ที่กระท่อมไม้
กระท่อมไม้เก่าๆ บนผนังมีตะไคร่เกาะอยู่ หลังคามีแสงลอดลงมาตามรูรั่ว
ราชครูจ้งฟางนอนอยู่บนเตียงที่ประกอบขึ้นจากประตู
ขาของเขาบัดนี้ถูกดามด้วยแผ่นไม้อีกครั้ง
เขาเดิมทียังรู้สึกไม่ชอบหน้าเด็กหญิงคนนั้นเท่าใด แต่ไม่คาดคิดเลยว่ายามที่ท่านหมอมาดูอาการ ก็บอกว่าเขานั้นโชคดีที่ขาหักใหม่อีกรอบหนึ่ง มิเช่นนั้นหากให้กระดูกมันต่อกันดั่งที่ดามไว้ตอนแรก ขาย่อมไม่อาจกลับมาเป็ปกติอีก ทั้งต่อไปก็อาจจะขาเป๋ได้
ซ้ำท่านหมอยังออกปากชมอีกว่าเขานั้นหน้าตาไม่เลว
ตระกูลจ้งของเขาจริงๆ แล้วก็หน้าตาดีทั้งนั้น
ราชครูนั้นแม้ความจริงจะอายุไม่น้อยแล้ว ทว่าเมื่อได้หวีผมล้างหน้าเสียหน่อย ก็ดูมีสง่าสมเป็ปัญญาชนขึ้นไม่น้อย
เขาคงรับไม่ได้ที่ตัวเองจะขาเป๋
ดังนั้นเมื่อท่านหมอกลับไป เขาจึงรู้สึกโกรธเด็กหญิงน้อยลงมาก
ทว่ายามนี้เขาต้องนอนอยู่กับความรู้สึกคับอกคับใจที่สุมอยู่ในทรวง
เขานั้นเป็ถึงราชครู นับว่าสง่าผ่าเผยนัก ซ้ำยังเป็นักปราชญ์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในแคว้นเชิน เพียงแต่เมื่อเขาลองโกหกครั้งแรกก็ถูกเปิดโปงเสียแล้ว
ข้อแก้ตัวแบบนี้ ในตำราอ่านเล่นก็กล่าวไว้นี่นา
แม้ในตำราส่วนใหญ่จะเป็เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เป็คนพูดเช่นนี้ ทั้งโดยปกตินั้นคนที่ได้ยินก็จะต้องยินดีต้อนรับขับสู้
ทว่าเมื่อเป็เขา แค่อ้าปากก็ถูกจับได้เสียแล้ว
แต่ก็เอาเถิด อย่างน้อยเื่สำคัญก็ยังไม่ถูกเปิดโปง ทั้งเขายังเข้ามาอยู่ในรังโจรได้แล้ว
ราชครูได้ยินการเคลื่อนไหวดังขึ้น
เขาจึงหลับตาลงแสร้งว่ากำลังหลับอยู่
ประตูพลันถูกเปิดออก มีกลิ่นหอมโชยมา เขารู้ทันทีว่าเด็กหญิงน่าจะมาถึงแล้ว
ต่อมาก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ของนางดังขึ้น
“ท่านพี่ นี่คืออาจารย์ที่ข้าหามา ดูแล้วไม่น่าจะมีความรู้เท่าใด ข้าเก่งมากใช่หรือไม่”
ราชครูพลันหน้ากระตุก อันใดที่เรียกว่าดูไม่ค่อยจะมีความรู้
“อาโย่ว เ้าไปเจอเขาที่ใด” อาลู่เอ่ยปากถาม
“ข้าเก็บเขามาจากริมแม่น้ำ น้าหลัวบอกว่าเขาเป็คนมีความรู้นัก แค่อ้าปากก็โกหกเสียแล้ว ช่างร้ายกาจนัก” เฉินโย่วน้อยตอบพี่ชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ราชครูที่แสร้งว่าหลับอยู่พลันหน้าแดง
อะไรที่เรียกว่าแค่อ้าปากก็โกหกกัน แล้วยังร้ายกาจอันใด ข้าแค่อ้าปากก็ถูกพวกเ้าก็จับได้แล้ว
อาลู่เหลือบตามองก็รู้ว่าชายชรากำลังแกล้งหลับ
ที่แท้ก็โกหกเก่งเสียจริงด้วย
ปัญญาชนล้วนแต่หลอกลวงเป็ ดังเช่นนายท่านสามเป็ต้น
อาลู่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อุ้มน้องสาวออกมา น้องสาวนั้น้าอาจารย์สักคน คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะสั่งสอนนางนัก ทว่าเพียงเจอลูกไม้ของนางเข้า ก็ทำได้เพียงแต่จำนน
แม้เขาจะพูดโป้ปด อาลู่ก็เห็นว่าไม่เป็ไร คนมีอารยะก็เป็เช่นนี้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรยามอยู่ในค่ายแห่งนี้ ชายชราก็ไม่อาจหนีไปไหนได้
ราชครูได้แต่ร้องไห้อย่างไร้น้ำตา
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง จึงลืมตาขึ้น
ยามที่ลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตรงหน้าตนนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยนั่งยิ้มจนตาหยีอยู่
“ฮะฮ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องแกล้งหลับ ข้าก็เลยแสร้งว่าเดินออกไปแล้วเช่นกัน ไหนๆ ท่านก็ลืมตาแล้ว ท่านจะกินเนื้อแห้งหรือไม่” เฉินโย่วน้อยยื่นเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งส่งให้ราชครู
“กินเนื้อๆ จะได้หายไวๆ”
ราชครูนั้นนึกอยากจะตีคนนัก ทว่าเด็กหญิงตรงหน้านั้นกลับฉีกเนื้อแล้วป้อนใส่ปากเขา
รสชาติมันยังคงดีเหมือนเดิม เขาอดไม่ได้ที่จะเคี้ยวตุ้ยๆ
ต่อมาก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังถือน้ำแกงร้อนๆ เข้ามา
เ้าเด็กหนุ่มนี่รูปงามนัก รูปงามพอๆ กับศิษย์ของเขาด้วยซ้ำ เพียงแต่ตัวเตี้ยกว่าศิษย์เขาอยู่เล็กน้อย
ทว่าผิวพรรณของเด็กหนุ่มนั้นขาวกว่า เ้าศิษย์ของเขานั้นแม้จะขาวสะอาดนัก แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับขาวกว่าหลายเท่า
ระหว่างกำลังกินเนื้อแห้ง ราชครูจ้งฟางก็กลืนเนื้อลงคออย่างกระดากอาย
เด็กหนุ่มวางน้ำแกงผักสีเขียวลง ด้านข้างก็วางหมั่นโถวลูกขาวไว้อีกสามลูก เนื้อััของมันทั้งหอมทั้งนุ่ม ทั้งยังมีไอร้อนลอยออกมา
“ท่านอาจารย์ ข้ามาส่งอาหารให้ท่านขอรับ” อาสวินวางตะเกียบและช้อนลง จากนั้นจึงลากให้เฉินโย่วออกมายืนอยู่ด้านข้างอย่างมีมารยาท
ราชครูเกิดคราวรู้สึกราวกับว่าตนนั้นกำลังอยู่ในวังหลวงอีกครั้ง ท่าทางเช่นนี้ช่างคล้ายกับศิษย์ของเขาเหลือเกิน
ทว่าเมื่อมองโต๊ะผุๆ และชามแตกๆ นั้น ก็รู้ทันทีว่าตนนั้นยังอยู่ในรังโจร
เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วนั่งลงลำพัง จากนั้นกัดหมั่นโถวเข้าคำใหญ่ จากนั้นก็ดื่มน้ำแกงอีกอึกใหญ่
เขานั้นไม่เคยรู้เลยว่าหมั่นโถวขาวนั้นจะอร่อยถึงเพียงนี้ ทั้งน้ำแกงผักเขียวนั้นจะหอมเช่นนี้
เพียงพริบตาเดียว ทั้งหมั่นโถวและน้ำแกงก็หายวับลงไปอยู่ในท้องเขาเรียบร้อย
เขานั้นรู้สึกว่าอาหารเมื่อครู่ออกจะจืดไปเสียหน่อย บัดนี้จึงอยากกินเนื้อแห้งนั่นขึ้นมาอีกแล้ว
“เอิ๊ก!” ราชครูนั้นเรอออกมาคำหนึ่ง
จากนั้นจึงท่าทีจำยอม หันไปถามเด็กหนุ่ม “คนอื่นต่างก็พากันหัวเราะเยาะข้า เ้าไฉนจึงมีท่าทีเคารพข้าเช่นนี้”
อาสวินยิ้มน้อยๆ แล้วตอบ “หลังมือของท่านเรียบนุ่ม ทว่าฝ่ามือของท่านกลับมีตุ่มด้าน ใบหน้าท่านก็ผ่องใส ทว่าหน้าผากกลับมีรอยยับย่น ท่านน่าจะเป็คนมีตำแหน่ง มีคนนับหน้าถือตา ทั้งยังเป็คนทุ่มเทให้กับการศึกษา ความรู้ของท่านย่อมต้องดีมาก พอดีที่พวกเรานั้นกำลังขาดอาจารย์อยู่หนึ่งคน เช่นนั้นข้าจึงได้เคารพท่าน”
ราชครูพลันมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาซับซ้อน ฉลาดล้ำเลิศ ล้ำลึกราวกับปีศาจ
องค์หญิงน้อยก็ฉลาดนัก ฉลาดเสียจนไม่สมกับวัยของนาง เขาเห็นว่านางมีสติปัญญาราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ทว่าบางครั้งเขาก็มีความรู้สึกว่านางไม่ได้ฉลาดปานนั้น ความรู้สึกของเขาช่างขัดแย้งกันนัก
ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา ช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ
ราชครูนั้นฟื้นตัวได้ไม่เลว
ไม่นานนักเขาก็เดินได้แล้ว ชาวบ้านบนเขาในที่สุดก็พากันเคารพเขา ด้วยเพราะนายท่านสามนั้นนอบน้อมต่อเขานัก แม่นางหลัวก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
ทุกคนเรียกเขาว่าอาจารย์กัว ก็เพราะตอนที่เขาแนะนำตัวนั้น เขาเกือบจะพูดว่าตัวเองเป็ราชครู ดังนั้นจึงได้แต่แก้ต่างว่าตนนั้นแซ่กัว
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ไม่กล่าวอะไร
เพราะต่างก็รู้ว่าอาจารย์ของหมู่บ้านพวกเขานั้นแม้จะมีความรู้มากนัก แต่ก็ชอบพูดปดเช่นกัน
ราชครู “......”
เอาเถอะ ถึงอย่างไรคนในหมู่บ้านก็เคารพเขา ยกเว้นเ้าเด็กหญิงตัวน้อยนั่น
ราชครูนั้นรู้สึกราวกับว่าชาติก่อนนั้นเขาได้ติดค้างนางไว้
นางนั้นคือปีศาจร้ายที่ส่งมาเพื่อทรมานเขาโดยเฉพาะ
ประเดี๋ยวก็โยนงูมา เขาใเสียจนกระดูกที่เพิ่งจะต่อกันนั้นหักอีกรอบ
ประเดี๋ยวก็แอบใส่หญ้าโหยวหมาเข้ามาในอาหารของเขา ทำเอาจนเขานั้นปากชาเสียจนอ้าไม่ออกไปครึ่งวัน
ไม่เช่นนั้นตรงที่ที่เขาหลับนอนนั้น ตื่นมาตอนเช้าก็มีน้ำเปียกเต็มผ้าห่ม จนเขานั้นนึกว่าตนนั้นคงจะอายุมากแล้ว กระทั่งการขับถ่ายของตัวเองก็มิอาจอั้นได้แล้ว
เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาบนูเาลูกนี้ในแต่ละวันนั้นช่างผ่านไปอย่างยากลำบากนัก
แม้ว่าเหล่าโจรนั้นจะกลับใจเป็สุจริตชนแล้ว ทว่าราชครูที่มีเกียรติเช่นเขานั้น เหตุใดจึงได้กลายมาเป็อาจารย์ในรังโจรได้เล่า
เขานั้นวางแผนว่าขาหายดีแล้ว ก็จะขอลา
“ท่านอาจารย์กัว ขาท่านก็หายดีแล้ว ข้ามีเื่สนุกๆ เื่หนึ่งให้เล่น ท่านจะเล่นกับข้าหรือไม่” เฉินโย่ววิ่งมาตรงหน้าชายชราด้วยดวงตาเป็ประกาย
ราชครูไอขึ้นทีหนึ่ง ทำท่าทางอ่อนแอตอบเด็กหญิง “ร่างกายข้ายังไม่หายดีนัก รอให้หายดีก่อนแล้วข้าจะเล่นเป็เพื่อนเ้า ข้ายังมีเื่ต้องไปหารือกับท่านลุงสามของเ้าอีก”
เฉินโย่วน้อยทำหน้าราวกับเสียดาย และพยักหน้าเบาๆ “ข้าไปเป็เพื่อนท่านแล้วกัน”
ก็ดี ไหนๆ เขาก็จะจากไปแล้ว ราชครูคิดในใจว่าเด็กหญิงข้างกายตนนั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจถึงเพียงนั้น อย่างน้อยก็ยังดีกว่าภายนอกยิ้มแย้ม แต่ในใจกลับวางแผนจะทำร้ายผู้อื่นเช่นองค์หญิง
เ้าเด็กนี้ถึงจะทำเขาไว้เจ็บแสบนัก ทว่าเื่ที่ทำให้เขาปวดใจจริงๆ นั้นกลับเป็ชื่อเฉินโย่วของนาง
องค์หญิงใหญ่ก็มีพระนามว่าเฉินโย่วเช่นกัน แม้จะไม่มีใครกล่าวขึ้นมา แม้คนอื่นนั้นจะไม่มีใครรู้จักองค์หญิงใหญ่ แต่เขานั้นรู้ เพราะพระนามของนางนั้นฝ่าาเคยให้เขาเขียนเองกับมือ
“เ้าจะทำเื่สนุกอะไรรึ” อย่างไรเขาก็จะจากไปอยู่แล้ว จึงมีความอดทนมากขึ้นอีกน้อย แล้วเอ่ยถามนาง
“ข้าพบว่าเอาร่มผูกไว้กับตัวคันหนึ่ง แล้วก็ให้เสี่ยวอวี้จับไว้แล้วพาบินขึ้นพาก่อน จากนั้นก็ให้เสี่ยวอวี้คลายกรงเล็บเสีย เท่านี้ก็สามารถบินลงจากท้องฟ้าได้แล้ว” เฉินโย่วน้อยนั้นด้านหลังยังลากร่มตามมาอีกคันหนึ่ง น้ำเสียงที่ตอบชายชรานั้นก็ขึงขังนัก
ราชครูคิดภาพเหตุการณ์ตามแล้วร่างกายก็พลันสั่นเทิ้ม โชคดีนักที่เขานั้นจะไปจากที่นี่แล้ว
เมื่อเขาเดินไปจนใกล้จะถึงเรือนของนายท่านสาม เขายังไม่ทันได้เข้าไป ก็พลันได้ยินเสียงจากด้านในดังขึ้น
“นายท่านสาม พักนี้ด้านล่างนั้นแปลกนัก มีพ่อค้าเพิ่มขึ้นมาก ทว่ากลับไม่ได้ขนสินค้า มีเพียงแค่คนเดินทางกันมา ดูแล้วไม่เหมือนกับมาค้าขาย แต่กำลังหาคนอยู่”
ราชครูพลันใจเต้นแรง
นายท่านสามเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีคนมา
ใบหน้านั้นพลันถามขึ้นอย่างร่าเริง “ท่านอาจารย์กัวมาเองเช่นนี้ มีอะไรหรือไม่”
ราชครูหันไปเห็นหนูน้อยน่ารักที่มีชีวิตชีวาข้างกายตนกำลังลากร่มอยู่คันหนึ่ง ใบหน้าก็พลันเบิกบาน“ตาแก่อย่างข้าหายดีแล้ว ก็อยากจะมาถามเสียหน่อยว่าจะให้ข้าเริ่มสอนวันไหนดี”