เซี่ยจื่ออวี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ แถมยังใช้ผ้าพันคอปิดหน้าไปตั้งครึ่ง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นแค่ด้านหลังก็รู้สึกว่าคล้ายเธอเหลือเกิน
ห้องผู้ป่วยของตู้เ้าฮุยนั้นไม่ใช่หน่วยงานลับ เพียงเซี่ยเสี่ยวหลานปากหวานนิดหน่อยก็ถามแม่บ้านจนได้ความอย่างง่ายดาย สถานะนักธุรกิจฮ่องกงสะดุดตาแค่ไหน พวกป้าแม่บ้านไม่มีทางไม่สนใจห้องของเขา ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานล้างแผลอยู่ก็ได้ยินแม่บ้านสองคนคุยกันว่า นักธุรกิจฮ่องกงฟันหักแค่หนึ่งซี่แต่กลับนอนโรงพยาบาลตั้งสองวัน น้ำเสียงของคุณป้าท้ังสองทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานเกือบหลุดขำออกมา
เธอรู้สึกว่าด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นช่างคล้ายเซี่ยจื่ออวี้เหลือเกิน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ พอถามคุณป้าแม่บ้านถึงรู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นใช้ผ้าพันคอพันหน้าเดินเข้าห้องของตู้เ้าฮุย
“อย่างกับพวกนกต่อแหน่ะ ชาวฮ่องกงคนนั้นใช่สายลับหรือเปล่านะ”
ไม่ว่าคุณป้าแม่บ้านจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าตู้เ้าฮุยกิริยาวาจาเหมือนตัวร้ายในภาพยนตร์เหลือเกิน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจ ทว่าโจวเฉินอ่านเกมขาดทันที
“งูกับหนูอยู่รูเดียวกัน คงรู้สึกเสียดายที่รู้จักกันช้าไป”
สองคนนี้ชอบเดินทางลัดที่ไม่เถรตรง ชอบวางแผนลอบกัด จะรู้จักกันก็ไม่แปลก เซี่ยจื่ออวี้เองก็นับว่าเป็คนเก่ง หากเป็สหายผู้ชายคงเป็ตัวร้ายที่ถนัดเื่บริหารแต่แผนชั่ว พอเห็นว่าตระกูลหวังหมดอำนาจ ก็เลยคิดที่จะพึ่งพาตู้เ้าฮุยอย่างนั้นสินะ?
จากข้อมูลที่พี่พานซานสืบมาได้ ตอนตู้เ้าฮุยอยู่ที่ฮ่องกง เขาเป็คุณชายเ้าสำราญ เปลี่ยนแฟนสาวไม่ซ้ำหน้า แต่โจวเฉิงคิดว่าที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันคงไม่ใช่เพราะตู้เ้าฮุยถูกใจความงามของเซี่ยจื่ออวี้อย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นเซี่ยจื่ออวี้มีอะไรที่ตู้เ้าฮุย้าล่ะ ตู้เ้าฮุยเป็พวกเห็นแก่ผลประโยชน์เสียขนาดนั้น คนที่ไม่มีประโยชน์กับเขา เขาไม่มีทางปรายตามองด้วยซ้ำ”
ถูกใจระดับสติปัญญาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเซี่ยจื่ออวี้?
สติปัญญาของเซี่ยจื่ออวี้เป็ดั่งปริศนา เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยเข้าใจวิธีการคิดของอีกฝ่ายนัก ทุกครั้งที่คิดว่าเซี่ยจื่ออวี้โง่เขลา ผู้หญิงคนนี้ก็จะหาทางเอาตัวรอดได้เสมอ แต่เมื่อไรที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้การยอมรับในเื่ความฉลาดของเซี่ยจื่ออวี้ เซี่ยจื่ออวี้ก็มักจะล้มเหลวทุกครั้ง
ร้านขายของว่างที่อันชิ่งของจางชุ่ยก็คงเป็ความคิดของเซี่ยจื่ออวี้สินะ
ด้วยสภาพของตระกูลเซี่ยในเวลานั้น หากมีแรงงานเพิ่มมาอีกคนก็เท่ากับเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว อยู่ๆ จางชุ่ยจะไปอยู่เป็เพื่อนเซี่ยจื่ออวี้เพื่ออะไรกัน ไปอยู่กับลูกคงเป็แค่ข้ออ้าง แรกเริ่มคงเพราะอยากไปทำธุรกิจอิสระ เซี่ยจื่ออวี้เข้ามัธยมปลายตอนปี 1980 ซึ่งเป็่ต้นของการปฏิรูปเศรษฐกิจพอดี นอกจากนี้อันชิ่งค่อนข้างมีความเป็อนุรักษ์นิยม บนท้องถนนไม่มีใครทำธุรกิจอิสระ ทว่าจางชุ่ยกับเซี่ยจื่ออวี้กล้าลงมือทำค้าขาย นับได้ว่าเป็ผู้บุกเบิกของยุคสมัย ในจุดนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับว่าเซี่ยจื่ออวี้ฉลาดคิดจริงๆ
แต่พอเซี่ยเสี่ยวหลานเล่นงาน ‘จางจี้อาหารว่าง’ คนฉลาดอย่างเซี่ยวจื้ออวี้กลับเงียบกริบ แค่วิธีการง่ายๆ ก็สามารถทำให้ร้านจางจี้ต้องปิดกิจการได้แล้ว
คนฉลาดไม่รู้จักดิ้นรนเลยหรือ?
ไม่ใช่แค่เื่นี้ที่เซี่ยจื่ออวี้มีความขัดแย้งในตัวเอง ตอนเซี่ยจื้ออวี้เปิดชั้นเรียนกวดวิชาก็ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานต้องมองเธอใหม่อีกครั้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าเซี่ยจื่ออวี้ช่างเป็คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงมักจะไปไม่รอดอยู่เสมอ
เธอหัวเราะเสียงเบา “ไม่แน่ตู้เ้าฮุยอาจจะถูกใจความสามารถด้านธุรกิจของเซี่ยจื่ออวี้ก็ได้นะ”
ถ้าตู้เ้าฮุยถูกเซี่ยจื่ออวี้หลอกได้สำเร็จ จาก ‘ผลงาน’ ที่ผ่านมาของเซี่ยจื่ออวี้คงทำให้ตู้เ้าฮุยขาดทุนได้อย่างแน่นอน
“ก็ไม่แน่ ถ้าเพียงไม่กี่ล้านหยวน ต่อให้ขาดทุนตู้เ้าฮุยก็ไม่ะเืหรอก”
ตู้เ้าฮุยพึ่งพาเครือเชิงหรง ขอเพียงตระกูลตู้ยังไม่ล้มลง ตู้เ้าฮุยก็จะมีที่พึ่งตลอดไป เงินเพียงไม่กี่ล้านสำหรับตู้เ้าฮุยแล้วไม่ใช่เงินก้อนใหญ่สักนิด คังเหลียนิเองก็ไม่คิดจะขัดขวางการลงทุนของเครือเชิงหรงที่แผ่นดินใหญ่ เพราะนั่นเป็เื่ของส่วนรวมที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แต่ตู้เ้าฮุยคงรู้สึกกลัว เพราะเขาอยาก่ชิงอำนาจในตระกูลตู้ ทำให้เขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับโครงการที่เผิงเฉิง
ตอนนี้เครือเชิงหรงได้แยกการลงทุนที่แผ่นดินใหญ่กับธุรกิจค้าของเถื่อนออกเป็สองส่วน ดังนั้นการที่โจวเฉิงปราบปรามการค้าของเถื่อนอย่างหนักเช่นนี้ ก็ถือเป็การช่วยกำจัดคู่แข่งของตู้เ้าฮุยทางอ้อมด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวหลาน เธอเคยคิดจะยอมรับความช่วยเหลือจากอารองคังไหม ภายใต้เงื่อนไขว่าเขาจะไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ”
สิ่งที่โจวเฉิง้าสื่อคือ เซี่ยเสี่ยวหลานกับคังเหว่ยทำธุรกิจที่เผิงเฉิงก็ควรทำกิจการให้ใหญ่โตยิ่งกว่านี้ เื่นี้คังเหลียนิเคยเสนอกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานบอกปัดไปให้คังเหว่ย เมื่ออยู่กับโจวเฉิงตามลำพัง เธอจึงตอบเขาไปตามตรง
“ฉันไม่ค่อยอยากได้รับความช่วยเหลือในลักษณะนี้ ธุรกิจนี้ถ้ามีคนระดับหัวหน้าคอยสนับสนุนคงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่การเดินทางสายนี้ก็เหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย ถ้าพึ่งพาความช่วยเหลือจากข้าราชการคนไหนมากเกินไป ทั้งสองฝ่ายจะตัดกันไม่ขาด ฉันอยากให้ธุรกิจนี้เติบโตไปตามกลไกตลาดอย่างมั่นคง ไม่อยากทำให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเส้นสายจากใคร... โจวเฉิง ตอนนี้เราอยู่ในยุคสมัยที่ดีที่สุด ประเทศจีนกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็ธุรกิจเก่าหรือใหม่ ขอเพียงคว้าเอาไว้ให้มั่น อนาคตย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
เธอเกาะขาทังหงเอิน เพราะอยากทำให้คนอื่นรู้สึกหวั่นเกรง แต่ไม่เคยคิดอยากใช้ความสนิทสนมนี้เพื่อคว้างานโครงการตกแต่งภายในบ้านพักเทศบาลเมือง
ทังหงเอินเคยช่วยหลิวหย่งแค่ครั้งเดียวซึ่งก็คือการให้ ‘บัตรเข้าร่วมงาน’ ประมูลโครงการตกแต่งภายในบ้านพักรับรองเทศบาลเมือง ทว่าทังหงเอินไม่เคยได้รับค่าน้ำชาสักแดงเดียว หากบอกว่าเป็การรวมหัวกันของข้าราชการกับเอกชน สู้บอกว่าทังหงเอินช่วยสนับสนุนเด็กสาวหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคงถูกต้องกว่า
นั่นเป็เพียงการให้โอกาส แต่หลิวหย่งกลับทำโครงการตกแต่งภายในบ้านพักรับรองเทศบาลเมืองได้สำเร็จอย่างงดงาม ดังนั้น ‘หย่วนฮุย’ ถึงได้กำไรและชื่อเสียงจากโครงการนี้จนสามารถยืนหยัดอยู่ที่เผิงเฉิงได้
หากเซี่ยเสี่ยวหลานเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ด้วยความสนิทสนมของเธอและทังหงเอิน มีหรือที่ทังหงเอินจะไม่ยอมช่วย?
แต่เธอไม่อยากทำเช่นนั้น ทั้งยังระแวงว่าจะมีคนเห็นประโยชน์จากมัน เหมือนตอนนั้นที่หลิวเทียนเฉวียน้าร่วมงานกับหลิวหย่งให้รับทำโครงการ ‘โรงแรมหนานไห่’ ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกปัดความช่วยเหลือจากคังเหลียนิ
เธออยากหาเงิน อยากสร้างธุรกิจ แต่เธอไม่อยากมีผลประโยชน์พัวพันกับข้าราชการมากเกินไป เธอกลัวตัวเองจะจมดิ่งอยู่กับความสำเร็จจอมปลอม กลัวการเติบโตที่ก้าวะโเร็วเกินไป จนทำให้ความสามารถที่แท้จริงของตนไม่เหมาะสมกับขนาดของกิจการที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะพึ่งพาเส้นสายของใครก็ตามล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงด้านปัจจัยทางการเมืองทั้งสิ้น ได้ผลประโยชน์แค่ไหนก็มีความเสี่ยงมากเท่านั้น หากเกิดเื่ขึ้นกับข้าราชการระดับสูงคนนั้น ธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานก็จะจบเห่ไปด้วยน่ะสิ
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามความคิดของเธอเถิด”
เดิมทีโจวเฉิงก็เป็พวกทาสเมียอยู่แล้ว อีกทั้งเซี่ยเสี่ยวหลานก็พูดจามีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางขอให้เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับความช่วยเหลือจากคังเหลียนิอย่างแน่นอน
“เธอช่วยคังเหว่ยไม่น้อยเลยทีเดียว เสี่ยวหลาน ฉันต้องขอบคุณเธอจากใจจริง ฉันกับคังเหว่ยโตมาพร้อมกัน เขาเป็เหมือนพี่น้องแท้ๆ ของฉัน ถึงอย่างไรเธอเองก็ได้รับาเ็ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็ห่วงคังเหว่ยอีกแล้ว เื่ที่เหลือให้พวกผู้ชายอย่างพวกฉันจัดการดีหรือไม่”
แม้จะเป็คนฉลาดแค่ไหน แต่จะปล่อยให้เสี่ยวหลานเหนื่อยอยู่คนเดียวไม่ได้ โจวเฉิงรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
เดิมทีตอนนี้เธอควรฉลองปิดเทอมฤดูหนาวอยู่ที่ซางตู แต่เพราะมาเยี่ยมเขาที่เผิงเฉิงจึงเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ขึ้น โจวเฉิงคิดแล้วก็รู้สึกใจหวิวไม่หาย แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกหวาดผวา
แน่นอนว่าเขากับคังเหลียนิไม่คิดจะปล่อยตู้เ้าฮุยไปง่ายๆ เพราะเขาใส่ใจเสี่ยวหลาน และคังเหลียนิก็ใส่ใจคังเหว่ยเช่นกัน
ตู้เ้าฮุยเห็นรถยนต์เป็ดั่งเครื่องบิน ซิ่งรถบนถนนของเผิงเฉิงตามใจชอบ ทำให้เขากับคังเหลียนิเกือบสูญเสียคนสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงเดือดจัดไม่ต่างกัน
ที่โจวเฉิงไม่แสดงความโกรธออกมาให้เห็นเพราะไม่อยากให้เสี่ยวหลานเป็ห่วง แต่เสี่ยวหลานเจอเซี่ยจื่ออวี้เช่นนี้ ก็แสดงว่าเธอเฝ้าจับตามองห้องของตู้เ้าฮุยอยู่ตลอดเวลา... โจวเฉิงอยากให้แฟนสาวของเขาผ่อนคลายกว่านี้ เธอไม่จำเป็ต้องกังวลไปเสียทุกเื่ เธอควรยกเื่นี้ให้ผู้ชายเป็คนจัดการถึงจะดีที่สุด!