั่งนางดื่มกินจนอิ่มแล้ว จวินเหยียนก็ออกไปที่โถงด้านหน้าเพื่อต้อนรับบรรดาแเื่ที่มาในวันนี้ เดิมทีอวิ๋นซีคิดจะพักผ่อนเสียหน่อย ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ยืนหลบอยู่หน้าประตู ชั่วขณะนั้นนางก็ให้นึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นจึงกวักมือไปทางเด็กคนนั้น “หวานหว่าน มาหาข้านี่”
ดวงตากลมโตคู่นั้นของหวานหว่านสั่นไหว สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ “ไม่ พวกเขาล้วนพูดกันว่า หากท่านแต่งเข้ามาในจวนอ๋องแล้ว วันหน้าจะต้องทำไม่ดีกับข้าแน่” หลายวันมานี้สาวใช้ข้างกายเอาแต่พูดถึงอวิ๋นซีในด้านที่ไม่ดี ทั้งยังบอกว่า หากนางได้เป็ตี๋หมู่ [1] วันหน้าคงไม่ชอบใจตน และจะต้องทั้งดุด่าทุบตีเป็แน่
เด็กน้อยเช่นนางกลัวเจ็บนี่นา การถูกดุด่าทุบตีย่อมต้องเป็เื่ที่น่าอนาถยิ่ง ดังนั้น นางจึงหดหู่มาหลายวันแล้ว ทั้งยังคิดอยากจะไปถามเสด็จพ่อให้ชัดเจนว่า เหตุใดจึงต้องแต่งอวิ๋นซีเข้ามา หรือว่ายามนี้ไม่รักตนแล้ว? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็เบะปากด้วยความน้อยอกน้อยใจ ในดวงตาคู่นั้นแฝงแววคับแค้นอยู่หลายส่วนขณะมองมายังอวิ๋นซี และยังคลับคล้ายกำลังตัดพ้อที่อีกฝ่ายมาแย่งบิดาของตนไป
อวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วเดินออกไป ในตอนนั้นเด็กน้อยที่คิดจะหลบหนี แต่อวิ๋นซีที่เร็วกว่าอยู่หลายขุมก็สามารถดึงคนมาไว้ในอ้อมแขนได้ทัน เมื่อก่อนนางเป็เพียงหมอหญิงตัวเล็กๆ ของโรงหมอ ต่อให้จะเห็นว่าอีกฝ่ายน่ารักถึงเพียงนี้ก็ยังไม่กล้ากอด ทว่าตอนนี้นางเป็พระชายาแล้ว หรือก็คือมารดาในนามของเด็กคนนี้ ดังนั้น การจะกอดอีกฝ่ายจะมิใช่เื่ธรรมดาสามัญเป็อย่างยิ่งหรอกหรือ
อีกทั้ง นางก็ชอบเด็กคนนี้มาก ถึงแม้คนจะดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของนางไม่หยุด แต่นางก็ยังคงอยากจะคุยด้วย “หวานหว่าน ใครบอกเ้าหรือว่าข้าจะปฏิบัติต่อเ้าไม่ดี? คนเ่าั้จักต้องไม่ชอบให้ข้าและหวานหว่านดีต่อกันแน่ ถึงได้คิดจะทำให้เราต้องแตกคอกัน ทว่า หากเป็เด็กที่เฉลียวฉลาดจะต้องไม่ตกหลุมพรางเป็แน่”
เมื่อหวานหว่านได้ยินก็ไม่ดิ้นรนอีก จากนั้นจึงหันหน้ากลับมามองอวิ๋นซี และขบคิดถึงสิ่งที่สตรีนางนี้พูด หากเป็เด็กที่เฉลียวฉลาดจะต้องไม่ตกหลุมพรางอย่างแน่นอน นางกัดริมฝีปากแล้วจึงกล่าวตอบ “ข้านี่แหละเด็กที่เฉลียวฉลาด”
อวิ๋นซีพยักหน้า ก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้อง พร้อมทั้งมิวายยื่นนิ้วเรียวไปจิ้มปลายจมูกของเด็กน้อยเบาๆ แล้วส่งยิ้มงดงามให้ “ใช่แล้ว หวานหว่านเป็เด็กฉลาด เ้าย่อมไม่มีทางตกหลุมพรางของคนเลวที่มีใจเป็อื่นอย่างแน่นอน”
เมื่อหวานหว่านได้ยินนางพูดว่าคนพวกนั้นเป็คนเลว ก็ถึงกับชะงักไปทันที จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วตอบปฏิเสธ “ไม่ พวกนางไม่ใช่คนเลว พวกนางล้วนเป็คนข้างกายข้า พวกนางดีกับข้ามาก” พูดจบ หวานหว่านก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนได้ขายคนข้างกายไปแล้ว นางรีบใช้มือปิดปากตนเป็พัลวัน จากนั้นก็เบิกตากว้างราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ขณะมองอวิ๋นซี
เมื่อเห็นท่าทางของหวานหว่านน้อยเป็เช่นนี้ อวิ๋นซีก็ยิ้มออกมา เด็กน้อยผู้นี้ช่างน่ารักเสียจริง ทำให้นางยิ่งอยากเข้าไปใกล้ชิด ถึงกระนั้นความรู้สึกเช่นนี้ก็มีมาแต่แรกเจอ แม้ในตอนที่อยู่ในหมู่บ้านสกุลโจวเองจะได้มีโอกาสพบเห็นเด็กที่โตพอๆ กับหวานหว่านอยู่หลายคน แต่เมื่อนางเห็นแล้ว แม้ใจจะคิดว่าพวกเขาก็น่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน ทว่ากลับไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะเข้าใกล้ถึงเพียงนี้
ดังนั้น นางถึงได้รู้ว่า สำหรับหวานหว่านแล้วถือเป็กรณีพิเศษ
อวิ๋นซีพยักหน้าแฝงรอยยิ้ม จิตใจของเด็กนั้นไร้เดียงสา ย่อมไม่มีความจำเป็ใดที่จะต้องใส่ความคิดชั่วร้ายของผู้ใหญ่ลงไปให้นาง ส่วนพวกสาวใช้ที่บอกว่าตนจะต้องปฏิบัติแย่ๆ ต่อนาง จะช้าเร็วอวิ๋นซีก็ต้องหาตัวคนเ่าั้ให้เจอได้อยู่ดี ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้นางก็ได้แต่งเข้ามาในจวนอ๋องแล้ว ดังนั้น เื่ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับตัวนางในอีกหลายปีต่อจากนี้เป็อย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น นางจะไม่ยอมให้ใครก็ตามทำเื่ที่ไม่ควรทำใต้จมูกนางอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นางเองยังเป็กังวลอยู่ว่าจวนอ๋องแห่งนี้จะหาได้สะอาดสะอ้าน ในความหมายของนางก็คืออาจมีสายของผู้อื่นแฝงตัวอยู่ก็เป็ได้
“ได้ พวกนางมิใช่คนเลว” อวิ๋นซียิ้ม ก่อนจะวางเด็กน้อยลงบนเตียง “เ้าง่วงหรือไม่ นอนพักเสียหน่อยดีหรือไม่? ”
หวานหว่านมองนาง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ “พวกนางบอกข้าว่า ท่านจะต้องนอนกับเสด็จพ่อ” หากว่าบิดามาเห็นว่าตนนอนอยู่ที่นี่จะต้องไม่พอใจมากเป็แน่
อวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจ เป็ใครกันแน่ที่กล้าพูดจาไร้สาระเหล่านี้แก่เด็กน้อย “วางใจเถอะ เสด็จพ่อเ้าจะต้องอนุญาตให้เ้านอนที่นี่แน่” เมื่อพูดจบ นางก็ช่วยถอดรองเท้าและเสื้อนอกให้เด็กน้อย จากนั้นจึงสวมกอดแล้วพานอนลง
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ตี๋หมู่(嫡母)หมายถึง แม่ใหญ่ หรือภรรยาเอกของพ่อ