หูฉางกุ้ยใมาก รีบคว้าแขนของเด็กชายไว้ไม่ให้เขาคุกเข่าลงพื้น
เจินจูมองเด็กชายด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ละสายตาไปจากความปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดที่ปรากฏอยู่ในแววตานั้น และตอนนี้มีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย
“ท่านพ่อ ท่านจับเขาให้ดี นี่เป็เ้าเด็กปลาไหล ไหลลื่นมากเลยล่ะเ้าค่ะ พอไม่ทันระวังเพียงนิดอาจจะหนีไปอีก”
หูฉางกุ้ยไม่ทันคนและขี้สงสาร กล่าวสองสามประโยคก็ถูกเ้าหนุ่มปลิ้นปล้อนนี่ทำการแสดงหลอกตบตาใส่แล้ว
“อื้ม ข้าจับไว้แน่นอยู่” พอหูฉางกุ้ยได้ฟังคำพูดของบุตรสาว ในมือก็เพิ่มแรงขึ้นสองส่วน
“…” อาชิงกลั้นมุมปากที่กำลังกระตุกไว้ ในใจแอบโกรธแค้น เห็นๆ กันอยู่ว่าบุรุษผู้นี้ล้วนถูกเขากล่าวจนะเืใจแล้วสองสามส่วน แต่ก็ถูกเด็กสาวผู้นี้ทำลายภายในประโยคเดียว เขาลู่คิ้วตกลงและกล่าวร้องโหยหวน “ท่านอา โปรดท่านเมตตาด้วย ท่านพ่อข้าป่วยไม่ไหวแล้วจริงๆ ท่าน…”
“หุบปาก!”
เสียงใสตวาดหนึ่งที ทำเอาอาชิงใกลัว
“ร้องไห้เสียงดังอะไรกัน ไม่ใช่สามนางหกแม่ของหมู่บ้านเสียหน่อยที่จะรู้จักแต่ร้องไห้เช็ดน้ำตาและเอะอะโวยวาย หากเ้าไม่ได้ขโมยถุงเงินของท่านพ่อข้า เช่นนั้นก็ให้ท่านพ่อข้าค้นตัวเสียหน่อยสิ หากค้นไม่เจอถุงเงิน พวกข้าจะขอโทษสำนึกผิดต่อเ้า หากว่าค้นหาเจอ หึๆ เ้าก็ไปร้องไห้ะโกับทางการหน้าประตูเมืองเถอะ” เจินจูสองแขนกอดอก มองเขาอย่างสงบ
“พวก... พวกท่านมิใช่เ้าหน้าที่ทางการเสียหน่อย มีสิทธิ์อะไรต้องให้พวกท่านค้นตัว นี่พวกท่านรังแกเด็กน้อยแล้ว” อาชิงโต้แย้งปากแข็ง
“อ้าว ้าให้เ้าหน้าที่ทางการค้นตัวเ้าหรือ? นี่ง่ายเลย ท่านพ่อ ไปเ้าค่ะ จูงเขาไปทางประตูเมือง ที่นั่นเ้าหน้าที่ทางการไม่น้อยเลย” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“อื้ม!” หูฉางกุ้ยฟังคำพูดบุตรสาวจนชินแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูด ดังนั้นจึงคิดจะจูงอาชิงเดินไปทางประตูเมือง
อาชิงใบหน้าถอดสีทันที หากถูกเ้าหน้าที่ทางการจับไว้ ไม่ตายก็ต้องิัหลุดเป็ชั้นๆ อย่างแน่นอน
เขารู้สึกเสียใจ ทำไมถึงได้มองพลาดไปนะ สองพ่อลูกคูนี้เข้าเมืองมาไม่นาน เขาก็จ้องไปที่พวกเขาแล้ว แม้สองคนไม่ได้สวมผ้าไหมผ้าแพรแต่เสื้อผ้าบนตัวล้วนเป็ผ้าฝ้ายละเอียดชั้นดี ตลอดทางเหลือบซ้ายแลขวาสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ดูๆ ไปแล้วเหมือนผู้มั่งคั่งท้องถิ่นที่มาถึงเขตอำเภอเป็ครั้งแรก แล้วเดินเตร่เข้าในร้านเกาเตี่ยนที่มีชื่อในอำเภอ และยังซื้อเกาเตี่ยนหลายห่อ ต้องรู้ว่าร้านเกาเตี่ยนนี่ขึ้นชื่อเื่อร่อยและฝีมือละเอียดงดงาม แน่นอนว่าราคาย่อมไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาจะซื้อได้
คนต่างถิ่นที่มีเงินเหลือและไม่มีความรู้ระดับนี้เป็เป้าหมายที่ดีของนักล้วงกระเป๋าให้ชอบลงมือ ด้วยเหตุนี้จึงรอจนพวกเขาออกมาจากการทานข้าวที่หอสือหลี่เซียงแล้ว อาชิงจึงฉวยโอกาสลงมือ
ผู้ใดจะรู้ว่าการออกแรงครั้งแรกของเขาจะพ่ายแพ้
คิดถึงอาจารย์ที่นอนป่วยหนักอยู่ในวัดเฉิงหวง เขาอดแสดงความเศร้าเสียใจออกมาจากใจจริงไม่ได้ หยดน้ำตารินไหลพราก หากเข้าถูกเ้าหน้าที่ทางการจับไป เกรงว่าเวลาไม่กี่วันอาจารย์คงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
เห็นว่าเขาร้องไห้จริงๆ หูฉางกุ้ยหยุดชะงักมือที่ลากเขา มองไปทางเจินจูอย่างขอความช่วยเหลือ
“…” เจินจูหางตากระตุก มารดามันเถอะ เสนียดตาจริง! เด็กชายร้องไห้จนน้ำตาไหลขี้มูกโป่งไหลลงมารวมกัน แล้วยังมีเหงื่อกับคราบสกปรกทั่วทั้งใบหน้าอีก นางรู้สึกเป็ทุกข์นักหากให้มองใบหน้านั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง
“รีบหยุดๆ หากเ้าร้องไห้อีก จะลากเ้าไปประตูเมืองจริงๆ ด้วย” เจินจูกล่าวอย่างไม่ลืมตา
อาชิงกำลังร้องไห้อย่างเศร้าโศก ได้ยินดังนั้นอดหยุดไปพักหนึ่งไม่ได้ มองไปทางนางอย่างน้ำตานองหน้า ถามอย่างร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้า ข้าไม่ร้อง ท่านจะไม่ลากข้าไปพบเ้าหน้าที่ทางการใช่หรือไม่?”
“เ้าหยุดลงก่อน เด็กผู้ชายผู้หนึ่ง ไม่ทันทำอะไรก็ร้องไห้แล้ว เ้าไม่กระดากใจบ้างหรือ” เจินจูมองใบหน้าสกปรกนั้นของเขาด้วยความระอา “เ้าคืนถุงเงินให้ท่านพ่อข้า พวกข้าจะไม่ไต่ถามความผิดของเ้า เด็กชายคนหนึ่งอย่างเ้ามีมือมีเท้า หากทำอะไรไม่ดี หรือขโมยใช้กำลังยื้อแย่งล้วนเป็พฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย ถูกจับได้ถูกตีเป็เื่เล็ก หากส่งไปกักขังศาลาว่าการ เชอะ อาหารในคุกไม่ได้อร่อยซะด้วยสิ”
อาชิงหลุบหน้าลง เขาติดตามอาจารย์ร่อนเร่พเนจรมาหลายปี ขโมยกับโจรผู้ร้ายที่พบปะมีมากนับไม่ถ้วน จุดจบของพวกเขาส่วนใหญ่น่าสังเวชมาก ถูกตีให้าเ็หรือพิการยังเป็เื่เล็ก ถูกตีให้ตายล้วนมีจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่เขาไม่มีวิธีแล้ว อาการป่วยของอาจารย์หนึ่งวันหนักว่าอีกหนึ่งวัน เวลากลางคืนในแต่ละคืน เขาล้วนกลัวมากว่าอาจารย์จะทนความเจ็บป่วยจนผ่านไปไม่ไหว แล้วทิ้งเขาให้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้คนเดียว เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
เขาไม่มีเงินเชิญท่านหมอมารักษา อาศัยใบสั่งยาที่อาจารย์จัดขึ้นมาเอง และขึ้นเขาไปขุดเก็บวัตถุดิบยามาต้มอยู่เช่นนี้ จนตอนนี้ต้มยาต่อไปไม่ได้แล้ว สติของอาจารย์น้อยลงทุกวัน อาชิงรู้ว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไป อาจารย์จะทนต่อไปได้ไม่นาน
ดังนั้นเขาทำได้เพียงเสี่ยงอันตรายเพราะสิ้นไร้หนทาง ต่อให้มีความเสี่ยงถูกตีาเ็หรือพิการ ก็ต้องหาเงินเล็กน้อยเชิญท่านหมอมาตรวจอาจารย์ให้ได้เสียหน่อย
“พรึบ” อาชิงคุกเข่าลงไป
เจินจูตื่นใ “นี่เ้าทำอะไร มีเื่อะไรก็คุยกันดีๆ อย่าไม่ทันไรก็เอาแต่คุกเข่าลง ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ [1] เ้ารีบลุกขึ้นมา”
หูฉางกุ้ยก็ใเช่นกัน รั้งแขนของเขาไว้คิดจะประคองเขาให้ยืนขึ้น
อาชิงไม่ยอมและกล่าวอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ท่านอา พี่สาว พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตอาจารย์ของข้าด้วยเถอะ ขอแค่สามารถช่วยชีวิตอาจารย์ได้ อาชิงจะเป็วัวเป็ม้าตอบแทนพวกท่านเองขอรับ”
กล่าวจบโขกศีรษะลงที่พื้นสามที “ปึก ปึก ปึก”
...มุมหนึ่งของวัดเฉิงหวงที่ถูกทิ้งร้าง ในห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถงใหญ่และห้องสำคัญชำรุดทรุดโทรม แสงมืดสลัวและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ในซอกหลืบ ใต้ผ้านวมผืนหนึ่งที่ดูลักษณะไม่ออกว่าเป็อย่างไร มีชายผู้หนึ่งนอนหงายอยู่โดยไม่รู้ว่าเป็หรือตาย
อาชิงเข้าใกล้ชายผู้นั้นอย่างเบามือเบาเท้า “อาจารย์ อาจารย์ ตื่นสิ…”
“อาจารย์ขอรับ!”
“อาจารย์ ท่านตื่นสิ!”
เสียงของอาชิงร้อนรนและสั่นไหวมากขึ้น
หูฉางกุ้ยกับเจินจูมองหน้ากันแวบหนึ่ง เด็กชายผู้นี้ดูท่าจะไม่ได้โป้ปด ชายที่เห็นบนพื้นป่วยหนักมากจริงๆ
นอกประตูแว่วเสียงเท้าก้าวเข้ามา เด็กสาวตัวน้อยอายุหกถึงเจ็ดปีหนึ่งคนวิ่งเข้ามาหา
“พี่อาชิง ท่านกลับมาแล้ว เช้าวันนี้ท่านอาจารย์ฟางไม่ได้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นข้าวเช้าล้วนยังไม่ได้ทานเลย” เด็กสาวตัวน้อยเดินเข้าใกล้ข้างกายอาชิง สังเกตคนแปลกหน้าสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความประหลาดใจ
“…ยัง ยังไม่ตื่นหรือ?” เสียงอาชิงแฝงไว้ด้วยความสั่นเทา เบ้าตามีน้ำตาคลอเต็มหน่วย เขาหันกลับไปเขย่าบุรุษบนพื้น
“อาจารย์ ตื่นเร็ว ท่านล้วนนอนมาจะสองวันแล้ว รีบตื่นสิขอรับ!”
ภายในใจของอาชิงเริ่มหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความไม่สงบสุข ความตระหนกยิ่งมีมากขึ้น อาจารย์จะเป็อะไรไปไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องไม่ได้เด็ดขาด
เจินจูทนดูไม่ไหว สภาพบุรุษบนพื้นเห็นได้ชัดว่าแย่มากแล้วจริงๆ นางเข้าไปข้างหน้าใกล้ๆ “เ้าไม่ต้องเรียกแล้ว ดูก่อนว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่? หากยังมีลมอยู่ เช่นนั้นก็รีบตามท่านหมอมาตรวจให้เขาเถอะ”
สีหน้าอาชิงขาวซีดพยักหน้าติดๆ กัน นิ้วมือสั่นระริกอยู่ใต้จมูกของอาจารย์เขา ครู่หนึ่งถึงะโอย่างดีใจ “มีลม มีลมอยู่ พี่สาว มีลมจริงด้วย อาจารย์ข้ายังมีชีวิตอยู่!”
“อื้ม ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ เช่นนั้นก็ไปตามท่านหมอมาตรวจ แต่ไม่รู้ว่าท่านหมอในเมืองจะออกตรวจมาถึงที่นี่ของพวกเ้าหรือไม่?” วัดเฉิงหวงแห่งนี้เห็นได้ชัดว่าถูกทอดทิ้งมานานแล้ว ในอารามข้างหน้าถูกคนเร่ร่อนมากมายพื้นที่อยู่เต็ม เจินจูเดาว่าคงมีหมอไม่กี่คนที่จะยอมออกมาตรวจสถานที่เช่นนี้
“มีสิๆ ทางตะวันตกของเมืองมีท่านหมอชราอยู่ ตามปกติแล้วหากมีคนเจ็บป่วยในวัด ล้วนเป็เขาที่มาช่วยตรวจไข้ให้” อาชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเร็วมาก กลัวมากว่าหากนางไม่พอใจแล้วจะสะบัดแขนเสื้อจากไป เมื่อสักครู่เขาคืนถุงเงินให้พวกเขาไปแล้ว หากสองพ่อลูกคู่นี้ไม่ช่วยเชิญท่านหมอ เช่นนั้นอาจารย์ของเขาก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ
“อื้ม เช่นนั้นเ้ารีบไปเชิญท่านหมอมาเถอะ เ้าวางใจ ในเมื่อข้าให้เ้าไปเชิญท่านหมอ ค่าตรวจและค่ายาสมุนไพรพวกข้าล้วนช่วยเ้าจ่ายแน่นอน” นางดูความกังวลใจของเขาออก เจินจูปลอบใจเต็มที่ เด็กผู้นี้เพื่อรักษาอาจารย์ของเขาแล้วจึงเดินบนเส้นทางขโมย แม้เป็การทำความผิดแต่ตามหลักเหตุผลแล้วสามารถให้อภัยได้
“เ้ารีบไปเถอะ สภาพอาจารย์เ้าไม่ค่อยดี วางใจได้ พวกข้าจะรอเ้าอยู่ที่นี่ ไม่หนีแน่นอน” เจินจูรับรองอีกครั้ง ในเมื่อเจอเื่เช่นนี้ สามารถช่วยได้ก็จะช่วยสักหน่อย
อาจเป็เพราะได้รับการรับรองของนาง สีหน้าอาชิงถึงได้มั่นคงขึ้น “อาหยุน เ้าช่วยข้าดูแลอาจารย์สักพัก ข้าจะไปเชิญท่านหมอ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” กล่าวจบก็รีบหมุนกายวิ่งออกไปข้างนอก
สามคนที่เหลืออยู่ได้แต่มองกันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“เ้าชื่ออาหยุนใช่ไหม เ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” เด็กสาวรูปร่างเปราะบาง สีหน้าเหลืองเล็กน้อย บนกายสวมเสื้อสีผลซิ่ง กางเกงที่สวมอยู่สีดำ เสื้อผ้าซักจนขาวซีดเป็วงกว้างแต่สะอาดกว่าอาชิงมาก
“ใช่แล้ว พี่สาว ข้ากับท่านแม่อาศัยอยู่ข้างหน้า” เสียงอ่อนวัยของอาหยุนมีความอยากรู้อยากเห็นแฝงอยู่ “พี่สาว ท่านมาช่วยพี่อาชิงหรือ? อาจารย์ฟางป่วยมานานแล้ว แต่ล้วนไม่มีเงินไปเชิญท่านหมอมาตรวจ ท่านแม่ข้าก็ป่วยเช่นกัน แต่ท่านแม่ยังสามารถลุกขึ้นมาทำงานได้หน่อย ส่วนอาจารย์ฟางล้วนไม่ลุกออกมาจากเตียงนานมากแล้ว”
เจินจูลูบศีรษะน้อยๆ ของนางด้วยความสงสาร เร่ร่อนอยู่ข้างนอกใช้วัดร้างที่ทรุดโทรมเพื่อเป็ที่พักอาศัย บนร่างกายของพวกเขาไม่กี่คนล้วนมีอาการหนักหน่วง “อาหยุน อีกเดี๋ยวท่านหมอมาแล้ว ให้เขาตรวจให้ท่านแม่เ้าด้วยสิ”
อาหยุนดวงตาเป็ประกาย ถามขึ้นโดยมิรอช้า “จริงหรือ? เช่นนั้นสามารถช่วยตรวจให้ท่านยายเหลียงซานกับท่านยายจินด้วยได้หรือไม่? พวกนางล้วนป่วยมานานมากแล้ว?”
“ได้สิ รอท่านหมอมาแล้ว ผู้ใดป่วยก็เข้ามาตรวจได้เลย” เจินจูมองความคาดหวังที่เต็มอยู่ในดวงตาของนางจึงพยักหน้ารับปาก ในมิติช่องว่างของนางมีแท่งโลหะ เม็ดทองและเม็ดเงินอยู่เล็กน้อย ล้วนเป็ของที่หนูขนเทานำมาแลกเปลี่ยนกับผลผลิตในมิติช่องว่างอยู่บ่อยๆ ถ้าสามารถนำมาใช้ช่วยคนรักษาอาการป่วยได้สักนิดนางก็ไม่รู้สึกปวดใจ
“เย้ ช่างยอดเยี่ยมนัก ขอบคุณพี่สาว ข้าจะไปแจ้งให้ทุกคนทราบ” อาหยุนะโขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ หมุนกายวิ่งไปทางอาราม
“ท่านพ่อ ท่านวางตะกร้าแบกหลังลงสิเ้าคะ พวกเราพักสักครู่ก่อน รอท่านหมอมาตรวจแล้วค่อยว่ากัน” เจินจูจูงหูฉางกุ้ยที่ใบหน้ากังวลมา “ท่านพ่อ ท่านวางใจ ข้าพอมีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายของท่านหมอ”
“ไม่ๆ พ่อมีเงิน แม่เ้าให้มาสิบเหลียง ล้วนอยู่นี่ เ้าหยิบไปใช้เถอะ” หูฉางกุ้ยล้วงถุงเงินออกมาทันทีแล้วส่งให้นาง
เจินจูยิ้มน้อยๆ ในสายตาของนางบิดาสกุลหูยามนี้น่ารักนัก การเชื่อใจนางโดยไม่มีเงื่อนไขทำให้ในใจนางอบอุ่นยิ่ง
เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาอย่างวุ่นวายพักหนึ่งจากนอกประตู เจินจูเดินไปดูหน้าห้อง ผู้ที่ติดตามอาหยุนอยู่ข้างหลังมีฟู่เหรินสาวหนึ่งคน ข้างหลังฟู่เหรินสาวมีผู้ติดตามคือผู้สูงอายุสามคนกับเด็กชายตัวน้อยอายุสี่ถึงห้าปีสามคน
“ท่านแม่ ท่านยาย เป็พี่สาวท่านนี้แหละ นางกล่าวว่าสามารถให้ท่านหมอดูอาการป่วยให้ทุกคนสักหน่อยได้” อาหยุนดึงมารดาของนางไว้อย่างตื่นเต้นดีใจ
มารดาของอาหยุนมีสีหน้าของคนป่วยมองเด็กสาวตรงหน้า สายตาบริสุทธิ์สว่างไสวผิวเรียบงามดั่งหยก แม้ที่สวมอยู่บนร่างจะไม่ใช่ผ้าไหมแต่ก็ยังเป็ผ้าฝ้ายละเอียดชั้นดี นางโค้งตัวลงทักทายทำความเคารพ “คุณหนูท่านนี้ ขอบคุณความมีเมตตาของท่าน ในวัดเฉิงหวงส่วนใหญ่เป็ผู้ใหญ่ร่างกายอ่อนแอและเด็กเจ็บป่วย บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านพวกเราจะจารึกอยู่ในหัวใจ”
“ใช่แล้ว คุณหนูใจดี ขอบคุณท่านแล้ว”
“คุณหนูหน้าตางดงาม หากจิตใจดียิ่งกว่า ต่อไปต้องเป็สิริมงคลสมหวังดังใจปรารถนา ทำสิ่งใดทุกอย่างราบรื่นแน่นอน”
“พระพุทธองค์จะคุ้มครองท่าน”
“ขอบคุณพี่สาว”
ตอนนี้คนชราและเด็กที่อยู่ข้างหลังล้วนกล่าวสรรเสริญและขอบคุณเป็เสียงเดียวกัน
เชิงอรรถ
[1] ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ เป็คำสอน ให้รู้จักคุณค่าของตนเอง ทำตัวให้มีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะผู้ชาย ห้ามคุกเข่าขอร้องใครง่ายๆ หากยังพอมีหนทางช่วยเหลือตนเองได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้