เมิ่งหลิงยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ท่าทางเอ้อระเหยไม่รีบร้อนดุจดั่งพยัคฆ์ขาวสูงสง่ากำลังเยื้องย่างกลางพงไพร เป็ความทรงอำนาจที่แฝงไปด้วยอารมณ์เกียจคร้าน
ถังชิงหรูเอ่ยไปมากมายด้วย้าหยั่งเชิงท่าทีตอบสนองของเขา เมิ่งหลิงมองออกว่าฝั่งตรงข้ามคือจวนสกุลหวัง ก็แสดงว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับคุณหนูหวังผู้นั้นอยู่ คุณหนูหวังกับนางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตนเองย่อมจะไม่ยั่วโทสะเสือดาวตัวนี้เพื่ออีกฝ่าย แต่แค่บังเอิญมาพบกับเขา และเขาก็เป็ผู้มีอำนาจที่นี่พอดี เมื่อเขาเป็ฝ่ายเริ่มเอ่ยถึงจวนสกุลหวังก่อน นางก็แค่กล่าวไปตามสถานการณ์ที่สอดคล้อง
เมิ่งหลิงสงวนวาจา ถังชิงหรูมองไม่ออกว่าใจเขาคิดอะไรในใจ คนผู้นี้้าอะไรกันแน่ เฟิ่งหยางบอกว่าเขาคิดบางอย่างกับนาง หรือว่าจะจริง?
ไม่ๆ ๆ เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด สายตาเขากระจ่างแจ้งถึงเพียงนั้น ลึกเข้าไปข้างในยังมีความมืดดำ สายตาที่เขามองนางเรียบเฉยมาก ไร้แววเสน่หาโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นหากพิจารณาจากสถานะและการกระทำของเขาในยามปรกติ วันนี้ต่อให้เห็นนางก็คงมองข้าม หรือไม่ก็คิดจัดการนางด้วยความรู้สึกขวางหูขวางตา เช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็การเริ่มเื่ที่ถูกต้อง ทว่ายามนี้เขากลับเชิญนางดื่มน้ำชารับประทานอาหาร นี่จะมาไม้ไหน? หรือว่าหน้านางดูเหมือนตัวละครเอกฝ่ายหญิง ดังนั้นไม่ว่าตัวละครเอกฝ่ายชายหรือตัวร้ายล้วนแต่้าจับนางขึ้นเขียง?
"เวลาที่แม่นางถังสนทนากับผู้อื่นมักชอบทำเหมือนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นนี้หรือ" เมิ่งหลิงมองถังชิงหรูเรียบๆ
ถังชิงหรูได้สติคืนมา ก็ยิ้มด้วยความประหม่า "ข้าแค่ตื่นเต้นไปหน่อย ใต้เท้าเมิ่งเป็ผู้สูงศักดิ์ ดรุณีน้อยเช่นข้ากลับต้องมานั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารร่วมกับท่าน ในใจย่อมนึกหวาดหวั่นเป็ธรรมดา"
"ข้าเคยเห็นแม่นางถังรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคุณชายเฟิ่งมาแล้ว ยังเห็นเ้าแย่งอาหารจากตะเกียบของเขาอีกด้วย คุณชายเฟิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนคุยง่ายนัก แต่แม่นางถังกลับกล้าถอนฟันจากปากพยัคฆ์ ไหนเลยจะเป็คนขวัญอ่อนปานนั้น" เมิ่งหลิงกล่าว
ถังชิงหรูมีความรู้สึกว่าคนผู้นี้มองเห็นตนเองอย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาหาได้คิดร้ายต่อนาง นางแน่ใจในจุดนี้ แต่แรงจูงใจของเขาแท้จริงแล้วคือสิ่งใด?
"ใต้เท้าเมิ่ง ท่านเรียกผู้น้อยมาพบมีธุระอันใด" ถังชิงหรูไม่อยากเล่นทายปริศนากับเขา เพราะการเล่นกับคนแบบนี้ คนเสียเปรียบก็คือตนเอง นางไม่อาจเอาชนะบุรุษที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนภายใต้อำนาจการปกครองที่บุรุษเป็ใหญ่เช่นนี้ได้
"ข้ากินข้าวคนเดียวรู้สึกฝืดคอ ก็เลยอยากหาคนที่เห็นแล้วสบายตามานั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารสักมื้อ หากแม่นางถังหวาดกลัวนัก จะไปเลยก็ได้" เมิ่งหลิงหรี่ตาเล็กน้อย ประกายเยียบเย็นดั่งงูพิษสาดพุ่งมาที่นาง
ถังชิงหรูหัวใจกระตุก ความรู้สึกอันตรายทำให้นางขนลุกชันในบัดดล
"จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร ใต้เท้าเมิ่งให้เกียรติผู้น้อยมาร่วมโต๊ะอาหาร นับเป็บุญวาสนาของผู้น้อย" ถังชิงหรูเอ่ยพลางยกยิ้มน้อยๆ
"งั้นก็กินซะ" เมิ่งหลิงกล่าวจบ ก็หยิบตะเกียบด้านหน้า
ถังชิงหรูเห็นสีแดงๆ ในกับข้าวแต่ละจานตรงหน้า พลันเกิดความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาจริงๆ
ทั้งหมดนี้เป็อาหารเสฉวน แต่ละอย่างล้วนมีรสเผ็ดจัด นางเป็คนไม่ชอบของจืดชืด แต่เฟิ่งหยางชอบกินรสหวาน ทุกครั้งที่ทำกับข้าวล้วนต้องตามความชอบของบุรุษผู้นั้น แต่เวลาที่เขาไม่อยู่ นางก็ต้องทำอาหารที่เหมาะกับเด็กอย่างหลินหลันเซิง ดังนั้นนานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารรสเผ็ดจัดตามความชอบของตนเอง
"งั้นข้ากินล่ะนะ" ถังชิงหรูมองเมิ่งหลิงปราดหนึ่ง ไม่ช้าก็กลายร่างเป็เสือหิว ที่บอกว่าเป็เสือหิวแท้จริงแล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น นางยังรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารอยู่บ้าง ไม่เสียกิริยาจนน่าเกลียดเกินไป
นางกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนทนากับเมิ่งหลิงสักคำ หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไร สองเพราะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่าย ต้องคอยสังเกตให้ดี หากนางกินเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่กล่าววาจาอันใด นางค่อยหาโอกาสสะบัดก้นหนี อย่างไรเสียการกินอาหารกับคนอย่างนี้ ชวนให้รู้สึกท้องอืดเสียจริง นางคงต้องหาสถานที่กำจัดอาหารที่ไม่ย่อยเสียหน่อย
ผลลัพธ์เป็ไปตามที่ถังชิงหรูคิดไว้จริงๆ จนกระทั่งจบมื้ออาหาร เมิ่งหลิงก็ยังไม่สนทนาสักคำ
เมิ่งหลิงมองดรุณีน้อยฝั่งตรงข้ามกินอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้แลดูน่าพิสมัยขึ้นมาหน่อย
สมองผุดภาพของเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกำลังหยิบน่องไก่เผ็ดจัดมาฉีกกิน บนน่องไก่เต็มไปด้วยพริก แค่เห็นยังรู้สึกระคายกระเพาะ แต่แม่หนูน้อยกลับกินอย่างชอบใจเป็พิเศษ นางยกแขนขึ้นสะบัด อาภรณ์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่จึงเลอะคราบน้ำมันเต็มไปหมด
"ท่านพี่ น่องไก่อันนี้อร่อยมาก ท่านชิมดูสิ" เด็กหญิงยื่นน่องไก่ให้หนุ่มน้อยฝั่งตรงข้าม
เด็กหนุ่มมองนางด้วยความเอ็นดู ก่อนใช้มือเช็ดไปบนใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำมันของนาง พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน "พี่ไม่กิน เ้ากินเถอะ"
"ท่านพี่ไม่ชอบกินเผ็ดหรือ แต่ข้ากินเผ็ดได้สบายมาก" เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวจบก็กินของในมือต่อ
เมิ่งหลิงย้อนรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากลองชิมดู รสชาติเผ็ดจัดถึงขั้นต้องขมวดคิ้ว เขาไม่คายออกมา แต่กลับฝืนกลืนลงไป
ถังชิงหรูเงยหน้าขึ้น เห็นเมิ่งหลิงมีสีหน้าทรมาน ก็รู้ว่าเขาไม่ชอบกินของเผ็ด เช่นนั้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนทั้งโต๊ะนี้เตรียมมาเพื่อผู้ใด คงไม่ใช่ว่าเตรียมสำหรับนางโดยเฉพาะหรอกกระมัง แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบกินอาหารรสเผ็ด
"แหวะ!" เมิ่งหลิงลุกขึ้นไปเกาะที่หน้าต่างสำรอกออกมาทันที
ถังชิงหรูเห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นช่วยประคอง และจับข้อมือตรวจชีพจรให้แก่เขาด้วยสัญชาตญาณความเป็หมอ
เมิ่งหลิงหันกลับมามองมือของนาง ก่อนมองหน้าถังชิงหรูด้วยสายตาเคลือบแคลง
ถังชิงหรูชักมือกลับ หัวเราะแหะๆ "ขออภัย ท่านคงไม่เป็อันใดกระมัง"
สีหน้าของเมิ่งหลิงขาวซีดเล็กน้อย ท่าทางทรมาน ดูไปแล้วไม่ค่อยดีสักเท่าไร
เมื่อครู่ยังเห็นดีๆ อยู่ กินเนื้อเข้าไปแค่ชิ้นเดียวไฉนกลับดูย่ำแย่เสียแล้วเล่า นางกินไปตั้งเยอะ ไม่เห็นมีพิษสักหน่อย นอกเสียจาก...
เขาจะกินเผ็ดไม่ได้
นางย้อนนึกถึงยามจับชีพจรให้เมื่อครู่
ร่างกายเขามีปัญหาอยู่บ้าง ดูเหมือนจะเคยได้รับาเ็สาหัส ส่วนเื่กระเพาะและลำไส้ คงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ทว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแบบนั้นย่อมไม่ทันตรวจพบอันใด เขารั้งมือกลับไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าเขาไม่สบายตรงไหน
"ท่านมิชอบอาหารรสเผ็ดใช่หรือไม่ เช่นนั้นเปลี่ยนอาหารไปเป็อย่างอื่นดีกว่ากระมัง" ถังชิงหรูกล่าว
"ข้าไม่หิว เ้ากินอิ่มหรือยัง หากอิ่มแล้วก็ไปเถอะ" เมิ่งหลิงเอ่ยเสียงเรียบ
ถังชิงหรูตะลึงงัน บุรุษผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกตำรา ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ
ท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างนี้ คงมิได้เห็นนางเป็ตัวแทนของผู้ใดหรอกกระมัง
สาเหตุที่นางมีข้อกังขาเช่นนี้แท้จริงแล้วก็เพราะแววตาที่เขามองนางดูชอบกลยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนเขามองเห็นใครสักคนผ่านตัวนาง แต่นางก็ไม่อยากเป็ตัวแทนของใคร หากเป็มารดาหรือญาติพี่น้องเพศหญิงของเขาก็ยังทำเนา แต่หากเป็คนรัก นางคงได้กระอักเืตายแน่ๆ
"เมื่อเป็เช่นนี้ งั้นข้าขอตัวกลับก่อน" ถังชิงหรูกล่าวกับเมิ่งหลิง
หลังจากถังชิงหรูไปแล้ว เมิ่งหลิงก็ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก
ั้แ่เล็กเขาไม่ชอบกินของเผ็ด แต่ตอนนั้นยังไม่สาหัสขนาดนี้ จนกระทั่งตกมาอยู่ในมือของคนผู้นั้น ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายอยู่หลายปี บัดนี้แตะของเผ็ดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แค่ัันิดเดียวก็เหมือนจะตายเสียให้ได้ สักวันหนึ่งเขาจะค่อยๆ เอาคืนคนที่เคยทรมานร่างกายเขาอย่างสาหัสสากรรจ์เ่าั้
จวนสกุลฉิน ยามถังชิงหรูก้าวเข้าประตูใหญ่ ก็ตบอกของตนเองเบาๆ
"เมิ่งหลิงผู้นี้ช่างประหลาดแท้ แต่เขาก็ไม่มีความอาฆาตพยาบาทต่อข้า การได้รู้จุดนี้ก็นับว่าเป็เื่ดี" ถังชิงหรูพึมพำกับตัวเอง
"เ้าไปเจอเมิ่งหลิงมาหรือ เขาพูดอะไรกับเ้าบ้าง" เฟิ่งหยางเดินออกมาจากลานสวน
"ท่านมาอยู่นี่ได้อย่างไร" ถังชิงหรูมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกตะลึง "ไหนบอกว่าจะออกไปข้างนอกมิใช่หรือ"
"ทำไม? คุณชายเยี่ยงข้าจะออกไปข้างนอกต้องขอคำชี้แนะจากเ้า? ข้าไปแล้วกลับมาไม่ได้หรือไง" หลังย้อนถามอย่างไม่สบอารมณ์ ก็วกกลับมาคำถามแรก "เมื่อครู่เ้าบอกว่าไปพบเมิ่งหลิง เขาคุยอะไรกับเ้าบ้าง"
"ข้าออกไปทวงหนี้ เดินผ่านหอสุราแห่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ บังเอิญพบเขากินข้าวอยู่ที่นั่นพอดี เขาก็ไม่ได้สนทนาอันใด แค่เชิญข้าไปกินของอร่อยมื้อหนึ่ง" ถังชิงหรูกล่าวพลางตบท้องของตนเอง
"ผีหิวโหยสิงกระเพาะเ้าหรือไร ขนาดอาหารของเมิ่งหลิงยังกล้ากิน ดูท่าจะเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ เ้าไม่กลัวว่าเขาจะวางยาพิษใส่เ้ารึ" เฟิ่งหยางเห็นท่าทางของนางแล้วความไม่พอใจที่สะสมมานานก็พลันะเิออกมา หากเปลี่ยนเป็สตรีอื่น เห็นเมิ่งหลิงคงต้องรีบหาทางหลบเลี่ยง แต่นางกลับ...
"ตอนนั้นมีขอทานน้อยมาบอกว่ามีคุณชายคนหนึ่งเชิญให้ข้าไปพบ ข้านึกว่าเป็ท่าน ก็เลยเข้าไปโดยไม่คิดอะไร ใครจะไปรู้ว่าพอผลักประตูเข้าไป ก็พบกับมารร้ายผู้นั้น" ถังชิงหรูบอกเหตุผล "เอาเถอะ ไหนๆ ข้าก็ไปมาแล้ว ท่านก็อย่าถามข้าอีกเลยได้หรือไม่ ท่านนึกว่าข้าเต็มใจนักหรือไง หลันเซิงเล่า..."
"กำลังฝึกวรยุทธ์กับหลิงจื้ออยู่ในสวนด้านหลัง" เฟิ่งหยางมุ่นคิ้วมองนางปราดหนึ่ง "แม้ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่เห็นได้ว่าเ้าถูกเมิ่งหลิงหมายตาไว้แล้ว ต่อไปจะออกจากบ้านก็ต้องระวังตัว ทางที่ดีอย่าออกไปคนเดียว หากวันไหนเขาใช้กำลังขืนใจ เ้านั่นแหละจะร้องไห้"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ท่านบอกเองว่าข้ารูปโฉมธรรมดา ผู้สูงศักดิ์ปานเทพยดาอย่างพวกท่านไม่ชายตามองข้าหรอก ยามนี้กลับพูดเหมือนผู้อื่นเป็คนกินไม่เลือกอย่างนั้น ข้ารู้สึกว่าเมิ่งหลิงผู้นี้แม้ว่าจะโเี้กับผู้อื่น แต่ดูเหมือนจะไม่มีความอาฆาตมาดร้ายกับข้า" ถังชิงหรูเอ่ย "บางทีเขาอาจแค่รู้สึกเบื่อหน่าย บังเอิญเห็นข้าที่พอมีความประทับใจอยู่บ้าง ก็เลยเชิญไปกินข้าวแค่นั้นเองกระมัง"
เสียงข้อนิ้วของเฟิ่งหยางลั่นกร๊อบ เหมือนอยากจะอัดคน
ถังชิงหรูเห็นท่าไม่ดี ก็รีบซอยเท้าเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว บุรุษผู้นี้ยามอาละวาดขึ้นมา แม้แต่นางก็ยังคุมไม่อยู่
เฟิ่งหยางถอนหายใจเบาๆ "เ้าเมิ่งหลิงนั่น... คิดอะไรอยู่กันแน่ เขา้าหญิงโง่คนนี้ไปทำอะไร"
"นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าแม่นางถังกล่าวถูกต้อง บางทีเมิ่งหลิงอาจไม่มีเจตนาอื่น แค่อยากเชิญนางไปกินข้าวด้วยกันเท่านั้น คนอย่างเมิ่งหลิง หากเขาคิดจะทำสิ่งใด ก็ไม่มีผู้ใดขวางเขาได้" พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างออกความเห็น
"ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น[1] ตอนนี้ข้าเข้าใจความรู้สึกของเฉินิแล้ว" เฟิ่งหยางยิ้มขื่น "ข้าเก็บสตรีคนนี้เอาไว้ เป็การหาเื่ใส่ตัวโดยแท้ แต่ทว่า..."
ก็ตัดใจทิ้งตัวปัญหานี้ไม่ลง
หากถามเฟิ่งหยางว่ารู้สึกกับถังชิงหรูอย่างไร หากบอกว่าเป็ความรักแบบชายหญิง ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาแค่อยากให้คนผู้นี้รั้งอยู่ข้างกาย และพอดีว่านางมีความสามารถควรค่าแก่การให้ความสำคัญ เขาไม่ชอบคนธรรมดา หากถังชิงหรูชอบแต่งเนื้อแต่งตัวอวดความงดงามเยี่ยงสตรีทั่วไป เขาคงไม่แม้แต่จะชายตาแล แต่นางกลับเป็คนพิเศษมาก เขาจึงถูกนางดึงดูดโดยมิได้เจตนา
เมื่อเส้นทางข้างหน้าถูกลิขิตมาให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนาม ไยไม่รั้งใครสักคนไว้อยู่เคียงข้างกายเล่า?
เฟิ่งหยางหาใช่เฉินิ เขาไม่มีวันเสียสติเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขาแค่้าสตรีคนนี้ ้าสมองของนาง ้าความสามารถในการหาเงินของนาง ้าทักษะวิชาแพทย์ของนาง แม้กระทั่งจิตใจที่ดีงามของนางเขาก็้า
เขามีลางสังหรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าที่สถานะของนางเป็ที่รู้จักไปทั่วหล้า นางจะโผทะยานขึ้นสูงไปยิ่งกว่านี้
หมอเทวดาผู้มีจิตใจแสนประเสริฐ สาวใช้ที่มีความสุขกับการช่วยเหลือผู้คน สตรีซึ่งเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมความเมตตา.... ผู้ได้หัวใจประชาย่อมได้ใต้หล้า
--------------------------------------------------------------------------------
[1] ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น หมายถึงเื่ที่แน่นอนไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือความไม่แน่นอน เป็คำเตือนให้ระวังอย่างประมาทสิ่งที่ไม่คาดคิด