เฉิงเซียงยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังไป๋ลี่และเหล่าผู้าุโอย่างสงบเสงี่ยมแต่ใครจะคิดว่าพอหันหน้าไปจะพบว่าเพื่อนตัวน้อยอย่างเซียวอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลจากตนเองจะดูแปลกไปแม้ว่าซ่งฉียวนจะดูไม่ค่อยมีอะไรผิดปกติมากนัก แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรอยู่ดี จึงกลอกตาไปมาและขยับเข้าไปใกล้ด้านข้างของเซียวอวิ๋น ก่อนจะซุบซิบว่า “เซียวอวิ๋นเหตุใดเ้าจึงทำสีหน้าเช่นนี้? ถูกภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้กลัวไปแล้วหรือ? ” พูดจบก็ตบไหล่อีกฝ่ายไปแบบพี่น้องที่สนิทกันแล้วกล่าวต่อว่า “ไม่ต้องกลัวไปนะ มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคนเ้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
แต่คราวนี้เซียวอวิ๋นไม่ได้ฉอเลาะกับเฉิงเซียงอย่างที่เคยเป็ก่อนจะเบี่ยงไปด้านข้าง และยื่นมือขึ้นไปปัดมือของเฉิงเซียงที่วางอยู่บนไหล่ออกจากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เป็ไร เ้าไม่ต้องถามแล้ว”
เมื่อมองไปยังอวี๋เคอที่ลอยอยู่กลางอากาศอารมณ์ของเขาก็สับสนถึงขั้นสุดเพราะเมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่พบคนผู้นี้ที่เชิงเขาฉิงชางแม้จะอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงครึ่งนาทีแต่เขากลับรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยแต่ตอนนี้เขากลับยอมรับว่าตนเองคืออวี๋เคอจอมปีศาจผู้ที่คนในโลกผู้ฝึกตนพูดถึงยามใดก็ต้องกัดฟันกรอดเขาไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองคนเข้าด้วยกันได้เลยจริงๆ
จากเวลาครึ่งปีที่ผ่านมาที่อยู่กับฉียวนเขาััได้ว่าฉียวนวางอาจารย์ของตนไว้ที่ระดับไหนและเขาก็คงนึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าอาจารย์ของตนจะเป็คนเดียวกับจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนในโลกผู้ฝึกตนต่างโห่ร้องให้ทุบตีในตอนนี้กระมัง? เขายังจำคำพูดในขณะที่สวมหน้ากากสีแดงเข้มและรอยยิ้มบางๆอันมีเลศนัยที่มุมปากของอวี๋เคอในวันนั้นได้จนถึงวันนี้เหมือนกับมันเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน “ข้าขอร้องให้เ้าไปตามหาศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อ ‘ฉียวน’ ที่สำนักฉิงชาง แล้วบอกเขาว่าเ้าเห็นคนที่สวมหน้ากากสีแดงเข้มแล้วคนผู้นี้ก็ให้เ้ามาบอกกับเขาว่า ‘หลังจากที่เ้าฆ่าอวี๋เคอแล้วอาจารย์ก็จะกลับมาหาเ้า’ ”
ทันใดนั้นเซียวอวิ๋นก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะรู้สิ่งเลวร้ายอะไรบางอย่างจนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง เขามองไปยังซ่งฉียวนที่ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เกิดความรู้สึกหุนหันที่อยากจะบอกเขาเกี่ยวกับเื่ทุกอย่างแต่สุดท้ายก็กัดฟันแล้วตรึงฝ่าเท้าเอาไว้อยู่กับที่เนื่องจากอวี๋เคอนั้นมีบุญคุณต่อตน และตนนั้นเคยสัญญากับอวี๋เคอว่าจะไม่พูดเื่ตัวตนของเขาออกไปดังนั้นจะผิดคำพูดไม่ได้เด็ดขาด
หมัดที่อยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่นก่อนจะคลายออกจนในที่สุดดวงตาของเซียวอวิ๋นก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ตราบใดที่เซียวอวิ๋นผู้นี้ได้สัญญาไว้แล้ว ก็จะไม่ผิดคำพูดไปชั่วชีวิตนี้
เฉิงเซียงเห็นเซียวอวิ๋นดูต่างจากปกติไปมากคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขารู้ว่าต่อให้ตนถามออกไปเด็กหัวรั้นคนนี้ก็คงจะไม่บอกอะไรเขาเป็แน่ รังแต่จะหาเื่ใส่ตัวเสียเปล่าๆเฉิงเซียงเบ้ปากไปมา ทำได้เพียงเดินไปกอดไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อชมการแสดงต่อไป
“เ้าปีศาจ เ้าช่างพูดจาโอหังนักเมื่อพูดจาเช่นนี้ก็คงจะไม่กลัวถูกลมพัดลิ้น [1] แล้วสินะ! ผู้าุโเฉินไปคุมทางทิศตะวันออก ส่วนผู้าุโหร่วนท่านไปป้องกันทางตะวันตกเฉียงใต้...” ขณะที่ไป๋ลี่กำลังจัดเรียงขบวนทัพเพื่อต่อกรกับอวี๋เคออยู่นั้นทว่ายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงหัวเราะอันเย็นเยือกของอวี๋เคอขัดจังหวะเข้าให้
“ไป๋ลี่ ข้าผู้นี้ขอเตือนเ้าสักหน่อยผู้าุโเฉินแห่งสำนักฉิงชางของพวกเ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย! ”
“ข้าไม่อนุญาตให้เ้าดูถูกผู้าุโเฉิน!”
“ใช่! ปีศาจเช่นเ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกผู้าุโเฉิน?!”
ไม่ต้องรอให้ไป๋ลี่ะโใส่ ลูกศิษย์ที่เพิ่งจะลงจากเวทีมาสงบจิตสงบใจก็แผดเสียงออกมาและพากันเริ่มพูดตำหนิอวี๋เคอ สถานการณ์จึงเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
“ข้าผู้นี้ก็พูดจาตรงไปตรงมาอยู่เสมอพวกเ้าก็ถามผู้าุโเฉินที่พวกเ้าเคารพรักเทิดทูนกันดูสิว่าเมื่อครู่นี้ทำอะไรลงไปดูสิว่าเขาจะกล้าตอบออกมาตามจริงหรือไม่! ” อวี๋เคอทําท่าทางเหมือนกำลังดูละครสนุกๆอย่างไม่แยแส ประการแรกที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อจะดูว่าผู้าุโเฉินที่ชอบลอบกัดจะอธิบายเื่นี้ว่าอย่างไรประการที่สองก็คือสามารถใช้วิธีนี้ถ่วงเวลาเพื่อรอให้เทพหลิงกวงมาช่วยเขาได้
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้าุโเฉินที่มีหนวดเคราผู้นั้นจะไร้ยางอายยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีกจากนั้นก็เห็นผู้าุโเฉินก้าวออกมา แล้วมองไปยังซ่งฉียวนก่อนจะพูดด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ข้ากระทำในสิ่งที่เที่ยงธรรม จะมีเื่อะไรที่ไม่กล้าพูดกัน! ” หลังจากตะคอกใส่อวี๋เคอไปทีหนึ่ง เขาก็มองไปยังไป๋ลี่แล้วกล่าวว่า “ท่านเ้าสำนัก ตอนที่ฉียวนกับเฉิงเซียงประลองกันเมื่อครู่ ข้าก็กำลังมองสถานการณ์ในการประลองนี้อย่างละเอียดในขณะที่ศิษย์ทั้งสองกำลังจะรู้ผลแพ้ชนะข้าก็พลันััได้ถึงพลังอันดุร้ายเส้นหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของฉียวน ข้าจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดโดยรีบลงมือสกัดเอาไว้ เพื่อไม่ให้ศิษย์ผู้เก่งกาจเช่นนี้ของสำนักข้าต้องถูกทำลายด้วยมือปีศาจข้าคิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจตนนี้จะนำเื่นี้ออกมาพูดได้อย่างไม่ละอายช่างมีนิสัยเ้าเล่ห์เหลือเกิน”
เอ๋? อวี๋เคอรู้สึกว่าหากเขากลืนน้ำลายลงไปในตอนนี้ก็จะต้องพ่นมันออกมาแน่ๆบัดซบเอ้ย นี่มันเื่ไร้สาระสิ้นดี! ทั้งๆ ที่พูดโกหกคำโตมาขนาดนี้ แต่เขารู้สึกทึ่งที่ไม่เห็นพิรุธอะไรบนใบหน้าของตาแก่ผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย!แล้วยังบอกว่าเขาเ้าเล่ห์อีก??? เ้าอยากได้ยางอายเสียหน่อยไหม? หรือว่ารับยางอายเพิ่มสักหน่อยดีหรือไม่? ภายในใจของอวี๋เคอเกิดความรู้สึกโมโหอยู่นานเป็นาทีจากนั้นมุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ พูดไม่ออกไปชั่วขณะมีคำก่นด่าอยู่มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะพ่นมันออกมาอย่างไร...
ไป๋ลี่และศิษย์ในสนามต่างเชื่อมั่นในคำพูดของผู้าุโเฉินเมื่อเห็นว่าอวี๋เคอไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังแสดงให้เห็นว่าพูดไม่ออกสีหน้าแห่งความรังเกียจและเหยียดหยามที่มีต่ออวี๋เคอยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก
อวี๋เคอกลอกตาอยู่หลายครั้งไปตามธรรมเนียมอย่างไม่ต้องมีเหตุผลเขารู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ ก่อนจะลูบหน้าผากที่ปวดแปลบของตัวเอง ทว่าจู่ๆก็ะเิหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ดี! ผู้าุโเฉินพูดได้ดีจริงๆ ! ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อวี๋เคอก็ประสานมือพร้อมกับกล่าวประชดว่า “ข้าผู้นี้นับถือท่านจริงๆ ! ”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! อวี๋เคอ เ้าตายเสียเถอะ!ศิษย์ทั้งหลายจงฟังคำสั่ง ตั้งค่ายกลกระบี่! ”
ไป๋ลี่ะโเสียงดัง และเคลื่อนมหาค่ายกลพิทักษ์ูเาขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่อวี๋เคอไปพร้อมกับผู้าุโทุกคนส่วนเหล่าศิษย์สำนักฉิงชางที่อยู่ในสนามก็ได้ปลดปล่อยพลังปราณให้หลั่งไหลเข้าไปในกระบี่อีกครั้งก่อนจะร่ายคาถาขึ้นที่มือ แล้วดันกระบี่ให้ทะยานขึ้นไปบนอากาศ เพื่อโอบล้อมรอบอวี๋เคอที่กำลังเหาะตัวลอยอยู่บนนั้นเอาไว้จากทุกทิศทางจนเหลือเพียงทางเข้าที่สามารถทำให้ค่ายกลพิทักษ์ูเาพุ่งเข้ามาได้ส่วนอีกด้านถูกปิดหนาทึบกระทั่งลมก็ไม่สามารถถ่ายเทได้
อวี๋เคอเก็บเสียงหัวเราะกลับไป ส่วนสีหน้าก็เปลี่ยนเป็ขึงขังขึ้นมาเขารู้ดีว่านี่เป็การยากที่จะถ่วงเวลาอีกต่อไปในเมื่อไม่สามารถถ่วงเวลาได้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าปะทะเขาไม่เชื่อว่าตนเองจะตายในเวลานี้เพราะหากตัวร้ายอย่างเขาคนนี้ไม่ตายในเงื้อมมือของซ่งฉียวน หนังสือเล่มนี้ก็ย่อมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ใช่ไหม?
หลังจากที่เขาสงบลงมากขึ้น ถุงมือสีดำทองก็ปรากฏขึ้นมาบนหมัดทั้งสองข้างอีกครั้งเขาเช็ดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ เช็ดเอารอยเืที่ไหลออกมาจากมุมปากจากที่ตนไม่ทันระวังเมื่อครู่ทิ้งไปก่อนจะปลดปล่อยจิตสำนึกของตนไปเผชิญหน้ากับค่ายกลสีเขียวขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามาโจมตี...
“ปัง ปัง ปัง...” เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันดังไปทั่วทั้งสนามประลอง
อวี๋เคอชกหมัดออกไปที่จุดมุมของค่ายกลใหญ่ที่พุ่งถลาเข้ามาอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวและปลดปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อทำลายค่ายกลกระบี่ที่อยู่ด้านหลังแต่นี่เป็เพียงการกำจัดการโจมตีแค่สองจุดเท่านั้นเพราะการโจมตีนับไม่ถ้วนยังคงพุ่งไล่ตามมาจากทุกทิศทุกทาง ดวงตาของอวี๋เคอมืดลงก่อนจะสงบสติอารมณ์ท่ามกลางการตอบโต้ที่ยังคงดุเดือดแบบไม่คาดคิด แล้วค่อยๆสื่อสารกับ์และโลกอยู่ในความคิดคราวนี้ดูเหมือนว่าจุดอ่อนของการโจมตีทั้งหมดจะเผยออกมาให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
หลังจากผ่านพ้นขั้นก้าวข้ามความทุกข์ตรมแห่งนิพพานไปเก้าชีวิตก็ยังต้องเข้าใจอาณัติแห่งฟ้าดินจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นมหายานได้อย่างราบรื่นส่วนอวี๋เคอนั้นได้บรรลุถึงระดับกลางของขั้นมหายานแล้วดังนั้นวิถีแห่ง์ส่วนหนึ่งก็มาอยู่ในกำมือเป็ที่เรียบร้อยการที่เขาปะทะฝีมือกับเฉวียงฉีหรือาาเทพหลิงกวงก่อนหน้านี้ก็เพราะว่ายังไม่รู้จักร่างกายนี้อย่างลึกซึ้ง ความสามารถของอวี๋เคอในนิยายต้นฉบับหลายๆเื่ต่างก็ยังใช้ได้ไม่ดี แต่ท่ามกลางวิกฤติความเป็และความตายในตอนนี้เขาถึงขั้นสามารถใช้วิถีของมหายานส่วนหนึ่งได้แล้ว
ตราประทับหินสีดำบนฝ่ามือนั้นเริ่มร้อนระอุขึ้นอีกแล้วอวี๋เคอขมวดคิ้วและไม่สนใจมัน การที่สังเกตเห็นจุดอ่อนของการโจมตีเหล่านี้ทำให้เขาเหมือนปลาได้น้ำ[2] ไปโดยสิ้นเชิง เขาทะยานไปมาระหว่างค่ายกลกระบี่กับมหาค่ายกลพิทักษ์ูเาแล้วชกหมัดออกไปด้วยแรงทั้งหมดครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้พื้นผิวของค่ายกลสีเขียวแตกร้าวแม้ว่าเพียงชั่วครู่มันจะถูกเติมเต็มด้วยพลังปราณอย่างต่อเนื่องก็ตามแต่หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ไป๋ลี่และผู้าุโคนอื่นๆจะต้องพ่ายแพ้เนื่องจากการใช้พลังปราณมากเกินไปอย่างแน่นอน
ไป๋ลี่รู้เหตุผลในทุกๆ สิ่งอยู่แก่ใจเป็อย่างดีและเข้าใจว่าพลังปราณในขั้นก้าวข้ามความทุกข์ตรมแห่งนิพพานของพวกเขาแต่ละคนนั้นเทียบไม่ได้กับพลังเต็มพิกัดในขั้นมหายานของอวี๋เคอนอกจากนี้การที่พวกเขาโอบอุ้มมหาค่ายกลเอาไว้นั้นย่อมสูญเสียพลังปราณมากกว่าอวี๋เคอที่ใช้เพียงหมัดชกออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจึงเป็การไม่เหมาะที่จะต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อ
เขาส่งสายตาเป็สัญญาณให้กับหร่วนสือจิ่วและส่งสารไปยังผู้าุโที่อยู่บนเวที จากนั้นคนทั้งสิบกว่าคนก็พยักหน้ารับคำสั่งเมื่ออวี๋เคอมองเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้นมาในใจทันที
และก็เป็ไปตามที่คาดไว้ หร่วนสือจิ่วนำขบวนทัพทะยานขึ้นไปบนอากาศจากนั้นผู้าุโทั้งเจ็ดคนก็พากันเหาะตามขึ้นไป แต่ละคนไปยืนอยู่ที่ตำแหน่งทิศตะวันออกทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันตกเฉียงเหนือล้อมรอบตัวอวี๋เคอไว้แล้วเริ่มร่ายคาถาขึ้นมาบนฝ่ามือในทันที จากนั้นมหาค่ายกลพิทักษ์ูเาก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วจนทำให้อวี๋เคอติดอยู่ในแนวรบทันที
แต่อวี๋เคอก็โต้ตอบด้วยการกระตุ้นพลังปราณเพื่อจะหลบหนีจากพันธนาการนี้แต่ไม่คิดว่านอกจากผู้าุโที่อยู่บนเวทีประลองรวมกับไป๋ลี่แล้วจะยังมีอีกเจ็ดคน โดยทั้งเจ็ดคนนี้ก็ยังมีค่ายกลขนาดใหญ่อยู่ในมือวงหนึ่งอีกด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อเพราะค่ายกลใหญ่อีกวงหนึ่งได้กดลงมาจากเหนือศีรษะของอวี๋เคอพร้อมกับพลังที่น่ากลัวในทันที!
ตราประทับหินสีดำบนฝ่ามือเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งลุกไหม้ฝ่ามือของอวี๋เคอในทันทีระดับความร้อนพุ่งตรงไปที่หัวใจ แล้วภาพจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นในหัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ถึงขั้นทำให้อวี๋เคอรู้สึกมึนงงจนจับทางไม่ถูกไปชั่วขณะ
ให้ตายสิ! จะมาใจลอยบ้าอะไรเอาตอนนี้!
สิ่งนี้ทำให้อวี๋เคอพลาดโอกาสที่จะหลุดพ้นจากค่ายกลใหญ่ไปเมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้ก็พบว่าทำได้เพียงเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น!จากนั้นความขมขื่นก็ก่อตัวขึ้นมาในใจ และทำได้เพียงกัดฟันข่มใจให้เย็นลง!
เขารวบรวมสมาธิ สร้างค่ายกลขึ้นบนฝ่ามือด้วยความเร็วที่ศิษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเมื่อมือของเขาเคลื่อนไหว ธาตุในอากาศก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งในทันใด กระทั่งเขาสร้างค่ายกลขึ้นโดยเคลื่อนไหวอย่างสั่นะเืด้วยความว่องไวจนสำเร็จเป็ครั้งสุดท้ายเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นมาในตอนนี้เป็แผนที่ที่รวบรวมภาพมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อครู่นี้
เมื่อค่ายกลก่อตัวขึ้นก็ปะทะเข้ากับมหาค่ายกลพิทักษ์ูเาในทันทีแรงกระแทกที่เกิดจากการปะทะทำให้พื้นที่รอบสนามประลองบิดเบี้ยว พายุที่เกิดจากการะเิของพลังปราณทำให้ค่ายกลกระบี่ของศิษย์สลายออกไปจากนั้นพลังสะท้อนกลับของพลังปราณและเสียงที่ดังกึกก้องก็ะเืไปถึงเหล่าศิษย์สำนักฉิงชางจนกระอักเืออกมาดูท่าแล้วคงจะาเ็ไม่น้อย
เนื่องจากสนามประลองเป็พื้นดินที่ร่วนซุยทั้งหมดยามเมื่อฝุ่นพัดผ่านพื้นดินจึงทำให้พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงจนมองอะไรไม่เห็น
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฝุ่นในสนามจึงค่อยๆ สลายออกไปจนเผยให้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่กลางอากาศ ผู้าุโทั้งแปดรวมทั้งหร่วนสือจิ่วแต่ละคนต่างพากันหน้าซีดเผือดร่างกายสั่นเทิ้มอย่างช่วยไม่ได้พวกเขาพยายามควบคุมลมหายใจจนสามารถยืนนิ่งกลางอากาศได้ในที่สุด แม้ว่าไป๋ลี่และผู้าุโอีกหกคนบนเวทีประลองจะได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกน้อยกว่าหร่วนสือจิ่วและคนอื่นๆแต่ใบหน้าเรียบนิ่งของพวกเขากลับซีดจนไร้สีเื ในขณะที่อวี๋เคอ...
เหล่าศิษย์ต่างเงยหน้าขึ้นไปมองกลับเห็นจอมปีศาจที่มีเสน่ห์ราวกับสตรีผู้นั้นกำลังยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางคนหลายคนใบหน้าของเขาขาวซีด แต่ริมฝีปากกลับแดงระเรื่อดุจโลหิต ดวงตาสีอ่อนทอประกายเจิดจ้าเขาก้มหน้าลงมองไป๋ลี่และคนอื่นๆ ที่ยังคงยืนได้ แล้วองศาของมุมปากก็ค่อยๆฉีกกว้างขึ้น “ดูท่าว่าเกมนี้ข้าจะชนะเสียแล้ว”
......
เชิงอรรถ
[1] ลมพัดลิ้น หมายถึงพูดอย่างระวัง อย่าพูดอะไรเกินจริง
[2] เหมือนปลาได้น้ำ หมายถึงได้อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือตำแหน่งที่เหมาะสม